ศปช.จี้"ดีเอสไอ"เปิดรายงานชันสูตรทุกศพ--การแสวงหาความจริง-การรับผิด-ความยุติธรรม-ความปรองดอง
ศปช.จี้"ดีเอสไอ"เปิดรายงานชันสูตรทุกศพ กฤตยา อาชวนิจกุล
ดูความจริงชัดๆ---กดตรงนี้--น้องเดียร์เคลียร์คำตอบ--- ---คลิกที่นี่---
-------------เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ที่ห้องประชุม ร.102 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณีเมษายน-พฤษภาคม 2553 และกลุ่มญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค.53(ศปช.) จัดแถลงข่าวกรณีที่ รัฐบาลโดยกระทรวงยุติธรรม ได้เข้าไปช่วยประกันตัวผู้ที่ถูกคุมขังสืบเนื่องจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองระหว่างเดือน เม.ย.-พ.ค. 53 ความเห็นต่อการดำเนินการของรัฐบาลในการช่วยเหลือประกันตัวผู้ถูกคุมขังจากกรณีการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ รายงานข้อมูลผู้ถูกจับกุมคุมขัง และความเห็นต่อผลการสืบสวนสอบสวนของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ กรณีผู้เสียชีวิต 89 ราย
นางสาวกฤตยา อาชวนิจกุล อาจารย์ประจำสถาบันประชากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลในฐานะกรรมการ ศปช. แถลงว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา ศาลอาญาได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ที่ถูกคุมขังสืบเนื่องจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองระหว่างเดือน เม.ย.-พ.ค. 53 จำนวน 3 ราย ได้แก่ นายธีรเดช สังขทัต นายสมหมาย อินทนาคา และนายบุญยฤทธิ์ โสดาคำ โดยกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้ยื่นประกันตัวและใช้กองทุนยุติธรรมวางหลักทรัพย์ค้ำประกันให้ ซึ่งต่อมาวันที่ 11 พ.ย. นายกฯ อภิสิทธิ์ (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี) ได้เชิญนายสมหมายและนายบุญยฤทธิ์เข้าพบที่รัฐสภา
ภายหลัง นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้กล่าวในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ย. 53 ว่า ผู้ที่ถูกคุมขังสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองทั้งหมดนั้น เป็นการดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมาย เพียงแต่ว่า จากการสำรวจของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและกระทรวงยุติธรรม พบว่าปัจจุบันมีผู้ถูกคุมขังอยู่ประมาณ 180 ราย ซึ่งจำนวนหนึ่งมีปัญหา เช่น ปัญหาสุขภาพ ผลกระทบต่อการศึกษา สมควรจะได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ และจำนวนหนึ่งไม่ได้รับการดูแลทางด้านกฎหมายเท่าที่ควร ดังนั้น นายกฯ จึงมอบหมายให้ทางกระทรวงยุติธรรมไปดูรายละเอียดเป็นรายบุคคล หากกรณีไหนเป็นความผิดไม่ร้ายแรง ดูแล้วไม่เป็นอันตรายต่อความมั่นคง ก็จะขอให้มีการยื่นประกันตัวต่อศาล แล้วถ้ากรณีไหนขาดแคลนทุนทรัพย์ กองทุนยุติธรรมสามารถนำเงินกองทุนไปช่วยเหลือได้
สำหรับเหตุผลที่ได้เชิญผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือจากกลไกของกระทรวงยุติธรรมจนได้ประกันตัวออกมา 2 ราย พร้อมครอบครัว ไปพบที่ทำเนียบรัฐบาลนั้น นายอภิสิทธิ์บอกว่า เนื่องจากการประกันตัวครั้งนี้ดำเนินการโดยกองทุนของรัฐ ซึ่งทำให้เป็นการเพิ่มน้ำหนักเวลาไปขอประกันตัวจากศาล ฉะนั้นจึงขอความร่วมมือว่า เมื่อได้รับการประกันตัวแล้ว ขอให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของการประกันตัวอย่างเคร่งครัด ไม่ทำเช่นนั้น หากไปทำผิดเงื่อนไขของศาลก็จะต้องถูกจับกุมคุมขังอีก และที่สำคัญ ถ้ารายที่ได้ประกันตัวออกมาแล้วมีปัญหา จะส่งผลกระทบต่อรายอื่นๆ ที่ยังไม่ได้รับการประกันตัว
ทั้งนี้ นายกฯ ได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นผลงานของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการปฏิรูปและการปรองดอง
ต่อกรณีดังกล่าว ศปช. มีความเห็นและข้อสังเกต ดังนี้
1) นายกฯ อภิสิทธิ์ย้ำตั้งแต่ต้นว่า ผู้ที่ถูกคุมขังทั้งหมดนั้น เป็นการดำเนินการตามกฎหมาย รัฐบาลเพียงแต่เข้าไปพิจารณาช่วยเหลือเป็นรายกรณีเท่านั้น ตามนโยบายปรองดอง อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่ ศปช. ลงไปสำรวจ พบว่า หลายกรณีมีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าการจับกุมนั้น อาจมีปัญหาละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย รวมทั้งหลักสิทธิมนุษยชนสากล หลายกรณีมีลักษณะการจับกุมแบบแหว่งแห ไม่มีพยานหลักฐานที่หนักแน่นเพียงพอ หรือมีการตั้งข้อหาที่รุนแรงกว่าความเป็นจริง หลายกรณีผู้ที่ถูกจับกุมถูกทำร้ายร่างกาย ถูกทรมาน ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสม ลักษณะวิธีการจับกุมไม่เป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งมีบางกรณีที่ถูกเจ้าหน้าที่ซ้อมหรือหลอกล่อให้ยอมรับสารภาพ ตัวอย่างกรณีของนายวิษณุ กมลแมน ซึ่งถูกจับกุมบริเวณปากซอยรางน้ำตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. 53 และเพิ่งจะพ้นโทษออกมาเมื่อวันที่ 11 พ.ย. ที่ผ่านมา เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลังต้องจำคุก 6 เดือนว่า ตนเองถูกทหารจับกุมและซ้อมเพื่อให้รับสารภาพว่ามาร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง ปัญหาเหล่านี้มีต้นเหตุสำคัญมาจากการที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นช่องให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลและขัดต่อรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การที่กลไกของรัฐเข้ามาช่วยเหลือผู้ที่ถูกคุมขังนั้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อปัญหาที่สืบเนื่องจากการกระทำของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐเอง รัฐบาลไม่ควรสำคัญผิดว่าเป็นผลงานปรองดองของตน
2) สิทธิในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวนั้น ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ซึ่งรัฐธรรมนูญก็รับรองไว้ด้วยว่า ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ เมื่อพิจารณาตามหลักการดังกล่าว ประกอบกับปัญหาของการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ แล้ว ดังนั้น ผู้ที่ถูกจับกุมคุมขังสืบเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. 53 ต้องได้สิทธิในการประกันตัวเป็นกรณีทั่วไป การไม่ได้รับสิทธิปล่อยตัวชั่วคราวต้องพิจารณาเป็นกรณียกเว้นเป็นรายๆ ไป มิใช่จะพิจารณาในการช่วยเหลือให้ได้รับการประกันตัวเป็นรายบุคคลเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหรือการศึกษาในลักษณะสงเคราะห์ดังที่นายกฯ แถลง แม้กระทั่งกรณีที่มีข้อหาร้ายแรงหรือดูแล้วมีอันตรายต่อความมั่นคงในสายตาของรัฐบาลก็สมควรได้รับการประกันตัวด้วย เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วเป็นการตั้งข้อหารุนแรงเกินกว่าความเป็นจริง แหว่งแห ขาดพยานหลักฐานที่มีน้ำหนัก
3) มีข้อเกตว่า นอกจากจะฉวยโอกาสนำมาเป็นผลงานของตนแล้ว รัฐบาลกำลังใช้การเข้ามาช่วยเหลือให้ได้รับประกันตัวนี้ เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของตนหรือไม่ ในการประกันตัวรัฐบาลมียื่นเงื่อนไขทางการเมืองต่อผู้ถูกคุมขัง นอกเหนือจากเงื่อนไขของศาลหรือไม่ ดังเช่นในวันเดียวกับที่นายอภิสิทธิ์เรียกนายสมหมายและนายบุญยฤทธิ์เข้าพบ นายเทพไท เสนพงศ์ ในฐานะโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า นายกฯ ฝากให้ญาติของผู้ที่ได้รับการประกันตัวช่วยดูแลไม่ให้ทำความผิดซ้ำอีก ให้ปฏิบัติอยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่ทำผิดเงื่อนไขประกันตัว รวมไปถึงการไม่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองด้วย หากคนที่ออกมาก่อนทำผิดเงื่อนไข คนที่เหลืออาจเสียสิทธิได้รับการประกันตัวจากกระทรวงยุติธรรม กรณีการแถลงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษเกี่ยวกับการเสียชีวิตของทหาร ตำรวจ และประชาชน ในเหตุการณ์ช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
เมื่อวันที่ 16 พ.ย. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ได้แถลงถึงผลการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษเกี่ยวกับการเสีย ชีวิตของทหาร ตำรวจ และประชาชน 89 ราย ในเหตุการณ์ช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 โดยมีสาระสำคัญคือ หลังจากพนักงานสอบสวนท้องที่เกิดเหตุส่งสำนวนชันสูตรพลิกศพตามกฎหมายให้ดีเอสไอ พนักงานสอบสวนได้ใช้เวลาสืบสวนมาระยะหนึ่ง ได้ข้อสรุปว่าสามารถแยกคดีได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
ประเภทแรก มีจำนวน 8 คดี คือ คดีที่มีพยานหลักฐานตามสมควรว่า มีผู้เสียชีวิตเกิดจากการกระทำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องเกี่ยวพัน ซึ่งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่คือเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจ ประเภทที่สอง คือคดีที่ยังไม่เป็นที่ยุติว่าการเสียชีวิตเกิดจากการกระทำของกลุ่ม นปช. หรือกลุ่มติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งสมควรดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติม โดยการทำสำนวนชันสูตรพลิกศพตามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 จำนวน 6 ศพ ประกอบด้วย (1) กรณีผู้เสียชีวิตในวัดปทุมวนารามฯ จำนวน 3 ศพ จากจำนวน 6 ศพ ได้แก่ นายรพ สุขสถิต นายมงคล เข็มทอง นายสุวันศรีรักษา (2) กรณีพลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ ถูกยิงเสียชีวิต บริเวณแยกอนุสรณ์สถานแห่งชาติ จำนวน 1 ศพ (3) กรณีผู้เสียชีวิตบริเวณสวนสัตว์ดุสิต คือ นายมานะ อาจรญ จำนวน1 ศพ และ (4) กรณีผู้สื่อข่าวสัญชาติญี่ปุ่นเสียชีวิต บริเวณถนนดินสอ คือ นายฮิยูกิ มูราโมโต้ จำนวน 1 ศพ
จากกรณีดังกล่าว ศปช. มีความเห็นและข้อสังเกต ดังนี้
1) การแถลงข่าวของดีเอสไอในลักษณะนี้ เป็นการให้ข่าวที่ไม่ชัดเจน คลุมเครือ ก่อให้เกิดความสับสน ศปช. เห็นว่า เราสามารถแบ่งเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิตระหว่างเดือน เม.ย.-พ.ค. 53 ได้เป็น 3 ช่วง ได้แก่ (1) เหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. 53 (2) เหตุการณ์วันที่ 13-18 พ.ค. 53 และ (3) เหตุการณ์วันที่ 19 พ.ค. 53 ดีเอสไอควรแถลงให้ชัดในแต่ละเหตุการณ์ว่า สำนวนคดีแต่ละเหตุการณ์นั้นเป็นอย่างไร ซึ่งจากการแถลงของดีเอสไอจะพบว่า เหตุการณ์ช่วงที่ 2 ซึ่งประชาชนจำนวนมากถูกอาวุธปืนความเร็วสูงหรือสไนเปอร์ยิงเสียชีวิตนั้น หายไป ขณะที่สไนเปอร์เป็นอาวุธที่มีใช้เฉพาะในกองทัพและหน่วยงานของรัฐบางแห่งเท่านั้น รวมทั้งปรากฎภาพและคลิปวิดีโอชัดว่ามีทหารใช้สไนเปอร์ในปฏิบัติการ "กระชับวงล้อม" จริง ทำไมการพิสูจน์หาพยานหลักฐานในช่วงนี้ถึงหายไป
2) นับตั้งแต่ ศอฉ. ใช้กำลังทหารเข้า "ขอคืนพื้นที่" และ "กระชับวงล้อม" การควบคุมดูแลพื้นที่ใน กทม. โดยเฉพาะบริเวณที่ชุมนุมของ นปช. นั้น อยู่ภายใต้ความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งปฎิบัติราชการตามหน้าที่ทั้งหมด ดังนั้น ศพทุกศพที่เกิดขึ้นจะต้องทำการชันสูตรพลิกศพและไต่สวนการตาย ตาม ป.วิ.อาญา ม. 150 ไม่ใช่เลือกเฉพาะเป็นบางกรณีดังที่ดีเอสไอเสนอ
3) ในคดีประเภทที่ 1 ซึ่งดีเอสไอระบุว่า มีพยานหลักฐานตามสมควรว่ามีผู้เสียชีวิตเกิดจากการกระทำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันนั้น DSI ต้องอธิบายให้ชัดเจนว่า เป็นใคร กลุ่มไหน ไม่ใช้ระบุแบบเหมาะรวม โดยไม่แยกแยะ และจำเป็นต้องระบุพฤติกรรมด้วยว่ามีอะไรบ้างที่สามารถระบุได้เช่นนั้น
4) เห็นได้ชัดเจนว่า หลังจากผ่านเหตุการณ์มาถึง 6 เดือนแล้ว ในการสืบสวนสอบสวนของดีเอสไอ มีความคืบหน้าชัดเจนเฉพาะคดีที่รัฐบาล ศอฉ. และดีเอสไอเอง อ้างมาตลอดว่าเป็นฝีมือของฝ่าย นปช. หรือฝ่ายสนับสนุนเท่านั้น แต่คดีที่สาธารณะสงสัยว่าทหารหรือเจ้าหน้าที่เป็นผู้กระทำให้ประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากนั้น กลับไม่มีความชัดเจนใดใดเลย ขณะที่ในการดำเนินคดีกับแกนนำ นปช. ในข้อหาก่อการร้ายนั้น ตามสำนวนฟ้อง แกนนำ นปช. ถูกกล่าวหาโดยเชื่อมโยงว่ามีส่วนทำให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 90 ศพ แต่หากการสืบสวนสอบสวนของดีเอสไอมีความคืบหน้าเพียงแค่นี้ การฟ้องร้องดำเนินคดีกับแกนนำ นปช. ก็น่าจะมีปัญหาในเชิงพยานหลักฐาน
5) ปัญหาข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า การทำงานของดีเอสไอเลือกที่จะมุ่งไปที่การสนับสนุนการดำเนินคดีต่อแกนนำ นปช. และหวังสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้แก่รัฐบาล-ศอฉ. เป็นด้านหลัก มากกว่าที่จะดำเนินการอย่างเที่ยงธรรมในทุกกรณีที่มีการเสียชีวิต
6) ศปช. เห็นว่า บทบาทหน้าที่ของดีเอสไอนั้น ควรเน้นไปที่การสืบสวนสอบสวนอย่างเที่ยงธรรมในเวลาอันเหมาะสม ไม่ใช่บทบาทที่ที่จะมาให้ข่าวที่ก่อให้เกิดความสับสนคลุมเครือและออกมาไต่สวนทางสาธารณะว่าฝ่ายใดหรือใครเป็นผู้กระทำให้เกิดการเสียชีวิตเพื่อหวังผลทางการเมือง หากควรเป็นบทบาทของศาลที่เป็นผู้ไต่สวนและทำคำสั่งแสดงถึงเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย นอกจากนี้ ศปช. ยังเห็นว่าดีเอสไอควรจะต้องทำยิ่งคือ การเปิดเผยรายงานการชันสูตรศพต่อญาติของผู้เสียชีวิต ซึ่งมีสิทธิที่จะได้รับข้อมูล
7) อันที่จริง ศปช. ยังมีความสงสัยในความสามารถของดีเอสไอที่จะทำการสืบสวนสอบสวนอย่างสุจริตเที่ยงธรรม เนื่องจากดีเอสไอ โดยเฉพาะอธิบดี เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงต่อกรณีนี้ เนื่องจากอธิบดีดีเอสไอมีบทบาทสำคัญใน ศอฉ. มาโดยตลอด ซึ่งหากการสืบสวนสอบสวนพบว่ามีกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้กระทำให้ประชาชนเสียชีวิต ศอฉ. ก็จะตกเป็นจำเลยด้วย
8) สุดท้าย ศปช. เห็นว่า นอกจากเรื่องกรณีผู้เสียชีวิตแล้ว เราต้องไม่ลืมว่า มีประชาชนที่บาดเจ็บ บางกรณีถึงขั้นพิการ อีกจำนวนมาก สืบเนื่องจากเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค. 53 ดังนั้น เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องยังต้องรับผิดชอบทำการสืบสวนสอบสวนว่าเจ้าหน้าที่รัฐกระทำเกินกว่าเหตุด้วยหรือไม่ มีส่วนในการกระทำให้ประชาชนบาดเจ็บนับพันรายหรือไม่ และจะชดใช้ให้กับคนเหล่านั้นอย่างไร ประเด็นเรื่องการกระทำที่เกินกว่าเหตุนี้ ดีเอสไอจะต้องนำเอาข้อมูลปฏิบัติการของ ศอฉ. และกองทัพมาให้สาธารณะร่วมตรวจสอบว่ามีการใช้กำลังทหารอย่างไร ใช้อาวุธเท่าไร อย่างไร สมควรแก่เหตุหรือไม่
เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ที่ห้องประชุม ร.102 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณีเมษายน-พฤษภาคม 2553 และกลุ่มญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค.53(ศปช.) จัดแถลงข่าวกรณีที่ รัฐบาลโดยกระทรวงยุติธรรม ได้เข้าไปช่วยประกันตัวผู้ที่ถูกคุมขังสืบเนื่องจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองระหว่างเดือน เม.ย.-พ.ค. 53 ความเห็นต่อการดำเนินการของรัฐบาลในการช่วยเหลือประกันตัวผู้ถูกคุมขังจากกรณีการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ รายงานข้อมูลผู้ถูกจับกุมคุมขัง และความเห็นต่อผลการสืบสวนสอบสวนของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ กรณีผู้เสียชีวิต 89 ราย
นางสาวกฤตยา อาชวนิจกุล อาจารย์ประจำสถาบันประชากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลในฐานะกรรมการ ศปช. แถลงว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา ศาลอาญาได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ที่ถูกคุมขังสืบเนื่องจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองระหว่างเดือน เม.ย.-พ.ค. 53 จำนวน 3 ราย ได้แก่ นายธีรเดช สังขทัต นายสมหมาย อินทนาคา และนายบุญยฤทธิ์ โสดาคำ โดยกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้ยื่นประกันตัวและใช้กองทุนยุติธรรมวางหลักทรัพย์ค้ำประกันให้ ซึ่งต่อมาวันที่ 11 พ.ย. นายกฯ อภิสิทธิ์ (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี) ได้เชิญนายสมหมายและนายบุญยฤทธิ์เข้าพบที่รัฐสภา
ภายหลัง นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้กล่าวในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ย. 53 ว่า ผู้ที่ถูกคุมขังสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองทั้งหมดนั้น เป็นการดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมาย เพียงแต่ว่า จากการสำรวจของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและกระทรวงยุติธรรม พบว่าปัจจุบันมีผู้ถูกคุมขังอยู่ประมาณ 180 ราย ซึ่งจำนวนหนึ่งมีปัญหา เช่น ปัญหาสุขภาพ ผลกระทบต่อการศึกษา สมควรจะได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ และจำนวนหนึ่งไม่ได้รับการดูแลทางด้านกฎหมายเท่าที่ควร ดังนั้น นายกฯ จึงมอบหมายให้ทางกระทรวงยุติธรรมไปดูรายละเอียดเป็นรายบุคคล หากกรณีไหนเป็นความผิดไม่ร้ายแรง ดูแล้วไม่เป็นอันตรายต่อความมั่นคง ก็จะขอให้มีการยื่นประกันตัวต่อศาล แล้วถ้ากรณีไหนขาดแคลนทุนทรัพย์ กองทุนยุติธรรมสามารถนำเงินกองทุนไปช่วยเหลือได้
สำหรับเหตุผลที่ได้เชิญผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือจากกลไกของกระทรวงยุติธรรมจนได้ประกันตัวออกมา 2 ราย พร้อมครอบครัว ไปพบที่ทำเนียบรัฐบาลนั้น นายอภิสิทธิ์บอกว่า เนื่องจากการประกันตัวครั้งนี้ดำเนินการโดยกองทุนของรัฐ ซึ่งทำให้เป็นการเพิ่มน้ำหนักเวลาไปขอประกันตัวจากศาล ฉะนั้นจึงขอความร่วมมือว่า เมื่อได้รับการประกันตัวแล้ว ขอให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของการประกันตัวอย่างเคร่งครัด ไม่ทำเช่นนั้น หากไปทำผิดเงื่อนไขของศาลก็จะต้องถูกจับกุมคุมขังอีก และที่สำคัญ ถ้ารายที่ได้ประกันตัวออกมาแล้วมีปัญหา จะส่งผลกระทบต่อรายอื่นๆ ที่ยังไม่ได้รับการประกันตัว
ทั้งนี้ นายกฯ ได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นผลงานของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการปฏิรูปและการปรองดอง
ต่อกรณีดังกล่าว ศปช. มีความเห็นและข้อสังเกต ดังนี้
1) นายกฯ อภิสิทธิ์ย้ำตั้งแต่ต้นว่า ผู้ที่ถูกคุมขังทั้งหมดนั้น เป็นการดำเนินการตามกฎหมาย รัฐบาลเพียงแต่เข้าไปพิจารณาช่วยเหลือเป็นรายกรณีเท่านั้น ตามนโยบายปรองดอง อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่ ศปช. ลงไปสำรวจ พบว่า หลายกรณีมีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าการจับกุมนั้น อาจมีปัญหาละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย รวมทั้งหลักสิทธิมนุษยชนสากล หลายกรณีมีลักษณะการจับกุมแบบเหวี่ยงแห ไม่มีพยานหลักฐานที่หนักแน่นเพียงพอ หรือมีการตั้งข้อหาที่รุนแรงกว่าความเป็นจริง หลายกรณีผู้ที่ถูกจับกุมถูกทำร้ายร่างกาย ถูกทรมาน ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสม ลักษณะวิธีการจับกุมไม่เป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งมีบางกรณีที่ถูกเจ้าหน้าที่ซ้อมหรือหลอกล่อให้ยอมรับสารภาพ ตัวอย่างกรณีของนายวิษณุ กมลแมน ซึ่งถูกจับกุมบริเวณปากซอยรางน้ำตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. 53 และเพิ่งจะพ้นโทษออกมาเมื่อวันที่ 11 พ.ย. ที่ผ่านมา เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลังต้องจำคุก 6 เดือนว่า ตนเองถูกทหารจับกุมและซ้อมเพื่อให้รับสารภาพว่ามาร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง ปัญหาเหล่านี้มีต้นเหตุสำคัญมาจากการที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นช่องให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลและขัดต่อรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การที่กลไกของรัฐเข้ามาช่วยเหลือผู้ที่ถูกคุมขังนั้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อปัญหาที่สืบเนื่องจากการกระทำของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐเอง รัฐบาลไม่ควรสำคัญผิดว่าเป็นผลงานปรองดองของตน
2) สิทธิในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวนั้น ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ซึ่งรัฐธรรมนูญก็รับรองไว้ด้วยว่า ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ เมื่อพิจารณาตามหลักการดังกล่าว ประกอบกับปัญหาของการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ แล้ว ดังนั้น ผู้ที่ถูกจับกุมคุมขังสืบเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. 53 ต้องได้สิทธิในการประกันตัวเป็นกรณีทั่วไป การไม่ได้รับสิทธิปล่อยตัวชั่วคราวต้องพิจารณาเป็นกรณียกเว้นเป็นรายๆ ไป มิใช่จะพิจารณาในการช่วยเหลือให้ได้รับการประกันตัวเป็นรายบุคคลเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหรือการศึกษาในลักษณะสงเคราะห์ดังที่นายกฯ แถลง แม้กระทั่งกรณีที่มีข้อหาร้ายแรงหรือดูแล้วมีอันตรายต่อความมั่นคงในสายตาของรัฐบาลก็สมควรได้รับการประกันตัวด้วย เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วเป็นการตั้งข้อหารุนแรงเกินกว่าความเป็นจริง เหวี่ยงแห ขาดพยานหลักฐานที่มีน้ำหนัก
3) มีข้อเกตว่า นอกจากจะฉวยโอกาสนำมาเป็นผลงานของตนแล้ว รัฐบาลกำลังใช้การเข้ามาช่วยเหลือให้ได้รับประกันตัวนี้ เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของตนหรือไม่ ในการประกันตัวรัฐบาลมียื่นเงื่อนไขทางการเมืองต่อผู้ถูกคุมขัง นอกเหนือจากเงื่อนไขของศาลหรือไม่ ดังเช่นในวันเดียวกับที่นายอภิสิทธิ์เรียกนายสมหมายและนายบุญยฤทธิ์เข้าพบ นายเทพไท เสนพงศ์ ในฐานะโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า นายกฯ ฝากให้ญาติของผู้ที่ได้รับการประกันตัวช่วยดูแลไม่ให้ทำความผิดซ้ำอีก ให้ปฏิบัติอยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่ทำผิดเงื่อนไขประกันตัว รวมไปถึงการไม่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองด้วย หากคนที่ออกมาก่อนทำผิดเงื่อนไข คนที่เหลืออาจเสียสิทธิได้รับการประกันตัวจากกระทรวงยุติธรรม นางสาวกฤตยา ยังได้แถลงถึงกรณีการแถลงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษเกี่ยวกับการเสียชีวิตของทหาร ตำรวจ และประชาชน ในเหตุการณ์ช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่า เมื่อวันที่ 16 พ.ย. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ได้แถลงถึงผลการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษเกี่ยวกับการเสีย ชีวิตของทหาร ตำรวจ และประชาชน 89 ราย ในเหตุการณ์ช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 โดยมีสาระสำคัญคือ หลังจากพนักงานสอบสวนท้องที่เกิดเหตุส่งสำนวนชันสูตรพลิกศพตามกฎหมายให้ดีเอสไอ พนักงานสอบสวนได้ใช้เวลาสืบสวนมาระยะหนึ่ง ได้ข้อสรุปว่าสามารถแยกคดีได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
ประเภทแรก มีจำนวน 8 คดี คือ คดีที่มีพยานหลักฐานตามสมควรว่า มีผู้เสียชีวิตเกิดจากการกระทำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องเกี่ยวพัน ซึ่งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่คือเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจ ประเภทที่สอง คือคดีที่ยังไม่เป็นที่ยุติว่าการเสียชีวิตเกิดจากการกระทำของกลุ่ม นปช. หรือกลุ่มติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งสมควรดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติม โดยการทำสำนวนชันสูตรพลิกศพตามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 จำนวน 6 ศพ ประกอบด้วย (1) กรณีผู้เสียชีวิตในวัดปทุมวนารามฯ จำนวน 3 ศพ จากจำนวน 6 ศพ ได้แก่ นายรพ สุขสถิต นายมงคล เข็มทอง นายสุวัน ศรีรักษา (2) กรณีพลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ ถูกยิงเสียชีวิต บริเวณแยกอนุสรณ์สถานแห่งชาติ จำนวน 1 ศพ (3) กรณีผู้เสียชีวิตบริเวณสวนสัตว์ดุสิต คือ นายมานะ อาจราญ จำนวน1 ศพ และ (4) กรณีผู้สื่อข่าวสัญชาติญี่ปุ่นเสียชีวิต บริเวณถนนดินสอ คือ นายฮิโรยูกิ มูราโมโต้ จำนวน 1 ศพ
จากกรณีดังกล่าว ศปช. มีความเห็นและข้อสังเกต ดังนี้
1) การแถลงข่าวของดีเอสไอในลักษณะนี้ เป็นการให้ข่าวที่ไม่ชัดเจน คลุมเครือ ก่อให้เกิดความสับสน ศปช. เห็นว่า เราสามารถแบ่งเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิตระหว่างเดือน เม.ย.-พ.ค. 53 ได้เป็น 3 ช่วง ได้แก่ (1) เหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. 53 (2) เหตุการณ์วันที่ 13-18 พ.ค. 53 และ (3) เหตุการณ์วันที่ 19 พ.ค. 53 ดีเอสไอควรแถลงให้ชัดในแต่ละเหตุการณ์ว่า สำนวนคดีแต่ละเหตุการณ์นั้นเป็นอย่างไร ซึ่งจากการแถลงของดีเอสไอจะพบว่า เหตุการณ์ช่วงที่ 2 ซึ่งประชาชนจำนวนมากถูกอาวุธปืนความเร็วสูงหรือสไนเปอร์ยิงเสียชีวิตนั้น หายไป ขณะที่สไนเปอร์เป็นอาวุธที่มีใช้เฉพาะในกองทัพและหน่วยงานของรัฐบางแห่งเท่านั้น รวมทั้งปรากฎภาพและคลิปวิดีโอชัดว่ามีทหารใช้สไนเปอร์ในปฏิบัติการ "กระชับวงล้อม" จริง ทำไมการพิสูจน์หาพยานหลักฐานในช่วงนี้ถึงหายไป
2) นับตั้งแต่ ศอฉ. ใช้กำลังทหารเข้า "ขอคืนพื้นที่" และ "กระชับวงล้อม" การควบคุมดูแลพื้นที่ใน กทม. โดยเฉพาะบริเวณที่ชุมนุมของ นปช. นั้น อยู่ภายใต้ความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งปฎิบัติราชการตามหน้าที่ทั้งหมด ดังนั้น ศพทุกศพที่เกิดขึ้นจะต้องทำการชันสูตรพลิกศพและไต่สวนการตาย ตาม ป.วิ.อาญา ม. 150 ไม่ใช่เลือกเฉพาะเป็นบางกรณีดังที่ดีเอสไอเสนอ
3) ในคดีประเภทที่ 1 ซึ่งดีเอสไอระบุว่า มีพยานหลักฐานตามสมควรว่ามีผู้เสียชีวิตเกิดจากการกระทำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันนั้น DSI ต้องอธิบายให้ชัดเจนว่า เป็นใคร กลุ่มไหน ไม่ใช้ระบุแบบเหมารวม โดยไม่แยกแยะ และจำเป็นต้องระบุพฤติกรรมด้วยว่ามีอะไรบ้างที่สามารถระบุได้เช่นนั้น
4) เห็นได้ชัดเจนว่า หลังจากผ่านเหตุการณ์มาถึง 6 เดือนแล้ว ในการสืบสวนสอบสวนของดีเอสไอ มีความคืบหน้าชัดเจนเฉพาะคดีที่รัฐบาล ศอฉ. และดีเอสไอเอง อ้างมาตลอดว่าเป็นฝีมือของฝ่าย นปช. หรือฝ่ายสนับสนุนเท่านั้น แต่คดีที่สาธารณะสงสัยว่าทหารหรือเจ้าหน้าที่เป็นผู้กระทำให้ประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากนั้น กลับไม่มีความชัดเจนใดใดเลย ขณะที่ในการดำเนินคดีกับแกนนำ นปช. ในข้อหาก่อการร้ายนั้น ตามสำนวนฟ้อง แกนนำ นปช. ถูกกล่าวหาโดยเชื่อมโยงว่ามีส่วนทำให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 90 ศพ แต่หากการสืบสวนสอบสวนของดีเอสไอมีความคืบหน้าเพียงแค่นี้ การฟ้องร้องดำเนินคดีกับแกนนำ นปช. ก็น่าจะมีปัญหาในเชิงพยานหลักฐาน
5) ปัญหาข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า การทำงานของดีเอสไอเลือกที่จะมุ่งไปที่การสนับสนุนการดำเนินคดีต่อแกนนำ นปช. และหวังสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้แก่รัฐบาล-ศอฉ. เป็นด้านหลัก มากกว่าที่จะดำเนินการอย่างเที่ยงธรรมในทุกกรณีที่มีการเสียชีวิต
6) ศปช. เห็นว่า บทบาทหน้าที่ของดีเอสไอนั้น ควรเน้นไปที่การสืบสวนสอบสวนอย่างเที่ยงธรรมในเวลาอันเหมาะสม ไม่ใช่บทบาทที่จะมาให้ข่าวที่ก่อให้เกิดความสับสนคลุมเครือและออกมาไต่สวนทางสาธารณะว่าฝ่ายใดหรือใครเป็นผู้กระทำให้เกิดการเสียชีวิตเพื่อหวังผลทางการเมือง หากควรเป็นบทบาทของศาลที่เป็นผู้ไต่สวนและทำคำสั่งแสดงถึงเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย นอกจากนี้ ศปช. ยังเห็นว่าดีเอสไอควรจะต้องทำยิ่งคือ การเปิดเผยรายงานการชันสูตรศพต่อญาติของผู้เสียชีวิต ซึ่งมีสิทธิที่จะได้รับข้อมูล
7) อันที่จริง ศปช. ยังมีความสงสัยในความสามารถของดีเอสไอที่จะทำการสืบสวนสอบสวนอย่างสุจริตเที่ยงธรรม เนื่องจากดีเอสไอ โดยเฉพาะอธิบดี เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงต่อกรณีนี้ เนื่องจากอธิบดีดีเอสไอมีบทบาทสำคัญใน ศอฉ. มาโดยตลอด ซึ่งหากการสืบสวนสอบสวนพบว่ามีกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้กระทำให้ประชาชนเสียชีวิต ศอฉ. ก็จะตกเป็นจำเลยด้วย
8) สุดท้าย ศปช. เห็นว่า นอกจากเรื่องกรณีผู้เสียชีวิตแล้ว เราต้องไม่ลืมว่า มีประชาชนที่บาดเจ็บ บางกรณีถึงขั้นพิการ อีกจำนวนมาก สืบเนื่องจากเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค. 53 ดังนั้น เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องยังต้องรับผิดชอบทำการสืบสวนสอบสวนว่าเจ้าหน้าที่รัฐกระทำเกินกว่าเหตุด้วยหรือไม่ มีส่วนในการกระทำให้ประชาชนบาดเจ็บนับพันรายหรือไม่ และจะชดใช้ให้กับคนเหล่านั้นอย่างไร ประเด็นเรื่องการกระทำที่เกินกว่าเหตุนี้ ดีเอสไอจะต้องนำเอาข้อมูลปฏิบัติการของ ศอฉ. และกองทัพมาให้สาธารณะร่วมตรวจสอบว่ามีการใช้กำลังทหารอย่างไร ใช้อาวุธเท่าไร อย่างไร สมควรแก่เหตุหรือไม่ -- ******************************************************************************************* เจออาจารย์ธรรมศาสตร์วิเคราะห์และแจงเหตุผลเข้าไป ดูท่าทาง ศอฉ. และดิเอสไอ จะเดินไม่เป็นซะแล้ว ถ้าเป็นสมัยก่อน เจอยิงเป้าสถานเดียวครับ --ผู้ที่อ้างว่าพิทักษ์ชาติ เจอข้อหาบ่อนทำลายชาติเข้าเต็มตรีน ---อย่างที่บอก ต่อให้ออก กม.นิรโทษตัวเอง แต่ศาลโลกจะไม่รับฟัง แถมยังส่อพิรุธเต็มๆ ตบหัวแล้วลุบหลังแบบนี้คนไทยรับไม่ได้หรอกนะ ---------------------------------------------------------------------------- //www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1288956552&grpid=01&catid=
ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.) จัดสัมมนาเรื่อง"ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านหลังกรณี เม.ย.-พ.ค. 53 : การแสวงหาความจริง-การรับผิด-ความยุติธรรม-ความปรองดอง" เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ที่ห้อง ร.103 คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีผศ.ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวเปิดงานโดยยกบทความของ ศาสตราจารย์ ธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มากล่าวดังต่อไปนี้
คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. ชุดคณิต(นายคณิต ณ นคร )-สมชาย (สมชาย หอมละออ)ใช้แนวคิดความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านอย่างฉ้อฉล (abused) พวกเขาใช้ถ้อยคำเหล่านี้เพื่อให้คณะกรรมการฯ ฉบับของไทยดูราวกับว่าเป็นไปตามมาตรฐานโลก โดยยืม "ฉลาก" อันเป็นที่ยอมรับกันในแวดวงสากล แต่เอามาแต่ฉลากไม่มีเนื้อหาสาระอะไรเลย จะด้วยเจตนาที่จะโฆษณาชวนเชื่อหรือด้วยความเขลาไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ตามแต่
นี่เป็นนิสัยการยืมแบบไทยๆ
สาระสำคัญของความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านที่คณะกรรมการฯ ของไทยขาดก็คือ การต้องนำเอาการปราบปรามเข่นฆ่าที่เกิดขึ้นมาอยู่ในการพิจารณาด้วย เพราะเป็นประเด็นที่สำคัญและจำเป็นในการก้าวสู่ประชาธิปไตย คณะกรรมการเพื่อการสมานฉันท์และค้นหาความจริง (Truth and Reconciliation Commission (TRC)) ในรูปแบบและภายใต้ชื่อต่างๆเป็นเครื่องมือที่จะนำไปสู่เป้าหมายนี้ อย่างไรก็ตาม ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านก็ไม่ใช่กระบวนการที่จะดำเนินไปอย่างตรงแหน่วโดยปราศจากข้อขัดแย้งในตัวของมันเอง(dilemma)
ประเด็นหลักและข้อขัดแย้งของความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน
ในแทบทุกกรณีทั่วโลก ประเด็นพื้นฐานสองประเด็นที่แต่ละสังคมต้องเผชิญ และเป็นประเด็นแย้งกันคือ ความยุติธรรมและการสมานฉันท์(หรือการปรองดอง) นอกจากนี้ยังมีอีกสองประเด็นที่เป็นประเด็นใหญ่เช่นกัน แต่ยังไม่ใช่หัวใจหรือเป็นประเด็นเร่งด่วนในตอนนี้ นั่นคือ
การชดเชยหรือการเยียวยา (reparation) และความทรงจำความยุติธรรมและการปรองดอง อาจดูเป็นสองเรื่องแยกกัน แต่ถ้าคิดดูดีๆ จะพบว่าประเด็นพื้นฐานสองประเด็นนี้อาจเป็นสองขั้วอยู่ปลายสุดสองด้านในการพิจารณาเรื่องการปราบปรามเข่นฆ่าที่เกิดขึ้น
ความยุติธรรม <--------->การปรองดอง
ในแทบทุกกรณี การแสวงหาความยุติธรรมให้ได้อย่างเต็มที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการปรองดอง หรือกลับกันคือการปรองดองกีดขวางความยุติธรรม พูดอย่างอุดมคติ เราอยากจะได้ความยุติธรรมสูงสุดและการเยียวยาที่ครบถ้วนเพื่อจะได้ก้าวไปข้างหน้า ในทางทฤษฎีความยุติธรรมครบถ้วยสมบูรณ์เป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ของการปรองดอง แต่ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมาก
ทุกสังคมที่เผชิญกับความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน พยายามหา "จุดสมดุลย์" (แม้ว่าในความเป็นจริงจะหา "จุดสมดุลย์" ที่ลงตัวสมบูรณ์แบบไม่ได้ก็ตาม) เพื่อให้บรรลุได้ทั้งสองประการ แต่จุดดังกล่าวอยู่ตรงไหนนั้นขึ้นอยู่กับกรณีความรุนแรงโหดร้ายที่เกิดขึ้น และเงื่อนไขทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมของแต่ละสังคม จุดดังกล่าวสามารถแปรเปลี่ยนไปได้ตามการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสังคมเมื่อเวลาผ่านไป (เช่นชิลีและอาร์เจนตินา) ในหลายประเทศ ประเด็นการปรองดองมีน้ำหนักครอบงำประเด็นความยุติธรรม ทำให้กระบวนการแสวงหาความยุติธรรมอ่อนแอหรือมีการลงโทษผู้กระทำผิดเพียงเบาบางเพื่อให้สังคมเดินหน้าต่อไปได้
* ไต้หวัน: มีการพิจารณาการปราบปรามเข่นฆ่าที่ก๊กมินตั๋งกระทำต่อชาวพื้นเมืองไต้หวันในปี 2491 และไม่นานหลังจากที่ก๊กมินตั๋งยึดครองเกาะไต้หวัน * เกาหลี: มีการพิจารณาการปราบปรามเข่นฆ่าภายใต้เผด็จการหลายทศวรรษ ตั้งแต่ซิงมันรี ปักจุงฮี ถึงชุนดูวาน ในกรณีเช่น การปราบปรามนักศึกษาและฝ่ายซ้ายอย่างที่กวางจู ตลอดจนการสังหารหมู่ประชาชนที่เกาะเจจู (Jeju) * ฟิลิปปินส์: มีการพิจารณาการปราบปรามเข่นฆ่าที่กระทำต่อชาวมินดาเนาและในช่วงสงครามเย็น * อดีตเยอรมันตะวันออก: สายสืบของ Stasi แทรกซึมอยู่ทั่วไปในสังคมจนหากต้องการความยุติธรรมและมีการลงโทษอย่างเต็มที่แล้ว ก็จะมีคนต้องได้รับโทษเป็นจำนวนมาก หลายคนก่ออาชญากรรมต่อคนในครอบครัวของตัวเอง ในท้ายที่สุดขอบเขตและเป้าหมายของการลงโทษถูกจำกัดให้แคบ เหลือแต่เฉพาะผู้นำระดับสูง เราอาจพูดได้ว่าอินโดนีเซียและกัมพูชามีความลังเลที่จะเผชิญกับอดีตหรือการแสวงหาความยุติธรรมด้วยเหตุผลเดียวกัน กรณีประเทศไทยก็อาจจัดอยู่ในข่ายนี้ในหลายๆ ประเทศ ความยุติธรรมมีน้ำหนักเหนือการปรองดองที่ง่ายฉาบฉวย (simplistic)ทำให้การแสวงหาความยุติธรรมและการลงโทษดำเนินไปโดยเสี่ยงต่อการทำให้ความตึงเครียดในสังคมยืดเยื้อออกไปหรือปะทุขึ้นมาอีก ชิลีกับอาร์เจนตินาคือตัวอย่างในกรณีนี้ แต่กรุณาสังเกตว่าในทั้งสองกรณี การแสวงหาความยุติธรรมเกิดขึ้นอย่างล่าช้าและกินเวลา อาร์เจนตินาหมดเวลาราวหนึ่งทศวรรษไปกับการปรองดองที่ฉาบฉวยโดยที่ไม่ค่อยมีความยุติธรรม ต้องรอจนกระทั่งประชาธิปไตยมีความมั่นคงมากขึ้นและมีผู้นำที่กล้าตัดสินใจรื้อฟื้นประเด็นนี้ขึ้นมา ชิลีไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงระบอบหรือกลุ่มผู้ปกครอง (regime change) จริงๆ (ปิโนเชต์กับกองทัพ) และต้องอาศัยการแทรกแซงจากผู้พิพากษาชาวสเปนรายหนึ่งในการพลิกกระแส ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการรื้อฟื้นการแสวงหาความยุติธรรมขึ้นมา แอฟริกาใต้ได้รับการยกย่องสำหรับการริเริ่ม ในการยึด "ความจริง" เป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ ความจริงเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงความยุติธรรมเข้ากับการปรองดอง และแอฟริกาใต้ยังเป็นกรณีที่สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม กรุณาสังเกตว่า บางคนบอกว่าคนดำไม่ได้ยินดีนักกับกระยวนการนี้ ขณะที่บางคนในคณะกรรมการฯ ชุดอ.คณิตบอกว่าคนขาวไม่ยินดีนักกับกรณีนี้ แต่ข้อเท็จจริงเป็นทั้งสองด้านและอยู่ระหว่างสองด้าน เพราะความจริง (อันเป็นปัจจัยสำคัญที่เชื่อมโยงความยุติธรรมกับการปรองดอง) คือหัวใจสำคัญ คณะกรรมการสมานฉันท์ (TRC) ในแอฟริกาใต้มีลักษณะเฉพาะและอาจจะไม่สามารถเลียนแบบได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันสอดคล้องกับเงื่อนไขของประเทศนั้น แต่ก็เป็นเพราะการเน้นความสำคัญของความจริงในฐานะสิ่งเชื่อมโยงระหว่างความยุติธรรมกับการปรองดองด้วยกล่าวในเชิงแนวคิดแล้ว เรื่องนี้ไม่ง่ายที่จะทำความเข้าใจ หากมองในเชิงการเมืองมันก็ไม่เป็นที่ปรารถนาทั้งสำหรับฝ่ายผู้กระทำผิดและผู้ถูกกระทำ มันใช้ได้กับกรณีแอฟริกาใต้(แม้ว่าความเลวร้ายของปัญหาการเหยียดผิวปรากฏชัดแจ้งอยู่แล้วก็ตาม) เพราะเส้นแบ่งจำแนกผู้กระทำผิดกับผู้ถูกกระทำในช่วงการต่อสู้ที่รุนแรงนั้นได้พร่าเลือนไป คนดำและคนขาวจำนวนมาก ทั้งรัฐสภาแห่งชาติแอฟริกันและผู้ปกครองผิวขาว ต่างก็เป็นทั้งผู้ก่อความรุนแรงและเหยื่อ ในทุกกรณี มีเรื่องควรระวังที่รองลงไปอยู่หลายเรื่องด้วยกัน อันแรก ระดับชั้นผู้ที่ควรได้รับการลงโทษควรจะลงลึกไปจากระดับหัวหรือผู้สั่งการมากน้อยแค่ไหน? รวมลงไปถึงผู้คุมในเรือนจำที่ทรมาณผู้ต้องข้ง หรือทหารระดับล่างที่เหนี่ยวไกยิงด้วยไหม? ในกรณีส่วนใหญ่ต้องรวมพวกเขาด้วย แต่ต้องคำนึงถึงอีกเรื่องหนึ่งด้วยคือ เรื่องที่สอง ระดับและประเภทของอาชญากรรม ในกรณีส่วนใหญ่ ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ของ "การสั่งการ" ของระดับบังคับบัญชา แต่ความทารุณโหดร้ายถูกดำเนินการโดยทหารระดับล่าง ความยุติธรรมต้องมีความเป็นธรรมด้วย คณะกรรมการสมานฉันท์ในประเทศใดก็ตามล้วนเผชิญกับประเด็นเหล่านี้ เราไม่อาจแน่ใจได้ว่าคณะกรรมการคอป.ให้ความใส่ใจประเด็นเหล่านี้มากมายหรือไม่ หน้าที่ของพวกเขาคือการเบี่ยงเบนประเด็นไม่ให้รัฐบาลผิดอยู่ฝ่ายเดียว ถึงที่สุดแล้ว คณะกรรมการชุดนี้ไม่ได้มีเพื่อแสวงหาความยุติธรรม และสายตาสั้นเรื่องการปรองดอง เมื่อพูดถึงหลักการเรื่องความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านมายาวพอสมควรแล้ว ต่อไปนี้ขอพูดต่อเกี่ยวกับกรณีของไทย ทำไมในหลายกรณีของไทย ความยุติธรรมจึงมักถูกโยนทิ้งไปเสมอ? ทุกกรณีของไทย (6 ตุลา, พฤษภา 35, เมษา-พฤษภา 53) จริงๆ แล้ว ไม่ซับซ้อนอะไรเลยเมื่อเทียบกับหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ในแง่ที่ว่าอาชญากรรมนั้นคืออะไร อะไรถูก อะไรผิดใครเป็นผู้กระทำและใครเป็นเหยื่อ กรณีของไทยไม่ซับซ้อนในแง่นี้ แต่กระนั้นก็ไม่ง่ายกว่ากรณีอื่นในการแสวงหาความยุติธรรมและการปรองดอง เนื่องจากเงื่อนไขทางการเมืองสังคม และวัฒนธรรม อย่างแรก ไม่ม ี "การเปลี่ยนแปลงระบอบ (regime change)" อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่สุดในการแสวงหาความยุติธรรมหรือการปรองดองใดๆ ด้วยเงื่อนไขทางการเมืองเพียงประการเดียวนี้ทำให้คณะกรรมการชุดคณิต-สมชายเป็นเรื่องตลก เหมือนคณะกรรมการต่างๆ ก่อนหน้าที่สอบสวนกรณีพฤษภา 35 และกรณีอื่นๆ เงื่อนไขเดียวกันนี้ทำให้การสืบสวนกรณี 6 ตุลา หรือปัญหาชายแดนภาคใต้เป็นไปไม่ได้เลย อะไรคือ "การเปลี่ยนแปลงระบอบ" ที่ว่า? พูดสั้นๆ ก็คือ ผู้ที่อาจมีบทบาทโดยตรงหรือโดยอ้อมในการปราบปรามเข่นฆ่า หรือผู้ที่มีส่วนได้เสียกับผลของการสืบสวน จะต้องออกจากอำนาจและพ้นไปจากกลไกการแสวงหาความยุติธรรมและการปรองดอง คณะกรรมการชุดคณิต-สมชายนั้นถูกสร้างโดยอภิสิทธิ์เพื่อรับใช้อภิสิทธิ์ ช่างน่าขันเสียจริง!
ประการที่สอง การเมืองไทยและวาระทางสังคมสำคัญๆ ถูกครอบงำโดยคนในเมืองใหญ่พวกเขาเลือกอยู่ข้างไหนในคราวนี้? คำตอบเป็นที่รู้กันอยู่แล้ว นี่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง ประการที่สาม สังคมไทยไม่ให้ความสำคัญกับความยุติธรรมมากนัก ตรงกันข้าม เชิดชูแต่ความสามัคคี สังคมไทยไม่สนใจเท่าไหร่กับสิทธิและความเป็นปัจเจก สนใจแต่เสถียรภาพ ความมั่นคงและสถานะเดิม (status quo) ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมสังคมไทยจึงมีขันติต่ำต่อความขัดแย้งและการเห็นต่าง การปรองดองที่ต้องแลกด้วยการสูญเสียความยุติธรรมจึง "สมเหตุสมผล" และรับกันได้ง่าย หรือเป็นที่พอใจสำหรับคนไทยมากกว่าคนในวัฒนธรรมอื่น นี่คือรากฐานทางวัฒนธรรมของสังคมไทย แม้ไม่ชอบแต่ต้องอยู่กับมัน เราอาจไม่ตระหนักว่าคำว่ายุติธรรมที่เราคุ้นเคยในภาษาไทยนั้นมาจากคำสันสกฤตที่ไม่ได้หมายความว่ายุติธรรม "ธรรม" หมายถึงระเบียบทางสังคมที่เหมาะสมตามธรรมชาติ ในภาษาจีน บาฮาซา มาเลย์ เขมร พม่า ไม่มีคำที่แปลตรงตัวสำหรับคำว่า ยุติธรรม (justice)เช่นกัน คำที่ใช้หมายถึง ยุติธรรม ในภาษาเหล่านี้ล้วนมีรากมาจากอย่างอื่น ไม่ใช่ "straight"หรือ "upright" อย่างในภาษาละตินสำหรับ justice แนวคิดว่าด้วยความยุติธรรมและการปรองดองของพุทธอย่างที่พระไพศาลว่าไว้นั้นสะท้อนถึงคุณค่าบรรทัดฐานที่คนไทยยึดถือ สิ่งที่พระไพศาลนำเสนอจึงเป็นสิ่งที่คุ้นเคยและรับได้ง่าย แน่นอน วัฒนธรรมเป็นตัวกำหนดคุณค่าและบรรทัดฐานที่คลุมเครือ มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เราถึงสามารถที่จะต่อสู้และอาจจะเปลี่ยนแปลงมันได้
ประการที่สี่ ความยุติธรรมมีเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคม ในสังคมส่วนใหญ่ ความยุติธรรมเป็นตัวแก้ปัญหาความขัดแย้งในหมู่ประชาชน ระหว่างประชาชนกับรัฐ บนหลักการว่าด้วยสิทธิของปัจเจกบุคคล ความเป็นธรรมและความเท่าเทียมภายใต้กฎหมายเดียวกันแต่ระเบียบทางสังคมที่เหมาะสมในสังคมไทยไม่ใช่สิทธิปัจเจก หรือความเป็นธรรมและความเท่าเทียมภายใต้กฎหมาย ในความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐ เป้าหมายของความยุติธรรมคือการดำรงสถานะเดิม คือ การรักษาความสัมพันธ์ทางสังคมที่มีลำดับชั้นภายใต้รัฐ ความยุติธรรมในสังคมหลายแห่งไม่ใช่เป็นเรื่องขึ้นกับบุคคล (impersonal) แต่ความยุติธรรมในสังคมไทยเป็นการใช้อำนาจของรัฐของชนชั้นนำเพื่อรักษาระเบียบทางสังคมความยุติธรรมสนองรับใช้รัฐเพื่อระเบียบสังคมของชนชั้นนำ ดังนั้น ความยุติธรรมจึงสามารถถูกเขี่ยทิ้งไปได้ หากทำอย่างนั้นแล้วชนชั้นนำได้ประโยชน์
ยิ่งกว่านั้น สังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่เชื่อว่าคนธรรมดาจะสามารถปกครองและอำนวยความยุติธรรมโดยไม่ต้องพึ่งพาใบบุญจากชนชั้นนำที่ที่ปรีชาสามารถและเปี่ยมด้วยคุณธรรมความยุติธรรมจักต้องบังเกิดจากชนชั้นนำที่ทรงคุณธรรมเท่านั้น โดยมีแหล่งกำเนิดมาจาก"ผู้ทรงความยุติธรรมหนึ่งเดียว" (the Justice One) ที่ส่งผ่านอำนาจบันดาลความยุติธรรมให้ศาลทั้งหลายอีกที ศาลและกระบวนการยุติธรรมไม่ได้เป็นของประชาชน เมื่อไหร่ที่ชนชั้นนำต้องการพักระงับความยุติธรรม ซึ่งเป็นของพวกเขาไม่ใช่ของเรา พวกเขาก็จะทำด้วยความมีเมตตากรุณาธิคุณต่อประชาชนเพื่อธำรงระเบียบทางสังคมที่เหมาะสม (แน่นอน ตามทัศนะของพวกเขา) ประการที่ห้าในสังคมไทย การปรองดองมักจะเป็นเป้าหมายที่สูงกว่าความยุติธรรมเสมอตราบใดที่มันหมายถึงการดำเนินระเบียบกฎเกณฑ์ทางสังคมของชนชั้นนำสืบต่อไป หลัง2475 ยกตัวอย่าง ชนชั้นนำก็ไม่พูดปรองดอง พวกเขาพูดแต่เรื่องกำจัดพวกคอมมิวนิสต์ ประเทศไทยต้องการการปรองดองที่มีความยุติธรรม การปราบปรามเข่นฆ่าที่ผ่านมาในประเทศไทยไม่ได้เป็นเรื่องซับซ้อนมากนักในการที่จะชี้ถูกชี้ผิด หาผู้กระทำผิดและผู้ถูกกระทำ หากมีการยึดมั่นในหลักการความเป็นธรรมและความเท่าเทียมภายใต้กฎหมาย แต่ความยุติธรรมในสังคมไทยจะต้องไม่ไประคายเคืองอำนาจครอบงำและระเบียบสังคมของชนชั้นนำ อุปสรรคต่อความยุติธรรมอยู่ตรงนี้
สังคมไทยมีวุฒิภาวะเพียงพอ หรือมีศักยภาพที่จะพัฒนาและเติบโตบรรลุวุฒิภาวะที่จะรับมือความขัดแย้งที่ซับซ้อนในหมู่ประชาชนและระหว่างประชาชนกับรัฐได้ สังคมไทยไม่ได้เปราะบางหรือเป็นเด็กเหยาะแหยะเสียจนกระทั่งความยุติธรรมและการปรองดองก็ยังต้องถูกควบคุมและกำกับดูแลโดยชนชั้นนำผู้ทรงคุณธรรม การลดทอนและการพักระงับความยุติธรรมโดยอ้างการปรองดองจึงมีที่มาจากโลกทัศน์ของชนชั้นนำว่าประชาชนเป็นเหมือนเด็กและจำเป็นต้องให้ชนชั้นนำอำนวยความยุติธรรมให้ ทว่ามันเป็นไปเพื่อชนชั้นนำล้วนๆ เพื่อรักษาระเบียบสังคมที่มีลำดับชั้นอันมีพวกเขาอยู่บนสุด ที่มีการดำเนินการปรองดองโดยปราศจากความยุติธรรมครั้งแล้วครั้งเล่า ความยุติธรรมไม่ใช่ยาพิษ ความปรองดองที่ปราศจากความยุติธรรมต่างหากที่เป็นยาพิษ มันเป็นทั้งพิษทั้งมอมเมา
ประเทศไทยจะต้องเลิกการปรองดองที่ปราศจากความยุติธรรม และเริ่มแสวงหาความยุติธรรมเพื่อก้าวไปสู่สังคมที่เป็นธรรมและเท่าเทียมที่ประชาชนสามารถอยู่ด้วยกันได้ภายใต้กฎหมายเดียวกัน นี่เป็นวิถีทางที่สังคมที่ซับซ้อนจัดการกับความขัดแย้ง ไม่ใช่การอวดอ้างการปรองดองที่ฉาบฉวยว่างเปล่าโดยปราศจากความยุติธรรม
------------------------------ โปรดติดตามการอภิปรายหัวข้อเรื่อง "ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน : กรณีศึกษาจากต่างประเทศ" โดยมี ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณีประเทศเกาหลีใต้ คือ การยอมรับอำนาจประชาชนในการต่อสู้กับรัฐ และการที่ประชาชนใช้อาวุธกับรัฐเมื่อรัฐใช้ความรุนแรงก่อน
ดร.แดนทอง บรีน ประธานสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) เปรียบเทียบกรณีความรุนแรงในประเทศอาร์เมเนียกับไทย แสดงให้เห็นว่าประเทศอาร์เมเนียมีบทบาทของสภายุโรปเข้ามาแทรกแซง ช่วยเข้ามาค้นหาความจริงและทำกันอยู่ในขณะนี้
น.ส.ภัควดี วีระภาสพงษ์ นักเขียนอิสระ ยกตัวอย่างกรณีของประเทศอาร์เจนติน่า มีความน่าสนใจ คือ สามารถปฏิรูปสถาบันหลักที่เป็น"ภัยสยอง" สร้างความกลัวในการอุ้มคนหาย ในเชิงรูปธรรมเขาสามารถปลดนายทหารระดับสูงออกไปได้ 3ใน4 และการทำให้กฎหมายนิรโทษกรรมเป็นโมฆะ กลไกในการทำให้เกิดความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านต้องมีเการเปลี่ยนสถาบันก่อน มีการเยียวยาและชดเชยอย่างเหมาะสม การเยียวยาเป็นนามธรรมมีการขอโทษและยอมรับผิดออย่างจริงใจ การปฏิรูปสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าประชาชน และนิรโทษกรรมอย่างมีเงื่อนไข
และอาจารย์ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงกรณีกัมพูชา ชิลี แอฟริกาใต้เปรียบเทียบกับประเทศไทยได้อย่างน่าสนใจ โดยการยกโมเดลเทียบกับประเทศไทยเรื่อง "ลืม มึน งง" รวมทั้งการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเท่ากับมีการนิรโทษกรรมล่วงหน้า ------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------ -------เออ อ่า นาง สว.โรสนา และ อจ.ตุ๊ดที่ออกช่อง 11 ไม่รู้ว่าจะหลับตาพูดไปถึงไหนนะ ให้โอกาสเสื้อแดงพูดบ้างสิ (แต่ เออ พวกเขาอยู่ในคุกซะเยอะ มีนศ.โดนยัดคุกมา 6 เดือนแล้ว และที่โดนซ้อมให้นอมรับว่ามาชุมนุมก็มี) ระวังเด็กอนุบาลมันหัวเราะเยาะเอานะ----ตอนนี้คนทั้งเมืองเขารู้ความจริงกันหมดแล้ว มีแต่นายม๊าก กับพ่อแม่เท่านั้นที่เชื่อว่า พวกเขาใส่ซื่อประดุจเด็กอัณฑะใส ทางพรรค ปชป.มัวแต่ห่วงโนยุบ ลองนึกถึงว่าใครทำประชาชนไว้ ถ้าพวกเขาขอเอาคืน อย่าว่าแต่จะหาเสยงเลย แค่เดินผ่านหน้าบ้านประชาชนให้ครบทุกจังหวัดให้ได้ก่อน ----และยิ่งน้ำท่วม ช่วยแค่ไร่ละพันสองพัน แต่สวนยางภาคใต้เล่นไร่ละ17000 บาท โยไม่ต้องท่วมถึง7 วันก็ได้ มันไม่หาเสียงมากไปหน่อยหรือพวกมรึงเอ๋ย -------------------------------------------------------------
Create Date : 20 พฤศจิกายน 2553 |
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2553 11:42:00 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1248 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|