ธรรมลึกลับ3 ภาค1

-พี่สาวส่งเอกสารมาทางอีเมล์ครับ

Mouth Buddha1
พุทธวัจนะภาษา
คือ ภาษามคธ มิใช่ภาษาของชาวมคธ แต่เป็นภาษาดั้งเดิมของปวงสัตว์ ที่สื่อสารกันได้ทั้งหมด ไม่มีแบ่งแยก ทั้งคน, สัตว์, เทพ, ผี ฯลฯ ล้วนสื่อสารกันได้ด้วยภาษานี้ ไม่มีตัวอักษร กำ้เนิดก่อนเทพอักษรจะประดิษฐ์ตัวอักษรใดๆ เป็น "ภาษาจิต" เป็นภาษากลาง, เป็นภาษาสากล ที่ทุกสรรพชีวิต เข้าใจเท่าเทียมกัน หลังความเสื่อมเกิดขึ้นบนโลกแล้ว สรรพชีวิตไม่อาจเข้าใจกันได้ เทพอักษรจึงลงมา สร้าง "ตัวอักษร" ขึ้นภายหลัง แต่พราหมณ์ได้บันทึกประวัติไว้ ทำให้กษัตริย์แคว้นมคธใช้คำว่า ภาษามคธ กับอักษรของตน แต่นั่น หาใช่ "ภาษามคธ" (ภาษาจิต) แต่ดั้งเดิมไม่
อนึ่ง พระพุทธองค์ทรงใช้ "ภาษามคธ" นี้ จึงสื่อสารกับคน, สัตว์, เทพ, ผี ฯลฯ ได้ทั้งหมด ทว่า เพราะมนุษย์โลกเสื่อมลงไปมากแล้ว ท่านจึงยังจำเป็นต้องใช้ "ภาษาที่เกิดจากเทพอักษร" มีตัวอักษร,
เสียง, รูป ปรุงแต่ง เพื่อสื่อสารไปเช่นนั้นเอง
ดังนั้น ภาษา, ถ้อยคำ, เสียง ฯลฯ ทั้งหลาย ล้วนไม่มีสาระ หากไม่เข้าถึงภาษามคธนี้ (ภาษาจิต) ในทางเซนเรียกภาษานี้ว่า "จิตสู่จิต" คือ การสื่อสารจากจิตถึงจิตโดยตรงเหนือกว่าคำพูดใดๆ
อนึ่ง บุคคลจะบรรลุธรรมได้ด้วย "ภาษามคธ" นี้เท่านั้น หาไม่แล้ว ย่อมหลงกล ติดบ่วงแห่งเทพอักษร หลงตัวอักษรและภาษาต่างๆ มิอาจเข้าถึงธรรมได้อย่างแท้จริง (ด้วยอักษรภาษามีขีดจำกัดในการอธิบายธรรม)
ดังนี้ จึงมีคำกล่าวว่า "ธรรมะที่อธิบายได้ ไม่ใช่ธรรมแท้" แต่กระนั้นการอธิบายก็ยังจำเป็น เพื่ออยู่ร่วมกับมนุษย์ที่ มีจิตใจหยาบ เสื่อมลง ไม่อาจเข้าใจในภาษามคธได้ แต่มิใช่เพื่อการบรรลุธรรมที่แท้จริงเลย ...
พระอรหันต์กับนิพพาน
เป็นคนละสิ่งกัน อรหันต์คืออรหันต์, นิพพานคือนิพพาน ทว่า สองอย่างนี้เกี่ยวข้องกันมาก
กล่าวคือ บุคคลถึงซึ่งนิพพานได้ จำต้องผ่านการบรรลุอรหันต์มาก่อน
แต่บุคคลที่บรรลุอรหันต์นั้น ไม่จำเป็นต้องนิพพานเสมอไป
คำว่า "อรหันต์" นั้น เป็นผลมาจากการสร้างเหตุให้เกิดเป็น ให้ได้เป็น
เหตุแห่งการได้เป็นอรหันต์ ก็คือ การบรรลุธรรม
เมื่อบรรลุธรรมแล้วอาจจะนิพพานในชาตินั้นเลย หรือยังไม่รีบนิพพานก็ได้
การที่อรหันต์เป็นผลจากการปฏิบัติธรรม ถึงที่สุดแห่งธรรม บรรลุธรรมเป็นเหตุ จึงมีอรหันตผล เป็นผลนั้นเอง
"อรหันต์" จึงเป็นธรรมในปฏิจสมุปบาท อันอาศัยเหตุปัจจัยให้เกิด
เป็น "รูปนาม" อย่างหนึ่งเท่านั้น เป็นสิ่งที่ "ไม่ได้มีอยู่ก่อน" เหมือนการให้ปริญญาคนที่เรียนจบแล้ว นั่นแล
ผู้ที่มีปัญญาแจ้งถึงนิพพาน ก็นับว่า "อรหันต์" เท่านั้นเอง

ทว่า "นิพพาน" เป็นธรรมอันหลุดพ้นแล้วจากเหตุปัจจัยใดๆ ทั้งมวล ไม่ใช่ธรรมที่เกิดจากเหตุใดๆ และไม่ใช่ผลของเหตุใดๆ จึงไม่ได้เกิดจากการเกิดหรือดับของเหตุปัจจัยใดๆ จึงพ้นแล้วจากเหตุปัจจัย พ้นแล้วจากปฏิจสมุปบาท พ้นแล้วจากการเกิดดับกล่าวได้ว่านิพพาน ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่ใช่เหตุ ไม่ใช่ปัจจัย เป็นเช่นนั้นเอง เหนือกาลเวลา ไม่จำกัดกาล แม้ในอดีตก็เป็นเช่นนี้, ปัจจุบัน ก็เป็นเช่นนี้, อนาคตก็เป็นเช่นนี้ มิใช่ เพิ่งมามี มาเกิด มาเป็น ก็เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ หรือสร้างให้นิพพานมีขึ้น เกิดขึ้น เพราะผลแห่งการอรหันต์ ก็หาไม่ อุปมาเหมือน ธรรมชาติหนึ่ง บัณฑิตผู้รู้แจ้งในธรรมชาตินี้ เรียกว่า "อรหันต์" ซึ่งอรหันต์นี้เกิดภายหลังธรรมชาตินี้ ทว่า ธรรมชาตินี้่ ไม่ขึ้นแก่กาล เป็นเช่นนี้มานานและตลอดไป ทั้งในอดีต, ปัจจุบัน และอนาคต นั่นเอง แต่มิอาจกล่าวได้ว่า "นิพพานมีอยู่ เกิดอยู่ หรือดำรงอยู่ ทั้งในอดีต, ปัจจุบัน หรืออนาคต" ด้วยเพราะนิพพานไม่ขึ้นกับกาล ไม่ใช่ธรรมที่เกิดขึ้น, ตั้งอยู่ หรือดับไป จะว่ามีอยู่, เกิดอยู่ หรือดับไปในกาลใดๆ ก็หาได้ไม่? จึงไม่อาจกล่าวว่าเที่ยง หรือจีรัง หรืออมตะ ด้วยเพราะไม่ใช่ธรรมอันเกิดขึ้น, ดำรงอยู่ หรือไม่ดับไป ในกาลใดๆ จึงพ้นแล้วทั้งปวง

ดังนั้น "พระิอรหันต์" จึงไม่เที่ยง ด้วยเพราะเป็นเพียง "รูปนามหนึ่ง" ในปฏิจสมุปบาท มิใช่ธรรมอันพ้นแล้วจากการเกิดดับ ยังเกิดและดับได้อยู่ ดังนี้ จึงอาจนิพพานในชาตินั้นๆ เลยก็ได้ (ด้วยรู้แจ้งในนิพพานแล้ว) หรืออาจยังไม่รีบนิพพานก็ได้เช่นกัน ในกรณีที่รีบนิพพานในชาตินั้นๆ เลย จำต้องอาศัย "ธรรมวินัย" ของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องเตือนสติ ด้วยปัญญาของพระอรหันตสาวก ไม่อาจทราบทุกอย่าง แต่พระพุทธเจ้ามีสัพพัญญูญาณ ทราบทุกอย่าง จึงคอยบอกหรือเตือนสติพระสาวกได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ปรารถนานิพพาน จึงจำต้องเดินตามพระพุทธเจ้า ไม่อาจขาดซึ่งพระพุทธ, พระธรรมวินัย และความเป็น "อรหันตสาวก" ได้เลย จำต้องครบองค์รัตนตรัยทั้งสามส่วนดังนี้ฯ จักถือเอาว่าได้เพียงพระธรรมมาแล้วศึกษาเองก็บรรลุได้ ทำความเข้าใจด้วยการอ่านก็บรรลุได้ (สุตมยปัญญา) ไม่มีพระวินัย, ไม่ตรงต่อพระพุทธเจ้าก็นิพพานได้ นั้น เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะยุคนี้ ยังไม่ใช่ยุคของพระปัจเจกพุทธเจ้าที่จะนิพพานได้ด้วยตนเองแล ...

พระพุทธเจ้า
คือ ผู้รู้, ผู้ตื่น, ผู้เบิกบานเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้โดยชอบเป็น "พระองค์แรก" ในยุคนั้นๆ หมายความว่าก่อนหน้านั้น ไม่มีผู้บรรลุธรรมอยู่เป็นมนุษย์บนโลก หรือผู้บรรลุธรรมคนสุดท้ายได้ละสังขารขาดสายสิ้นไปจากโลกแล้ว
เมื่อท่านบรรลุอรหันต์เป็นพระองค์แรกด้วยตนเอง ที่เรียกว่าการ "ตรัสรู้" แล้วมีหน้าที่โปรดสัตว์ทั้งหลายเข้าสู่นิพพานตามพระองค์ไปจึงนับเป็นพระพุทธเจ้า ข้อนี้ต่างจาก "พระปัจเจกพุทธเจ้า" ที่เมื่อตรัสรู้อรหันตผลแล้วไม่มีหน้าที่ในการสอนสัตว์ให้นิพพานตามตนไป (แต่อาจมีหน้าที่อย่างอื่น)
อันบุคคลจะถึงซึ่งนิพพานได้ จึงต้องมีจิตตรง ศรัทธาตรง "ต่อพระพุทธเจ้าแท้จริง" ไม่อาจมีจิตตรงต่อสิ่งอื่นๆ หรือศรัทธาสิ่งอื่น แล้วจะถึงซึ่งนิพพานได้ เช่น มารแปลงกายเป็นพระพุทธเจ้า, นิมิตภาพแห่งพระพุทธเจ้า, สิ่งอื่นใดอันทำให้คิดว่าเป็นพระพุทธเ้จ้า แต่มิใช่พระพุทธเจ้า ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ บุคคลมีจิตตรงแล้ว, ศรัทธาแล้ว ก็ไม่อาจถึงซึ่งนิพพานได้
ตราบเมื่อสิ้นยุคของพระพุทธเจ้าแล้ว เข้าสู่ยุคของพระปัจเจกพุทธเจ้าๆ จึงจะถึงซึ่งนิพพานได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมีจิตตรงต่อพระพุทธเจ้าที่แท้จริงเลย แต่หากยังอยู่ในยุคของพระพุทธเจ้าแล้ว บุคคลจะถึงซึ่งพระนิพพาน จำต้องมีจิตตรง, ศรัทธาตรงต่อพระพุทธเจ้าที่แท้จริง อันเป็นองค์ประกอบหนึ่งในสาม ที่เรียกว่า "พระรัตนตรัย"
จริงอยู่ว่านิพพานไม่มีเหตุปัจจัยหนุนเนื่องให้เกิด, ให้ดำรงอยู่, ให้ดับไป ในกาลทั้งสาม แต่บุคคลใดจะถึงซึ่งนิพพานแล้ว ก็ยังจำเป็นต้องมี "พระรัตนตรัย" ครบสมบูรณ์ก่อนจะขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไปไม่ได้เป็น "เหตุจอง" ไว้ก่อน

บุคคลจะพึงอาศัยความศรัทธาหรือมีจิตตรงต่อพระสาวก ที่เรียกว่า "หลวงปู่, หลวงพ่อ" ครูบาอาจารย์อันประเสริฐของตน แต่กลับไม่มีจิตตรง ศรัทธาแท้ต่อ "พระพุทธเจ้าที่แท้จริง" เขาผู้นั้นไม่อาจถึงซึ่งนิพพานได้ แต่เขาอาจถึงซึ่งอรหันตผลในสายธรรมอื่นๆ อันเชื่อมต่อตรงมาสู่โลก เช่น สายธรรมของพระอามิตภะ, พระพุทธะ (ยูไล) ที่สถิตย์ ณ สุขาวดีโลกธาตุต่างๆ เป็นต้น
บุคคลผู้บรรลุอรหันตผลเช่นนี้ จะยังไม่ถึงวาระนิพพาน และจะจุติยังสุขาวดีสวรรค์ เรียกว่า "อรหันตโพธิสัตว์" อันมีพระพุทธะอื่นๆ เป็นต้นสายธรรม
ทั้งนี้ ควรเข้าใจด้วยว่า คำว่า "พุทธะ" เป็นคำกว้างๆ กลางๆ หมายถึง "จิตวิญญาณ" ที่มีลักษณะและความเป็นพุทธะอันแท้จริง ซึ่งเป็น "จิตวิญญาณ" ต้นธาตุ, ต้นธรรม และต้นกำเนิดของจิตวิญญาณทั้งหลายทั้งมวล หมายความว่า จิตวิญญาณทั้งหลายทั้งมวลนั้น ต่างก็กำเนิดมาจาก "พุทธะ" ทั้งสิ้น
อนึ่ง พึงทราบด้วยว่า "พุทธะ คือ จิตวิญญาณ" มิใช่ "จิต" อย่างเีดีัยว ด้วยเพราะมี "วิญญาณ" ปรุงแต่ง จึงเป็นพุทธะได้ ส่วนจิตนั้น บริสุทธิ์ประภัสสร ดังเดิมแท้ก่อนถูกปรุงแต่ง ไม่มีทั้ง "พุทธะ" หรือ "อพุทธะ" แต่เมื่อได้รับการปรุงแต่งแล้ว "จิตวิญญาณ" จึงเป็นพุทธะ (แต่จิตนั้นก็ยังคงเป็นจิตประภัสสรเช่นเดิม เหมือนเอาน้ำผสมกับน้ำมัน ส่วนของน้ำ ก็ยังเป็นน้ำเช่นเดิม)
อนึ่ง คำว่า "พุทธะ" นี้ ภาษาจีนคือ "ยูไล" ซึ่งสามารถสำเร็จได้หลายทาง ไม่จำเป็นต้องต่อสายธรรม หรือรับธรรมจากพระพุทธเจ้าก็ได้ เมื่อบรรลุยูไล หรือจิตวิญญาณกลับสู่ "ภาวะเดิมแท้" ดังเดิม (จิตวิญญาณต้นธาตุ ต้นธรรม ต้นกำิเนิด) แล้ว หากมิใช่กิจที่จะมาทำหน้าที่เป็นพระพุทธเจ้า ก็ไม่อาจเป็น "เจ้าแห่งพุทธะ" จึงไม่ใช่พระพุทธเ้จ้า
เมื่อทำหน้าที่ตามกิจของตน อันไม่ใช่กิจของพระพุทธเจ้าแล้ว จะยังไม่นิพพานบนโลกนี้ จึงจุติสู่ "สุขาวดีโลกธาตุ" (ในขณะที่พระพุทธเจ้าเมื่อจบกิจละสังขารแล้ว จะนิพพานบนดาวโลกนี้ หรือดาวโลกที่ตนไปเกิด)
เมื่อจุติที่สุขาวดีโลกธาตุ จะนับว่าเป็น "พระพุทธเจ้าบนสุขาวดีโลกธาตุนั้น" อีกพระองค์หนึ่ง (มีหลายพระองค์) แต่ไม่อาจใช้คำเรียกว่าพระพุทธเจ้า "บนโลกนี้ได้" เพราะจะเกิดความสับสน และทับซ้อนกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ซึ่งมีแต่พระสมณโคดม เพียงพระองค์เดียว
ดังนั้น จึงกล่าวได้อีกนัยว่า พระพุทธเจ้าสมณโคดม คือ พระพุทธเจ้า บนโลกนี้ ที่เกิด, ตรัสรู้ และนิพพาน บนโลกนี้ แต่ "พุทธะ" (หรือพระยูไล) คือ ผู้ที่จะได้ไปเกิด, ตรัสรู้ และนิพพานใน "โลกธาตุอื่น" คือ "พุทธเกษตรทั้งหลาย" (ซึ่งมีอยู่มากมาย) เช่น "สุขาวดีโลกธาตุ" เป็นต้น



Create Date : 13 สิงหาคม 2556
Last Update : 13 สิงหาคม 2556 0:05:18 น. 0 comments
Counter : 1441 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jesdath
Location :
เชียงราย Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2556
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
13 สิงหาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jesdath's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.