หลุดพ้นแบบฉับพลัน ภาค9 --หลวงพ่อแช่มจอมทัพรบกิเลส-5

ผู้เห็นผิด

ผู้เห็นผิดก็ยังติดผิดผิดอยู่
ยังไม่รู้ความผิดติดไม่หาย
พอรู้บ้างก็ยังติดผิดจนตาย
พอติดรู้มากมายตายกับธรรม
จึงไปพูดให้ถอนสอนเรื่องผิด
ผู้สอนผิดก็ยังติดเลยผิดซ้ำ
ผิดแต่ต้นยาวยืดเพราะยืดธรรม
จึงไม่ข้ามตัวตนพ้นผูกพัน
ผู้เห็นถูกสอนถูกทุกข์จึงหมด
ทั้งโลภหลงหายหดหมดทุกด้าน
หมดทั้งสุขหมดไม่เหลือเชื้อการงาน
แม้นิพพานที่หวานหอมยังยอมกลัว

กตธุโร
บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๑๓
----------------------
ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ เป็นยังไงบ้าง เก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วหรือ?
ผู้ใหญ่มา :ยังไม่เสร็จหรอกครับ ให้เด็กๆ และแม่บ้านเขาจัดแจงกันต่อ ผมขอปลีกตัวมาพบหลวงพ่อชั่วคราว มาคุยธรรมสักเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ
หลวงพ่อแช่ม :ไหนมีปัญหาอะไรว่ามาซิ ผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่มา :ก็เรื่องออกจากกามนั่นแหละครับ ถ้าเราเข้าใจและออกจากมันได้ ก็เป็นสักแต่ว่าวิญญาณรับส่งสัญญาให้สังขารปรุงเป็นเวทนา แล้วก็รู้เฉยๆ ใช่ไหมครับ? สังขารก็เป็นสักแต่ว่าปรุงไปตามเหตุ คือสัญญาที่เข้ามาแล้วมันก็เกิด-ดับของมัน จบขบวนการไปทุกครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องของมันโดยตลอด จะรู้ได้ว่ามีการดูดหรือผลักในเวทนาโดยตัวรู้
การดูดหรือผลักก็เป็นมัน ถ้ารู้แล้วจะดูก็ได้ไม่ดูก็ได้ มันเป็นของมันทั้งหมด ทั้งตัวดูตัวรู้ ผมเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วจากใจ เราไม่มี มีแต่มันเหลือแต่มันจริงๆ แม้มันเองก็เป็นเพียงสิ่งที่บัญญัติเอา มันก็มีไม่จริง เพราะเกิด-ดับไปตามเหตุปัจจัย จึงรู้จบตรงนี้เอง แล้วยังมีอะไรที่จะต้องดูต่อครับหลวงพ่อ?
หลวงพ่อแช่ม :เออ... ผู้ใหญ่ ถ้าเห็นได้อย่างนี้ก็ถูกต้องแล้วซี เห็นไหมล่ะ จะรู้ขึ้นมาเองในตัวเหมือนกัน การรู้เห็นแจ้งจนออกจากกาม ออกจากเวทนาได้หมด จนหมดตัวตนในเวทนาเรียกว่าหมดรูป ทิ้งรูปได้จนไร้รูปแล้วให้ดูจิตประคองจิตต่อไป จนเหลือจิตล้วนๆ ให้มันเดินทางไปสู่ที่พักของมันอย่างถูกต้องต่อไป จิตหยุดนิ่งไม่ได้ต้องเกิด-ดับตลอดเวลา ไม่มีใครบังคับจิตได้
จิตเป็นจิต และไม่มีตัวตน จิตจะทำหน้าที่เมื่อมีการกระทบทางกาย (อายตนะทั้งหก) เรียกว่าจิตเกิด จึงต้องรู้ทันอาการ ของจิต รู้ทันจิตและใช้จิตให้ถูก จึงต้องมีที่ให้จิตอยู่ ให้จิตได้เล่นในที่ภายในซึ่งเป็นกุศล เมื่อไม่เล่นก็พักอยู่ใน สุญญตาวิหาร คือว่าง ว่างจากการปรุงแต่งนั่นเอง จงอย่าจัดจิต หรือเอาจิตมาจัด เขาเป็นสิ่งไม่มีตัวตนบังคับไม่ได้ จัดไม่ได้ เขาควบคุมตัวเขาเองและเป็นนายกายด้วย เมื่อธาตุรู้ในจิตไปอยู่เหนือจิต จึงเป็นนายที่ฉลาด จะใช้กายและจิตอย่างถูกต้องจนกว่ามันจะสลาย มันจะแยกกับกาย ตอนที่รู้ว่ากายจะพังเพราะหมดที่อาศัย
ผู้ใหญ่มา :แล้วจิตสลายไปอยู่ที่ไหนเล่าครับ หลวงพ่อ?
หลวงพ่อแช่ม :เออ... มันมาจากไหนก็ไปสู่ที่นั่นแหละ มันไปของมันเอง บังคับไว้ไม่ได้อย่าไปสงสัยมัน จงปล่อยให้จิตเป็นจิตเมื่อขันธ์ห้ายังทำหน้าที่อยู่ จิตก็จะมีอยู่ แต่เนื่องจากจิตเป็นนามธาตุ เป็นธาตุเบาธาตุละเอียดที่มองไม่เห็น มันจึงมีลักษณะเหมือนกับไฟ ยามหมดเชื้อก็ไม่ลุกโชนขึ้นมาอีก และไฟไปอยู่ที่ของไฟฉันใด จิตก็อยู่ตามที่ของมันฉันนั้น เราไม่ต้องไปคำนึงว่ามันจะไปจะมาอย่างไร แต่ให้รู้เท่านั้นว่า จิตไม่ใช่เรา เราไม่มีในจิต จิตไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่จิต จิตเป็นเพียงผู้รู้ที่ไม่มีตัวตน เข้าใจไหมโยมผู้ใหญ่?
ผู้ใหญ่มา :เข้าใจครับ หลวงพ่อ
ทั้งพระและฆราวาสหยุดคุยกันชั่วคราว เพราะมีชาย ๒ คน มาหาหลวงพ่อแช่ม และก้มลงกราบ พร้อมทั้งกล่าวเสียงสั่นๆ ว่า ”หลวงพ่อครับ ผม ๒ คนพี่น้องรู้สึกตัวว่าผิดไปแล้ว มาขอสารภาพผิดกับหลวงพ่อขอรับ ผมชื่อ สุดใจ น้องชื่อ จาบ
หลวงพ่อแช่ม : อะไรกัน? หลวงพ่อยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเลย เรื่องมันเป็นอย่างไร? ค่อยๆ เล่าไปซิ
สุดใจ :ผมกับน้องได้ทำเรื่องที่ไม่ดี ไปขโมยควายจากวัดบัวลอย ตัวที่ประกวดชนะที่หนึ่งในงานวัดคุ้งนามอญนั่นแหละขอรับ แล้วนำไปขายเมื่อ ๕-๖ วันก่อน ได้เงินมา ๒,๐๐๐ บาท ผม ๒ พี่น้องนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว มันทรมานจริงๆ เวลาจะนอนรู้สึกเหมือนกับมีคนๆ หนึ่ง แต่งตัวชุดสีแดง รูปร่างสูงใหญ่มาก มายืนสั่งให้ผมเอาเงินที่ขายควายได้ไปคืนวัดเสีย เป็นเช่นนี้ทุกคืน ผมและน้องมีความกลัว ไม่กล้าเอาเงินไปคืน เพราะเกรงว่าจะถูกจับไปเข้าคุก เลยมาหาหลวงพ่อให้ช่วยรับเงินนี้ไว้ และช่วยหาทางให้ผมพ้นจากสภาพหลอกหลอนจนนอนไม่หลับด้วยเถิดครับ
หลวงพ่อแช่ม :เอาๆ หลวงพ่อจะจัดการให้ ผู้ใหญ่อย่าเพิ่งไปจับเขาเลยนะ ปล่อยเขาไปก่อน อ้าว! เจ้า ๒ คนกลับไปได้แล้ว แล้วค่อยมาคุยกับหลวงพ่อใหม่
หลังจากนั้นสักครู่ ทายกวัดบัวลอยก็มาถึง ชื่อนายปลั่ง เข้ามานมัสการหลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อถามว่า “เธอจะมาเอาเงินค่าควายคืนใช่ไหม? หลวงพ่อรับเงินไว้ให้แล้ว ผู้ใหญ่มาก็เป็นพยานรู้เห็นอยู่ที่นี่ด้วย”
นายปลั่ง :เอ! หลวงพ่อ มันชักจะยังไงๆ แล้วนะครับ หลวงพ่อทราบได้อย่างไรว่าผมจะมาเรื่องนี้? ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมพอควายที่วัดหายไป ๑ คืนเท่านั้น ก็มีคนมาขอพบผม และบอกให้เอาเงิน ๒,๐๐๐ บาท ไปไถ่ควายที่ลพบุรี บอกที่อยู่ให้เรียบร้อย ผมตื่นขึ้นก็ไปบอกอาจารย์ที่วัดบัวลอย ท่านก็ให้เอาเงินวัดไปไถ่ให้ได้ควายมา ปรากฏว่าเจ้าของควายที่ซื้อควายไว้เป็นแขก
พอผมไปถึง เขาก็เล่าเรื่องที่น่าอัศจรรย์ให้ฟัง ว่าตั้งแต่เลี้ยงควายส่งโรงฆ่าสัตว์มานานยังไม่เคยพบเหตุการณ์อย่างนี้เลย พอเขารับควายตัวนี้ไว้ก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น เขาฝันว่ามีผีใส่เสื้อแดงทั้งชุด รูปร่างสูงใหญ่เหมือนคนโบราณมาบอกว่า อย่าฆ่าควายตัวนี้นะ มันเป็นของวัดบัวลอย จะมีคนเอาเงินมาซื้อคืน ให้ขายคืนเขาไป ถ้าไม่ขายจะต้องเจอดี ควายตัวนี้เป็นควายมีบุญมาเกิด ถ้าฆ่ามัน พรุ่งนี้ควายของแขกทั้งหมดจะถูกซื้อไปไม่เหลือเลย ไม่เชื่อคอยดูก็แล้วกัน
พอแขกตื่นจากฝันก็ลงไปดูควายที่คอก เห็นมีแสงสว่างจ้าออกมาจากร่างควายบัวลอยสว่างไสวไปหมด เขาตกใจมาก ตกตอนสายมีคนมารับควายไปโรงฆ่าสัตว์เช่นวันก่อนๆ แต่เขานึกถึงความฝันก็เลยเปลี่ยนใจไม่กล้าขาย บอกให้คนที่มารับควายกลับไปก่อนและค่อยมาใหม่วันหน้า แต่ก็มีคนมาขอซื้อควายเรื่อยๆ ในราคาที่สูงกว่าเดิม คือตัวละ ๕,๐๐๐ บาท โดยเฉพาะควายบัวลอยเขาให้ราคาถึง ๗,๐๐๐ บาท แต่แขกก็ไม่กล้าขายมันไป จนกระทั่งมีคนมาให้ราคาถึง ๑๐,๐๐๐ บาท เขาจึงตกลงขายและให้ขึ้นรถไปทั้งหมด
พอควายบัวลอยขึ้นไปบนรถ ก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น รถได้พังลง ยางแตกหมด ผู้ซื้อต้องไปเอารถคันใหม่มาบรรทุก และให้ควายบัวลอยขึ้นไปก่อน แต่บอกว่าไม่ได้เอาไปฆ่า จะนำไปแจกชาวบ้านในรายการธนาคารควายตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน แต่รถก็ขับเคลื่อนไปไม่ได้ เพราะยางแตกอีก จึงเหลือควายบัวลอยไว้ตัวเดียว
พอดีผมไปถึงบ้านแขกและนำเงินไปขอไถ่ควายตัวนี้ในราคา ๒,๐๐๐ บาท ซึ่งเขาก็ให้แต่โดยดี และเล่าเรื่องความฝันตลอดจนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังด้วย แล้วผมก็มาพบหลวงพ่อที่นี่ แต่กลับได้รับเงินจำนวน ๒,๐๐๐ บาท ไปคืนวัดบัวลอยโดยไม่คิดไม่ฝัน
หลวงพ่อแช่ม :เออ... เรื่องมันก็แปลกดีนะโยมผู้ใหญ่
นายปลั่ง :ทำไมผู้ใหญ่ไม่จับขโมยไว้ล่ะ?
ผู้ใหญ่มา :หลวงพ่อบอกว่าให้ปล่อยเขาไป เพราะเขากลัวจะแย่อยู่แล้ว เขารู้สำนึกและมาสารภาพผิดกับหลวงพ่อ อีกอย่างหนึ่งทายกปลั่งก็ได้เงินคืนแล้ว อย่าได้สร้างเวรสร้างกรรมกับเขาเลย
หลวงพ่อแช่ม :หลวงพ่อขอบิณฑบาตเถอะนะ ทายกปลั่ง ปล่อยเขาไปเถอะ
นายปลั่ง :ครับหลวงพ่อ ผมเลยลาละครับ
หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยม
ผู้ใหญ่มา :ผมก็ขอกราบลาด้วยครับ แต่ผมยังสงสัยว่า เรื่องเช่นนี้ทำไมจึงเกิดขึ้นได้ ช่างอัศจรรย์จริง!
หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ แล้วค่อยมาฟังต่อนะ
----------------------
จิตไม่ใช่เรา

ดวงจิตไม่ใช่เราอย่าเฝ้าจิต
ไม่ผูกติดปั้นอยู่ไม่รู้หาย
ปั้นว่าจิตเป็นเรา เฝ้าจนตาย
จิตสลายกายแตกแยกไปเอง
เราไม่มีในจิตอย่าติดข้อง
ไปยึดครองเกี่ยวเกาะอย่างเหมาะเหม็ง
จิตไม่มีในเราเขามีเอง
ใครจะเก่งไม่เก่งพังด้วยกัน

กตธุโร

ออกจากจิต

เมื่อไม่ติดอะไรในโลกเลย
สิ่งที่เคยติดอยู่ก็รู้เท่า
จิตมันเบาทุกสิ่งยิ่งกว่าเบา
ความเป็นเราหรือเป็นใครมันไม่มี
ทั้งรูปหยาบรูปละเอียดเฉียดแล้วหาย
จึงไม่ยึดสิ่งใดในโลกนี้
แม้จิตเองก็ยังถอยปล่อยอีกที
แล้วจะมีสิ่งใดในตัวตน
อยากตะโกนกู่ก้องร้องลั่นโลก
ถึงมีโชคอับโชคโศกไม่สน
แยกขันธ์ห้าทิ้งขันธ์ห้าฆ่าตัวตน
ใครจะพ้นหรือไม่พ้นค้นกันเอง

กตธุโร

ไม่ตายแล้ว

เมื่อกายเป็นกายจิตเป็นจิตไม่ติดคน
ก็ไม่ปนรวมกันดั่งกาลก่อน
กายก็ปรุงอยู่บ้างเช่นนั่งนอน
จิตก็ปรุงสั่งสอนก่อนจะตาย
จิตเขายืนเฉยอยู่รู้ก็ดับ
กายก็ปรับหน้าที่มีมีหายหาย
ทั้งกายจิตไม่ติดอยู่รู้วันตาย
จึงสบายแสนสบายตายไม่จริง
แล้วบอกศิษย์ทุกคนอย่าวนอยู่
ออกจากรู้ดับรู้ดูทุกสิ่ง
ก็มีแต่ขันธ์ห้าว่าการจริง
ทั้งเสือสิงห์กระทิงเถื่อนก็เหมือนคน

กตธุโร
บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๑๔
---------------------
ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ มีอะไรพิเศษหรือ วันนี้ไม่ใช่วันพระทำไมจึงมาก่อน?
ผู้ใหญ่มา :แม่บ้านเขาไปรับขวัญแม่โพสพ จะนำข้าวเข้าบ้านเมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว ก็เลยทำขนมประกริมไข่เต่าไปรับขวัญ ผมแบ่งมาถวายหลวงพ่อและจะมาขอฟังธรรมจากหลวงพ่อด้วย
หลวงพ่อแช่ม :อ้อ... ดี เชิญเลย ขอเจริญพรเถิด
ผู้ใหญ่มา :หลวงพ่อครับ พิธีรับขวัญข้าวขวัญนาอะไรนี่ มันมีความหมายอย่างไรครับ? เขาทำกันเป็นพิธีหรือว่ามีแม่โพสพจริงๆ
หลวงพ่อแช่ม :คนโบราณเขาฉลาด เวลาไปรับขวัญข้าว เขาให้เดินทั่วนา เพื่อจะได้ดูว่ามีข้าวอย่างอื่นเช่นข้าวลาย หรือข้าวฟ่อนหลงหูหลงตาอยู่หรือไม่ ถ้าเก็บยังไม่หมดจะได้เก็บเสียให้หมด จึงมีพิธีนี้ขึ้นและอ้างชื่อแม่โพสพมาเป็นผู้รับขวัญ หรืออย่างในเดือน ๑๒ เขาก็ต้องไปรับขวัญข้าวด้วย เพื่อไปดูว่าเวลาน้ำมากผักตบชวาจะพากันทับข้าวหรือไม่ ประเดี๋ยวข้าวจะจมน้ำเสียหายไงล่ะโยมผู้ใหญ่ ไม่มีอะไรมากหรอก
ผู้ใหญ่มา :อ๋อ... ผมเข้าใจแล้ว เลยทำกันเป็นประเพณีต่อๆ มาจนทุกวันนี้ แต่คนรุ่นหลังไม่เข้าใจความหมาย เลยหลงทำกันจะเป็นจะตายเลย
การสนทนาหยุดชะงักลง เพราะครูพนมเดินเข้ามา
ครูพนม :นมัสการครับหลวงพ่อ สวัสดีครับลุงผู้ใหญ่ วันนี้เป็นวันครู ผมจึงนำอาหารเพลมาถวายหลวงพ่อ ทางราชการเขาให้หยุด ๑ วัน เผอิญวันรุ่งขึ้นก็เป็นเสาร์และต่อวันอาทิตย์ เลยได้หยุดถึง ๓ วันติดต่อกัน ผมจึงคิดว่ามาฟังธรรมกับหลวงพ่อสักวันดีกว่า ส่วนมากครูเขาสนุกสนานเฮฮากันตามระเบียบ และไม่พ้นเรื่องของกามกับอบายมุขผสมผเสอยู่ในงานวันครูที่เขาจัดกัน ผมเลยหลบหลีกไม่ไปร่วมงานกับเขาในช่วงที่ไม่ใช่พิธีกุศล
หลวงพ่อครับ เรื่อง กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย กายไม่มีในเรา เราไม่มีในกาย บทแรกที่หลวงพ่อให้ไปปฏิบัติไปดูนั้นผมพอจะเข้าใจ แต่ยังไม่เห็นแจ้งลงไปทีเดียว จะทำอย่างไรดีครับจึงจะเห็นแจ้งได้?
หลวงพ่อแช่ม :ก็ต้องดูบ่อยๆ สิ ครูพนม ต้องหัดวิปัสสนึกเอาก่อนว่ามันเป็นมัน มันไม่ใช่เรา มันเดิน มันนั่ง มันยืน มันนอน มันกิน มันถ่าย ไปเรื่อยๆ บ่อยๆ จนเห็นชัดขึ้นมาเป็นวิปัสสนาได้เองในขณะใดขณะหนึ่ง ทั้งอาการหยาบและละเอียด สำคัญต้องขยันหน่อยในช่วงแรก โดยการมีสติรู้ตัวอยู่เสมอไม่ว่าจะทำอะไร และเพ่งดูด้วยปัญญาหนักๆ เข้า จะเห็นได้ด้วยปัญญา โดยไม่ใช่อวิชชาเข้าไปเห็น
ครูพนม :ผมจะพยายามครับ หลวงพ่อครับ ผมมีปัญหาอื่นมาด้วย มีคนเขาฝากมาถามเรื่อง ตายแล้วจะไปเกิดอีกไหม?
หลวงพ่อแช่ม :เรื่องตายแล้วเกิด หรือตายแล้วสูญ นี่ มีสงสัยกันมากจริงๆ ทุกคนที่หันมาเรียนธรรม มักจะสนใจอยากรู้ปัญหานี้กันทั้งนั้น แม้พระพุทธองค์ท่านก็จะไม่ทรงตอบ หากจำเป็นท่านจะตอบว่า แล้วแต่เหตุและปัจจัย “ถ้าทำเหตุอย่างนี้ๆ ผลที่ตามมาคือกรรม” กรรมและวิบากจะนำไปเกิดใหม่ได้ ถ้าหมดเหตุ หมดปัจจัย หรือหมดกรรม ก็จะไม่เกิดอีก
ครูพนม :หลวงพ่อกรุณาขยายต่ออีกหน่อยเถอะครับ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ
หลวงพ่อแช่ม :เอา... ฟังนะ คนที่ยังไม่หมดอยาก หรืออยากจะหมด ยังมีความโลภ โกรธ หลง อยู่ ก็จะไปเกิดโดยอาศัยเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นผู้นำไป ถ้าทำดี ก็จำได้ว่าทำดี รับรู้ว่าทำดี พอใจว่าทำดี เลยเก็บดีไป ไม่หมดเชื้อจึงนำไปเกิดในที่ดี ตรงกันข้ามกับพวกที่ทำไม่ดี ก็จะนำกรรมชั่วไปเหมือนกัน ไปเกิดในที่ชั่ว
ครูพนม :ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดอีก หรือสูญไปเลยละครับหลวงพ่อ?
หลวงพ่อแช่ม :ก็ต้องมาเรียนรู้อย่างครูนี่แหละ อย่างที่หลวงพ่อกำลังสอนให้รู้นี่แหละ แล้วนำไปปฏิบัติจนเห็นแจ้งในความเป็นจริงของสิ่งทั้งปวง เรียนให้หมดอยากและอยากหมด ถ้าหมดความเป็นคน โลภ โกรธ หลงก็หมด เพราะอะไรๆ ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นแต่ธาตุของโลกปรุงขึ้นมา แล้วก็เปลี่ยนไป เกิดๆ ดับๆ เป็นของธรรมชาติเขา จึงหมดความเป็นคน เป็นของคน
เมื่อหมดคนก็เหลือแต่ธรรมล้วนๆ เป็นของธรรม เขาเกิด-ดับของเขา เราไม่มี ก็หมดเชื้อคนที่จะสืบสันตติต่อไป ก็จบน่ะซี ครูเข้าใจไหม? เรียกว่ามีความรู้ขึ้นมาจนสลายของมันเอง สลายตัวรู้ทั้งหยาบและละเอียด ก็เหมือนกับไฟหมดเชื้อ ไฟก็สลายไปหมด ที่ยังมีหน้าที่ เดิน ยืน นั่ง นอน กิน ขับถ่าย หายใจ อยู่นี่เป็นธาตุของโลกเขา ไม่ใช่เราเสียแล้ว จะไม่เรียกว่าเป็นอะไรก็ได้
นี่แหละถ้าใครมาเรียนรู้จนถึงที่สุด จนหมดรู้ได้ ก็จะหมดทุกข์ ผู้นั้นจะรู้เองโดยไม่ต้องให้ใครมาบอกว่าหมดกิเลสแล้ว มันจะรู้เองทั้งๆ ที่ไม่มีตัวนั่นแหละ ก็มันเป็นแต่ธาตุหนักกับธาตุเบารับ-ส่งเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาให้กันและกัน จริงๆ แล้วเจ้าธาตุ ๒ ชนิดนี้ก็เป็นธาตุเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีหนักไม่มีเบา เพราะเขาออกมาจากที่เดียวกันคือธรรมชาติของโลก มันจึงเป็นของใครไม่ได้ บังคับไม่ได้ แม้ตัวมันเองก็ไม่มี จึงบังคับตัวมันไม่ได้ และทนอยู่ไม่ได้ต้องเปลี่ยนไปเสมอไม่หยุดนิ่งได้
ฉะนั้นจึงไม่มีเชื้อความมี ความเป็น ในอะไรๆ ทั้งหมด หลวงพ่อจึงพูดอยู่เสมอว่า “มันเปล่าๆ ปลี้ๆ” คือว่างมาแต่เดิม ดักลอบบนอากาศจะได้อะไร ก็ได้เปล่าๆ หรือเอาอะไรไปติดกับอากาศมันจะติดอยู่ได้หรือ มันก็ร่วงหมด. จึงสรุปว่า “เมื่อคนหมดก็หมดเชื้อ ไม่ไปเกิดไม่ไปตายอีกแล้ว ที่เกิดตายนั้นเป็นเพียงธาตุตามธรรมชาติที่เกิดและสลายไป”
ครูพนม :ผมเข้าใจดีแล้วครับหลวงพ่อ มีอีกเรื่องหนึ่งครับ การเข้าเจ้าเขาทรงผีสิงอะไรนี่ละครับ มันเป็นอย่างไร?
หลวงพ่อแช่ม :เจ้า หรือ ผี เขาก็มีภพของเขาเหมือนกัน แต่จะมาเกี่ยวข้องกับคนนั้นน้อยมาก ถ้าไม่จำเป็นพวกนี้จะไม่มายุ่งกับคนเลย เขาเหม็นคน คนไม่มีศีลเขาไม่อยากจะมาเกี่ยวข้องด้วย ที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นโดยมากจะเกี่ยวกับจิตของคนนั้นเองทำงานเมื่อมีเหตุพอเหมาะพอควร จึงเกิดอาการอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น เช่นเต้นได้ทำอะไรๆ ได้อีกหลายอย่าง ครูลองสังเกตดูซี การจะทำอะไรสำเร็จไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรมต้องทำด้วยจิตเสมอ
จิตนี้จะใช้ให้ทำอะไรก็ได้ พอฝึกเข้าก็จะทำได้สมใจเจ้าของ เช่นฝึกให้มีฤทธิ์มีกำลัง บางจิตสั่งให้งอเหล็กได้ เรื่องจิตเป็นเรื่องยาวเรื่องละเอียด หลวงพ่อคงจะอธิบายในเวลานี้ไม่หมดและอธิบายไม่ไหว จะปั้นจิตกันอย่างไรก็ได้ จะให้ไปเห็นสวรรค์วิมานชั้นไหนก็ทำได้ ให้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ทำได้ ธาตุเบามันก็ปั้นแบบธาตุเบา แต่ต้องอาศัยอยู่ในธาตุหนัก และธาตุหนักก็ปั้นของมันเองอยู่แล้วตั้งแต่แรกโดยโลก ธาตุหนักถูกปั้นให้เป็นทุกสิ่งขึ้นมาเต็มบ้านเต็มเมือง วิจิตรพิสดารแบบไหนก็ได้ หลวงพ่อจะบอกให้รู้ว่า เมื่อเรียนรู้เองจนจบก็ไม่ต้องไปถามใครให้ป่วยการเลย เพราะหมดสงสัยในอะไรๆ ทั้งสิ้น
ครูพนม :ผมเริ่มเห็นขึ้นมาบ้างแล้วละครับหลวงพ่อ ขออนุญาตถามหลวงพ่ออีกหน่อย เวลาโกรธ ก็รู้ว่าไม่ใช่เรา แต่ทำไมมันจึงโกรธได้ครับ?
หลวงพ่อแช่ม :ก็เพราะมันไม่ใช่เราน่ะซี จึงห้ามไม่ให้มันไม่โกรธไม่ได้ มันเป็นมันและเป็นของมันอย่างนั้นเอง มันปั้นเรื่องและส่งสัญญาที่เคยโกรธให้เวทนา ส่งกันไปส่งกันมา จึงโกรธเป็น ไม่มีเราและไม่ใช่เราโกรธหรอก ธาตุหนักและธาตุเบามันปรุงกัน และทำหน้าที่รับส่งกันตามเหตุตามปัจจัยของมัน จึงรู้กันเองว่าโกรธ ถ้าจะไม่ให้โกรธก็ต้องเข้าไปรู้ว่าใครเป็นผู้โกรธ ทำไมจึงโกรธ โกรธแล้วได้อะไร? เวลาคนต่างชาติด่าไม่รู้ความหมายทำไมจึงไม่โกรธ เพราะฉะนั้นโกรธมี เพราะถูกสอนให้จำได้หมายรู้และทำตาม จึงโกรธเป็น ความจริงไม่มีเราโกรธเลย มันทำกันเอง แล้วก็หายโกรธเอง จึงโกรธไม่จริงไงล่ะ ครูพนม
ครูพนม :ผมเข้าใจแล้วครับหลวงพ่อ ผมจะพยามยามดูเวลาโกรธให้เห็นชัดๆ ว่าโกรธไม่จริง และไม่มีผมเป็นผู้โกรธ ผมขอให้หลวงพ่อพักเหนื่อยสักครู่แล้วจะขอถามต่ออีกสักหน่อยนะครับ
หลวงพ่อแช่ม :อือ... ก็ดีเหมือนกัน ครูก็จะได้พักด้วย ลองนั่งหลับตาพักผ่อนกายและใจดูมั่งก็ได้สัก ๑๐ นาที แล้วค่อยคุยกันต่อ
ครูพนม :ได้ความเลยครับ ผมรู้สึกว่าถ้าได้นั่งพักอย่างนี้บ้างก็ดี จิตใจสงบไม่วุ่นวาย พอดีผมมีเรื่องเกี่ยวกับการนั่งวิปัสสนาของเพื่อนซึ่งมีตำแหน่งสูงกว่าผมมาถามหลวงพ่อ เขาบอกว่านั่งสมาธิทำวิปัสสนาทุกวัน มันสบายและว่างแสนว่าง สงบใจมากจนบอกไม่ถูก เขายังแนะนำให้ผมทำอย่างเขาเลย ผมสงสัยว่าเขาคิดอย่างไรของเขาไม่ทราบ จู่ๆ ก็จะลาออกจากครูไปบวช แต่ภรรยาเขาไม่ยอมและโกรธมาก ว่ากล่าวพาดพิงไปถึงพวกที่สนใจธรรมแบบนี้อย่างเสียๆ หายๆ ถึงขนาดจะไม่ยอมหุงหาอาหารให้สามีกินถ้ายังมัวนั่งหลับหูหลับตาโดยไม่ทำงานทำการให้เป็นปกติเหมือนเดิม
เพื่อนผมทำมาเป็นเดือนแล้ว เขาไปฝึกมาจากกรุงเทพฯ ตอนแรกก็ตามคนอื่นไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เพียงอยากจะไปลองดู แต่ตอนนี้ชักจะไปกันใหญ่ จนเกิดความขัดแย้งในครอบครัวขึ้นแล้ว ภรรยาเขาถามผมว่า “คุณพนมเรียนธรรมะและปฏิบัติแบบนี้ด้วยหรือเปล่า?” ผมตอบว่า “ไม่หรอกครับผมปฏิบัติโดยวิธีธรรมชาติตามที่หลวงพ่อแช่มสอนให้ดูกายดูจิตทุกอิริยาบถ แม้ในขณะทำงานหรือจะนอนและตื่นนอนโดยไม่ต้องหยุดทำงาน” เอ... หลวงพ่อครับ ถ้านั้นเพื่อนผมคงจะไปติดอะไรเข้าแล้วใช่ไหมครับ?
หลวงพ่อแช่ม :ติดซี ติดว่างติดสบายนั่นแหละ ติดจะทำเอา คือผลักกามโดยวิธีกดเอาห้ามเอา ไม่ยอมทำในสิ่งที่เคยทำจนภรรยาผิดสังเกต ก็ต้องอาละวาดเอาเป็นธรรมดา
ครูพนม :อ๋อ... เขาไปทำอย่างนั้นนี้เพื่อเอาสบาย ติดสบาย แล้วที่ว่าทำให้ว่างแบบนั้น มันไม่ถูกหรือครับ?
หลวงพ่อแช่ม :อัน ความว่าง นั้นมันมีอยู่ ๓ ความหมายด้วยกัน
ว่างโดยกดเอา คือใช้ ศีล สมาธิ อุเบกขา สัญญากดเอา
-คนที่มีศีล ก็เอาศีลมาทำให้ว่าง ถือศีลให้ตายตัวกิเลสก็เข้ามาไม่ได้
-คนที่นั่งสมาธิ ก็ได้สมาธิ จึงติดสงบ ติดว่างอยู่ในสมาธิขณะนั้นๆ กิเลสก็เข้าไม่ได้ แต่ไม่ถาวร พอออกจากสมาธิ กิเลสก็เข้ามาได้อีก
-คนที่ใช้อุเบกขา (วางเฉย) กดไว้ อะไรๆ ก็เข้าไม่ได้ ความโกรธมีก็กดไว้วางเฉยเสีย แผ่เมตตาเสียอย่าไปโกรธ มีเราเข้าไปกดว่าอย่าโกรธ กิเลสก็เข้าไม่ได้ แต่ก็ไม่ถาวรอีก
-คนที่มาเรียนธรรมจนรู้จักสัญญา ก็ใช้สัญญาว่างกดไว้ หลบหนีไปอยู่ในที่ๆ สงบไม่มีอะไรรบกวน เห็นว่าที่วุ่นๆ ไม่ดี ต้องไปอยู่ที่ว่างๆ จึงจะดีเอาสัญญาไปกดเอา เลยเกิดความว่างโดยสัญญา จึงว่างไม่จริง ไม่ถาวรและเปลี่ยนเป็นวุ่นได้
๒. ว่างโดยภูมิธรรม มาเรียนธรรมจนเข้าใจ ทิ้งรูปได้ ไม่ยึดรูป และทิ้งอรูป (ลักษณะที่ไร้รูป) ได้ ก็จะว่างตามภูมิธรรมของจิต จิตมันว่างของมันเองไม่ปรุงอะไร ก็เข้าใจผิดว่าตนเป็นพระอรหันต์แล้ว มีเราเข้าไปยึดว่าว่างจริงๆ จิตใสสะอาดแล้วไม่มีอะไรรบกวนให้ขุ่นตลอดวันตลอดคืน ก็เลยหลงว่าว่าง ยังไม่ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าสอน
๓. ว่างโดยธรรมชาติ คือ ว่างจากตัวตน – ของตน ว่างจากการยึดถือว่าขันธ์หรือสิ่งทั้งหลายมีตัวตน และไม่ยึดถือมาเป็นของตน เพราะเห็นแจ่มแจ้งแล้วว่าขันธ์ห้าไม่ใช่เรา-ไม่ใช่ของเรา จิตก็ไม่ใช่เรา-ไม่ใช่ของเรา ทั้งขันธ์ห้าและจิตล้วนเป็นธาตุที่อาศัยกัน เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป และเป็นของของโลก ซึ่งว่างมาแต่เดิม เมื่อไม่ยึดสิ่งเหล่านี้ก็หมดคน ออกจากคน ทิ้งคน ขาดจากความเป็นคนแล้วนั่นแหละ (หมดอัตตาสิ้นเชิง) จึงจะเรียกว่า จิตว่าง จิตปกติ เป็นสุขนิรันดร เข้าใจไหมครูพนม? นี่แหละเรียกว่า ว่างตามแบบที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติจนเข้าถึงภาวะนี้
ผู้ใหญ่มา :ผมฟังอยู่นานแล้ว ชักมัน ขออนุญาตเสริมหลวงพ่อสักหน่อย แล้วใครจะแก้ไขหรือบอกเพื่อนครูพนมให้เข้าใจถูกต้องได้ละครับ? คนยังมีครอบครัวอยู่ ถ้าคิดจะทิ้งครอบครัวงานประจำ มันจะไม่ถูก และภรรยาเขายังไม่ได้เรียนธรรมรู้ธรรม ก็จะพากันยุ่งเหยิงแย่ซิครับ?
หลวงพ่อแช่ม :เห็นจะเป็นครูพนมนั่นแหละ ต้องหาทางพูดกับเพื่อนเมื่อมีโอกาสเหมาะๆ และชวนเขามาพบหลวงพ่อ ถ้าเขาไม่ยอมมา ก็อาจจะลองชวนภรรยาเขามา หลวงพ่อจะพูดกับเธอให้เข้าใจ มิฉะนั้นอาจจะเกิดปัญหาหย่าร้างขึ้นได้ เตลิดไปคนละทาง คนที่ปฏิบัติธรรมข้ามขั้น ยังออกกามราคะไม่ได้ แล้วไปติดว่าง ทำว่างอย่างเดียวไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกกับหน้าที่โดยสมมุติที่มีอยู่ ก็เกิดเรื่องน่ะซี พระโสดาบัน ท่านยังมีครอบครัวได้ เขายังไม่รู้ไม่เข้าใจ ถ้าเล่นไม่ยุ่งกับอะไรโดยกดเอา ก็ถูกภรรยาเล่นงานเอาน่ะซี
ครูพนม :ผมเข้าใจแล้วครับหลวงพ่อ ผมจะหาทางกระซิบบอกเพื่อนคนนี้และชวนมาคุยกับหลวงพ่อ ผมเห็นจะต้องขอลากลับก่อน กราบลาละครับหลวงพ่อ สวัสดีครับลุงผู้ใหญ่
หลวงพ่อแช่ม :เจริญสุขเถอะครู
ผู้ใหญ่มา :สวัสดีครูพนม ว่างๆ ก็มาคุยกันอีกนะ
---------------------
กายคือกาย

เมื่อเราไม่มีกายมันมีก็ของกาย
กายจะเป็นจะตายกายทั้งนั้น
ทั้งกายนอกกายในกายด้วยกัน
กายก็อยู่ทุกวันกายก่อกาย
เพราะโลกสร้างกายขึ้นให้ยืนอยู่
กายจึงสู้ทุกวิถีไม่หนีหาย
พอกายวิ่งถึงที่สุดสมมุติว่าตาย
แท้ที่จริงมันสลายไม่ก่อตัว
กายก็อยู่กับกายไปตลอด
ที่ไปสอดรู้เห็นเต้นจนทั่ว
เป็นที่จิตที่ใจใฝ่มีตัว
จึงได้กลัวกายตายไปทุกวัน

กตธุโร

ฆ่าคน

เห็นว่าธรรมเป็นคนเป็นผลเสีย
มันละเหี่ยกายใจมือไม้สั่น
บอกว่าไม่ใช่กูรู้ไม่ทัน
เพราะฉะนั้นต้องฆ่าคนจะพ้นภัย
อย่าเพิ่งฆ่าผู้อื่นมันฟื้นอีก
มันหลบหลีกหายหน้าแล้วมาใหม่
จะต้องฆ่าตัวเราเอาใส่ไฟ
มันจะตายไม่ฟื้นคืนเป็นคน
พอหมดตัวหมดตนหมดคนแล้ว
จิตผ่องแผ้วบริสุทธิ์ดุจน้ำฝน
หมดกลัวเกิดกลัวตายไปอย่างคน
แล้วจะพ้นเกิดตายไปนิพพาน

กตธุโร




Create Date : 20 สิงหาคม 2554
Last Update : 20 สิงหาคม 2554 4:43:49 น. 0 comments
Counter : 1453 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jesdath
Location :
เชียงราย Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
20 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jesdath's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.