หลุดพ้นแบบฉับพลัน ภาค7 --หลวงพ่อแช่มจอมทัพรบกิเลส-3

สมมุติไม่จริง

มันเป็นมันของมันเจ้าขันธ์ห้า
ใครกันตั้ง เจ้ามาให้มีอยู่
เพราะมีคนจึงบัญญัติตรัสรู้
เพื่อให้ดูเป็นหมู่หมู่เป็นกองกอง
จะได้แยกได้แยะแกะทุกขันธ์
หมดตัวมันตัวกูผู้เกี่ยวข้อง
โลกเขาปั้นขึ้นมาเป็นห้ากอง
คนสมมุติเข้าครองเป็นตัวกู
คนเลยติดสมมุติไม่หลุดออก
ฉันเคยบอกอยู่บ่อยบ่อยไม่ค่อยรู้
ว่าสมมุติมันไม่จริงยิ่งเฝ้าดู
ที่ว่ารู้หรือไม่รู้ก็ตู่เอา

กตธุโร
ติดว่าง

คนเข้าใจความว่างอย่างผิดผิด
เลยไปติดความว่างอย่างเหลือหลาย
ว่างอย่างสูญญากาศขาดใจตาย
ว่างอย่างนี้ ใช้ไม่ได้ นึกเอาเอง
ไปเหมาเอาว่าว่างกระทั่งหมด
เหมือนน้ำท่วมเขาโขดโจษกันเขลง
ไม่เหลืออะไรขัดขวางดูวังเวง
นึกเอาเองโดยสัญญา ว่ามันจริง
ว่างพุทธะนั้นสละทิ้งขันธ์ห้า
เพราะรู้ว่าเป็นธาตุสะอาดยิ่ง
มันเป็นธรรมเกิดดับกลับไม่จริง
ทุกทุกสิ่งถ้าหมดเราเขาว่างเอง

กตธุโร

อย่าให้เหลือ

ถ้ามีดูดมีผลักก็หนักเหลือ
ยังมีเชื้ออะไรทำให้หลง
ถึงยังต้านยังตามทำให้งง
ต้องหมดหลงตามต้านกันทุกคน
ต้องตรวจแล้วตรวจอีกอย่าหลีกหนี
ดูให้ดีถ้ามีเชื้อเหลือให้ขน
ถ้ามีเชื้อหรือยังเหลือเชื้อของคน
จะติดวนเกิดตายไปตามกรรม
ไม่ขอเกิดขอก่อพอชาตินี้
ขอสุดสิ้นกันทีหนีสิ่งต่ำ
เพราะทนทุกข์โถมทับรับแต่กรรม
ขาดสะบั้นโดดข้ามเข้านิพพาน

กตธุโร

บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๘
--------------------
ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ วันนี้พาเด็กน้อยลูกใครมาด้วยล่ะ หรือจะไปไหนกันต่อ?
ผู้ใหญ่มา :เปล่าครับหลวงพ่อ มันมีอะไรแปลกๆขึ้นมา ก็เลยมาคุยให้หลวงพ่อฟังเด็กน้อยคนนี้คือลูกชายทิดวัยกับแม่หวานที่อยู่ท้ายบ้านผมนั่นแหละ มันเก่งกาจกว่าเด็กอื่นในละแวกเดียวกัน เป็นเด็กเจ้าปัญญา รู้เร็ว จำแม่น พูดจาฉะฉานไม่กลัวใครทั้งสิ้น มันรู้อะไรๆ มากจนใครๆ เรียกว่าเด็กแก่รู้ หลวงพ่อลองทดสอบแกดูซิครับ
หลวงพ่อแช่ม :เออ หลานชายชื่ออะไรนะ? บอกหลวงปู่หน่อย
ด.ช.วอน :ผมชื่อ “วอน” ครับ เป็นลูกชายพ่อวัยกับแม่หวานครับหลวงปู่ ผมอายุ ๑๒ ปี เรียนหนังสืออยู่ขั้น ป.๖
หลวงพ่อแช่ม :ไหน... ได้ข่าวว่าหลานรู้อะไรๆ มากมายเหลือเกิน ช่วยเล่าให้หลวงปู่ฟังบ้างซิ
ด.ช.วอน :ผมไม่ทราบว่ารู้มากหรือเก่งกาจเป็นอย่างไร แต่รู้ว่ามันรู้ของมันเอง ผมแปลไม่เป็นครับ คำว่า “เก่งกาจ” เช่นผมเห็นพ่อแม่ทำนา หว่านข้าว แล้วก็เก็บเกี่ยวเข้ายุ้งทุกปี แล้วก็เอาไปหว่านใหม่ เก็บเกี่ยวใหม่อีก ทำอยู่เช่นนี้ ๗ ปีแล้ว เวียนไปเวียนมาอย่างนี้ จะเรียกว่าอย่างไรล่ะครับ?
เช่นเดียวกับผมไปโรงเรียน เห็นครูพนมท่านใช้ชอล์กเขียนบนกระดานดำ เขียนไปอธิบายไป แล้วก็ลบออก ลบแล้วก็เขียนอีก เขียนๆ ลบๆ อยู่อย่างนี้เป็นปีๆ ผมละเบื่อ ไม่รู้ว่าทำไปทำไม ทำแล้วได้อะไรกัน ไม่ทำไม่ได้หรือ? ผมถามใคร ใครก็ตอบไม่ได้ พ่อผมก็หาว่าผมจะบ้าแล้วหรือ
แม้การที่คนกินข้าววันละ ๓ มื้อ ผมก็ถามพ่อว่าไม่เบื่อบ้างหรือ? บ้านไหนๆ ก็มีคนกินข้าวกันทั้งนั้น ทุกวันทุกเดือนทุกปี แล้วจะหยุดกินกันตอนไหน ? พ่อก็ตอบ ตอนตายน่ะซี ครับ ผมก็เห็นจริงว่าตายแล้วหยุดกิน ปู่แม้นแกหยุดกินจริงๆ เมื่อวานซืนนี้ และเขาเอาปู่แม้นไปเผาแล้ว แกเลยไม่ต้องกินข้าวอีกต่อไป แต่คนที่ยังเดินได้วิ่งได้ ต้องกินทุกวัน แล้วอย่างนี้แล้วหลวงปู่จะอธิบายให้ผมหายข้องใจได้ไหมครับ ทำไมจึงต้องทำอะไรๆ ซ้ำซากเปลี่ยนไปเปลี่ยนมากันทุกเรื่อง?
หลวงพ่อแช่ม :เออ... พ่อหลานชายเอ๋ย เจ้าก็ช่างสังเกตดีแท้ ผู้ใหญ่บางคนอายุมากแล้วยังไม่เคยเฉลียวใจอย่างเจ้าเลย การที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่เสมอ ภาษาพระเขาเรียกว่า “อนิจจัง” แปลว่า ไม่คงที่ ไม่สามารถจะทนอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไป จึงต้องเปลี่ยนแปลงในตัวมันเอง ต่อไปถ้าเจ้าได้เรียนรู้ความจริงของโลกและทุกสิ่งในโลก เจ้าจะเข้าใจและเห็นแจ้งเร็วกว่าใครๆ แน่นอน ขอให้ตั้งใจติดตามผู้ใหญ่มา หรือคนที่เจ้าเห็นว่าเขาสอนให้เข้าใจถูกต้องก็หมั่นเงี่ยหูฟังก็แล้วกัน
ด.ช.วอน :หลวงปู่ครับ วันก่อนเขามีงานลอยกระทง ผมเก็บเทียนไว้หลายแท่งก็เอามารวมกัน เพื่อจะปั้นควายเล่นสักตัว พอเอาไปตากแดดประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น มันละลายหมด ไม่เหลือเทียนอีกเลย ผมนั่งดูมันจึงเห็นว่า เจ้าเทียนไขนั่นมันคุมตัวเองไม่ได้ ใช่ไหมครับ? มันจึงถูกละลายไปโดยความร้อนของแสงแดด ผมนั่งคิดถึงเรื่องปู่แม้นที่ตายไป จึงบอกตัวเองว่า ปู่แม้นก็คงจะคุมตัวแกเองไม่ได้เช่นเดียวกัน แกจึงไม่มีชีวิตอีกต่อไป พอไม่ได้อาหารไม่ได้กินข้าว เพราะกินไม่ได้แกเลยตาย และถูกนำไปเผา แล้วปู่แม้นก็หายไปเลย ผมว่าหลวงปู่และผมต่อไปก็คงจะเป็นอย่างนี้ใช่ไหมครับ?
หลวงพ่อแช่ม :อือ... เข้าท่า ถูกของเจ้า จริงของเจ้าทั้งหมด เจ้าช่างคิดและมีเหตุมีผลจริงๆ มีอะไรอีกไหม?
ด.ช.วอน :เวลาเล่นฟุตบอล ผมก็คิดว่ามันเรื่องเล่นๆ แบบเด็กเล่นของเล่น เพราะชื่อมันก็บอกว่า “เล่นฟุตบอล” หรือเล่นกีฬาอื่นๆก็น่าจะเหมือนกัน คนเขาเล่นกันทั่วโลก จะเรียกว่าเป็นเรื่องจริงได้อย่างไร แต่ครูพนมและครูคนอื่นบอกว่า เป็นเรื่องจริง เขาต้องเล่นกันจริงๆ ให้ได้ชัยชนะ ทีมโรงเรียนของเราจะแพ้ไม่ได้ มิฉะนั้นจะเสียชื่อบ้านคุ้งนามอญหมด แล้ว แพ้-ชนะมันมีจริงหรือหลวงปู่? แต่ก่อนผมไม่เห็นโรงเรียนนี้มีสนามฟุตบอลเลย ต่อมาเขาสร้างขึ้นมาใหม่ การเล่นฟุตบอลจึงมีและเพิ่งมี และมันจะเป็นเรื่องมีจริงๆ ได้อย่างไรในสิ่งใหม่ๆ เรื่องใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลัง
หลวงพ่อแช่ม :เออ... ใช่ จริงของเจ้า คำว่า “เล่น” ก็คือเล่น แปลว่าทำไม่จริง ทำเล่นๆ แต่คนเขานึกว่าทำจริงๆ ก็เลยคิดว่าเล่นฟุตบอลจริงๆ มีแพ้-มีชนะจริงๆ ตามที่เขารู้-และเขาเข้าใจผิดๆ “สิ่งที่จริงต้องมีอยู่และไม่เปลี่ยนแปลงเลย” เจ้าช่างสำคัญนัก!
ด.ช.วอน :โอ... หลวงปู่ ผมคงคิดว่าหลวงปู่คงจะกำลังเข้าใจผิดแล้วครับ เรื่องที่ว่าผมสำคัญนั้น มันไม่จริงหรอก หลวงปู่พูดเอาเองเดี๋ยวนี้เอง ผมยังไม่รู้เลยว่าสำคัญอย่างไร หลวงปู่ตั้งขึ้นเองใช่ไหมครับ?
หลวงพ่อแช่ม :เออ... จริงของเจ้า หลวงปู่ก็เพิ่งจะรู้ว่า เจ้าสามารถรู้ทัน และเรียนทันคนแก่ได้ ในสมัยพุทธกาลมีมาแล้วที่เด็กอายุ ๗ ปี ๑๕ ปี สามารถบรรลุธรรมได้ (เห็นความจริงของสิ่งทั้งปวงตามความเป็นจริง) แต่ปัจจุบันนี้หลวงพ่อเองก็นึกไม่ถึงว่าจะมีเด็กอายุ ๑๒ ปี เข้าใจธรรมได้ลึกซึ้งอย่างเจ้าหลงเหลืออยู่ให้พบให้เห็นได้
นี่แหละโยมผู้ใหญ่ เราประมาทไม่ได้เลย “ในป่าย่อมมีช้างเผือกได้ฉันใด ในทะเลก็ย่อมจะมีพญามังกรได้ฉันนั้น” ไม่จำเป็นต้องเรียนจนจบพระไตรปิฎกมากมายเลย เพียงสังเกตและใคร่ครวญดูธรรมชาติให้ถี่ถ้วนด้วยปัญญาก็จะเห็นธรรมได้ แล้วแต่บารมีของใครจะมีมากพอทั้งอดีตและปัจจุบัน แต่สำคัญที่ปัจจุบันรู้จักเร่งขวนขวายอดทนและมีความเพียรที่จะเรียนรู้ ก็สามารถจะรู้ธรรมเห็นธรรมได้ไม่ยาก แต่ก็มีเด็กๆ ขนาดเจ้าน้อยมากนะที่จะรู้ได้อย่างนี้ หลานวอน
(พอดีนายฉุยโผล่มา หลวงพ่อแช่มจึงสั่งให้ไปหยิบขนมให้ ด.ช.วอน แต่ ด.ช.วอนกลับพูดอย่างน่าคิดว่า “ขนมหวานเขามีไว้ให้เด็กเล็กๆ เท่านั้น ผมโตแล้ว ไม่จำเป็นต้องกินหรอก” เท่านั้นแหละทิดฉุยก็เริ่มส่งเสียงทันที)
ทิดฉุย :แกน่ะหรือเจ้าวอนโตแล้ว ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเลย จะเผยอพูดว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แกเป็นลูกเต้าเหล่าใครกันวะ ช่างเจรจาไม่เหมือนเด็ก แต่ออกจะแก่เกินเด็กไปแล้วนะ
ผู้ใหญ่มา :อ้าว! ทิดฉุย เพราะช่างเจรจาเกินเด็กน่ะซี ลุงจึงได้พาเขามาพบหลวงพ่อ และหลวงพ่อยอมยกให้เขาเป็นพญามังกรไปแล้ว
ทิดฉุย :งั้นหรือ แล้วหลวงลุงจะให้ฉุยเป็นอะไรล่ะครับ?
หลวงพ่อแช่ม :เอ็งน่ะหรือ! ต้องยกให้เป็นพญามังกือ ดีไหม?
ทิดฉุย :หลวงลุงอย่าดูถูกผมนะ เดี๋ยวนี้ผมไม่แตะต้องมันแล้ว เหล้า บุหรี่ การพนันทุกชนิด เที่ยวเตร่ไม่เป็นเรื่องก็เลิกหมดแล้ว เหลืออย่างเดียวเท่านั้น คือ นอนตื่นสายขี้เซา เออ... เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า ว่าแต่เจ้าเด็กน้อยวอนเอ๋ย ที่เอ็งบอกว่าไม่กินขนมหวานนั้น เอ็งหมายถึงขนมหวานในจานอย่างนี้ หรือมีความหมายอย่างอื่น ข้าเห็นใครๆ ก็กินนี่หว่า แม้กระทั่งผู้ใหญ่อายุมากกว่าข้า
ด.ช.วอน :ผมพูดออกไปอย่างนั้นเอง เพราะเห็นว่าลุงฉุยไม่รู้จักผม ไม่เคยคุยกับผมมาก่อน มาถึงก็เห็นผมเป็นเด็กน้อยแต่ข้างนอก โดยหารู้ไม่ว่าข้างในผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผมไม่เล่นไม่หัวอย่างเด็กๆ แล้ว จะว่าผมเป็นเด็กได้อย่างไร?
หลวงพ่อแช่ม :หลวงปู่ขอเสริมให้เจ้านะ หลานวอน เจ้าฉุยฟังนะ!“ ในสมัยพุทธกาลเคยมีสามเณรองค์หนึ่ง ท่านเป็นอรหันต์ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่พระซึ่งเป็นพระปุถุชน (รู้เช่นปุถุชนคนธรรมดา) อีกองค์หนึ่งไม่รู้จักท่าน ชอบไปลูบศีรษะของท่านเล่น พระพุทธเจ้าเห็นเข้าจึงทรงออกอุบายให้พระอรหันตสาวกองค์ใดองค์หนึ่งรับอาสาไปนำน้ำจากสระอโนดาษมาให้พระองค์ พระองค์จะสรงน้ำจากสระนั้น แต่พระอรหันต์ทั้งหลายที่มีฤทธิ์เดชทำเฉยเสีย คงมีสามเณรน้อยองค์นี้องค์เดียวที่รับอาสาและกระทำให้สำเร็จโดยรวมบาตร ๖๐ ใบเข้าด้วยกัน แล้วเหาะไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับมาพร้อมกับน้ำจากสระอโนดาษ พระปุถุชนที่ชอบลูบศรีษะสามเณรน้อยเล่นจึงรู้สึกตัว และกราบขอขมาสามเณรอรหันต์องค์นั้น พร้อมทั้งกล่าวว่าจะเลิกประพฤติเล่นหัวกับท่าน”
นี่ก็เหมือนกัน เจ้าฉุย แกยังไม่รู้จัก ด.ช.วอนดี จึงไม่เห็นความเก่งกาจของเขา แบบเดียวกับเรื่องวรรณคดีสังข์ทองนั่นไง บรรดาหกเขยถูกตัดจมูกและใบหู เพราะต้องงอนง้อเงาะป่า ซึ่งพวกเขาดูถูกเพราะไม่รู้ว่าเจ้าเงาะมีเนื้อทองซ่อนอยู่ข้างใน และมีความสามารถช่วยกู้หน้ากู้ตาพวกเขาและพ่อตาของเขาไว้ได้ด้วย
ทิดฉุย :ครับ ขอบคุณครับหลวงลุง ต่อไปผมจะระวังให้มากกว่านี้ จะรู้จักดูตาม้าตาเรือให้ดี ขอโทษนะ พ่อวอน ลุงไม่ทันดู ไม่ทันคิด ว่าเจ้าจะเป็นเด็กฉลาด และมีสติปัญญาดีกว่าผู้ใหญ่อย่างลุงเสียอีก ดีแล้วต่อไปลุงจะขยันเรียนธรรมให้มีปัญญามากขึ้น จะได้คุยกับเจ้าให้สนุกไปเลย
ด.ช.วอน :โอ... ผมไม่เอาด้วยนะครับ คุยให้สนุก ถ้าคุยให้เกิดปัญญาละก็เอาแน่
ผู้ใหญ่มา :หลวงพ่อครับ ผมคิดว่าจะพา ด.ช.วอนไปสระบุรี ไปให้ท่านกตธุโรชี้แนะสั่งสอนบ้างจะดีไหม? เผื่อแกจะได้ฟังสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญญากว้างขวางกว่านี้
หลวงพ่อแช่ม :ก็ดีเหมือนกัน ผู้ใหญ่จะลองดูก็ได้ แล้วกลับมาเล่าให้หลวงพ่อฟังบ้าง
ผู้ใหญ่มา :กลับกันเถอะ หลานวอน เรากราบลาหลวงพ่อ (หลวงปู่) กันได้แล้ว วันหน้าค่อยมาใหม่
ด.ช.วอน :กระผมกราบลาหลวงปู่ล่ะครับ สวัสดีลุงฉุยด้วยครับ
ผู้ใหญ่มา :ผมกราบลาละครับ หลวงพ่อ
หลวงพ่อแช่ม :อือ... สวัสดี จำเริญๆเถอะ ทั้งสองคน
---------------------

ใครตาย ?

ใครก็ตายแน่แน่แก้ไม่ได้
ไม่ว่าใครก็ตายกันทั้งนั้น
เห็นว่าคนตายจริงยิ่งอัศจรรย์
ดูดีดีคนคนนั้นตายไม่จริง
ที่ตายตายคนไม่ใช่กลายเป็นธาตุ
น่าประหลาดตั้งเป็นคนให้วนยิ่ง
คนมาหลงปั้นธาตุอนาถจริง
สิ่งทุกสิ่งเป็นธาตุขาดจากคน
มีเกิดแก่เจ็บตายเดินไปมา
เพราะสัญญาตั้งไว้จึงได้ผล
ถ้าคนแรกไม่ตั้งมาว่าเป็นคน
จะไม่วนเกิดตายในโลกเลย

กตธุโร

ผู้ฉลาด

ถ้าเรื่องเล่นก็ต้องเล่นให้เป็นจริง
อย่าทอดทิ้งธุระจะเสียหาย
ใครไม่รู้แต่เรารู้อยู่แก่ใจ
ที่เกิดตายไม่ใช่เราเขาเป็นเอง
หัวเราะได้ร้องไห้ได้ว่ากายข้า
เที่ยวร้องท้าถ้วนทั่วว่าตัวเก่ง
ทำทั้งดีและทั้งชั่วไม่กลัวเกรง
นรกสวรรค์จึงได้เร่งคอยรับเอา
ทิ้งสวรรค์ทิ้งนรกอย่าตกอยู่
ท่านผู้รู้จึงไม่อยู่กับความเขลา
ผู้ไม่รู้จึงวิ่งอยู่สู้กับเงา
อย่าหลงเฝ้าเรื่องไม่จริงควรทิ้งไป

กตธุโร

อรหันต์ย่อมรู้เอง

ยศตำแหน่งแต่งตั้งเพื่อหวังผล
แม้แต่คนก็ยังตั้งวางหน้าที่
สมมุติตั้งทุกสิ่งอย่างต่างต่างมี
เพื่อให้รู้หน้าที่และใช้งาน
อย่าติดยศและหน้าที่ติดที่อยู่
ติดตัวรู้ยังต้องละสละอรหันต์
ไม่ต้องติดที่คนตั้งหวังนิพพาน
อรหันต์หรือไม่หันย่อมรู้เอง
ผู้ไม่รู้ก็ย่อมอยู่รวมรวมกัน
ผู้เป็นอรหันต์ไม่อวดเก่ง
ใครจะหันหรือไม่หันท่านรู้เอง
อย่าอวดเก่งพวกติดกามตามไม่ทัน

กตธุโร
บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๙
--------------------
หลวงพ่อแช่ม :เจ้าฉุยๆ ไปดูซิใครมา ได้ยินเสียงสุนัขมันเห่ากันใหญ่ผิดสังเกต คงไม่ใช่คนบ้านเรามาแน่
นายฉุย :จริงของหลวงลุงครับ มีคนมาหา เขาบอกว่าชื่อ “เมือง” เป็นลูกผู้ใหญ่มา ผมเลยเชิญเขาขึ้นมาพบหลวงลุงเลย
นายเมือง :นมัสการครับหลวงปู่ ผมเป็นลูกผู้ใหญ่มาครับ วันนี้พ่อให้นำปิ่นโตมาถวายหลวงปู่ก่อน บ่ายๆ พ่อจึงจะมาได้ พ่อบอกว่ามีธุระที่อื่นในช่วงเช้า จึงให้ผมมาแทน และผมจะกราบลาเลยนะครับ เพราะมีงานเลี้ยงควายค้างอยู่ ผมปล่อยมันไว้กลางทุ่ง กะว่ามาประเดี๋ยวเดียวคงไม่เป็นไร
หลวงพ่อแช่ม :ถ้างั้นก็รีบไปเถอะ เจริญพรนะ
นายเมือง :แต่เอ... ผมนึกอะไรออกอย่างหนึ่ง ก่อนมาผมฝาก เจ้าพ่อวังอ้ายด่างช่วยเฝ้าควายไว้ มันคงไม่ไปไหน ผมยังไม่ต้องรีบกลับก็ได้
หลวงพ่อแช่ม :เอ๊ะ! เจ้าพ่อไหนจะเลี้ยงควายได้ล่ะ มันไม่ใช่คนนี่นา
นายเมือง :เชื่อผมเถอะครับหลวงปู่ ก็คราวก่อนหลวงปู่จำไม่ได้หรือที่โค่นต้นงิ้วกัน แล้วต้นงิ้วล้มฟาดใส่ผมแทบตาย ผมเลยเชื่อมาจนบัดนี้ว่าเจ้าพ่อมีจริง และเมื่อคราวไถนาปีที่แล้วนั้นก็อีกครั้งหนึ่ง แม่เอาข้าวหาบมาส่งให้พ่อ และขณะที่ผมกำลังไถนากัน สุนัขที่บ้าน ๔-๕ ตัว มันตามแม่มากลางทุ่ง พอมันเห็นลูกควายออกใหม่ๆ มันก็วิ่งไล่กัดของคนอื่นเขาแท้ๆ แม่ผมเอาไม้ไล่ตีมัน เอาก้อนดินขว้างมัน มันก็ไม่ยอมกลับ แม่ผมจนปัญญา เลยบนบานศาลกล่าวต่อเจ้าพ่อวังอ้ายด่าง ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นสุนัขพากันกลับหมดโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับอะไรอีก เสียกัญชาไป ๕ มวนเท่านั้น ได้ความเลยครับ เพราะฉะนั้นผมจึงมาหาหลวงปู่โดยไม่มีกังวล เพราะได้ฝากควายกับเจ้าพ่อไว้แล้ว
หลวงพ่อแช่ม :ไปกันใหญ่แล้ว เจ้าเมือง ไปหลงเชื่อเรื่องงมงายอย่างนี้ได้อย่างไรกัน อย่าประมาทไปนะ ประเดี๋ยวกลับไปเกิดควายหายหมดจะทำอย่างไร? รีบกลับได้แล้ว อย่ามัวคุยอยู่อีกเลย
นายเมือง :ครับ หลวงปู่ ก่อนจะไปผมขอให้หลวงปู่ช่วยเล่าประวัติเจ้าพ่อวังอ้ายด่างให้ผมฟังสักหน่อยเถอะครับ ผมจะไม่โอ้เอ้อีกแน่นอน
หลวงพ่อแช่ม :แล้วอย่าหาว่าหลวงปู่ไม่เตือนนะ ถ้าควายเกิดหายไปเจ้าจะเดือดร้อน
คืออย่างนี้ เดิมทีในบริเวณทุ่งทั้งหมดนี้เป็นป่ารก มีต้นไม้ใหญ่สลับกันอยู่กับพงหญ้า มีน้ำเฉพาะในลำคลอง และบริเวณที่เป็นวังอ้ายด่างนั้นน้ำลึก แต่ในช่วงปีที่เกิดเหตุการณ์นั้น น้ำเกิดน้อยขึ้นมา จระเข้ในคลองพากันหนีไปอยู่ที่อื่นเหลือพญาจระเข้ตัวหนึ่งหนีไปไม่ได้ มันจึงกระเสือกกระสนไปจากวังไปทางใต้ แต่ไปติดอยู่ที่คลองอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ติดกับอำเภอบ้านแพรก คนแถวนั้นรู้ข่าวก็พากันมามุงดู พร้อมทั้งนำอาวุธมาด้วยช่วยกันทิ่มแทงจนจระเข้ตาย พอมันตายแล้วคนเหล่านั้นต่างพากันเสียใจและสำนึกผิดในบาปที่ได้กระทำ เพราะจระเข้ไม่มีความผิดอะไร จึงเกิดความสงสารขึ้นมาและต้องการจะชำระบาป จึงประชุมกันตกลงให้จัดสร้างศาลาไว้ที่วังไงล่ะ และให้ชื่อว่า “วังอ้ายด่าง” ตามสัญลักษณ์ของจระเข้ที่ตาย ซึ่งมีตัวใหญ่ยาวอายุมาก และที่หัวมีรอยด่างด้วย เรื่องมันก็มีแค่นี้ เจ้าอยากรู้ไปทำไม? และลูกหลานต่อๆ มาก็เห็นศาลเจ้าพ่อนี้มีอยู่แล้ว
นายเมือง :เอ... หลวงปู่ครับ ทำไมศาลนี้จึงศักดิ์สิทธิ์ล่ะครับ?
หลวงพ่อแช่ม :เพราะจิตหลายจิตหรือหลายความคิดรวมกันสร้างด้วยแรงศรัทธาและสำนึกในบาปกรรม มันก็อาจจะเป็นเรื่องที่ผูกพันจิตใจกันต่อๆ มา จึงพูดกันว่าศักดิ์สิทธิ์... ในโลกนี้ยังมีอะไรๆ อีกมากที่คนเรายังค้นไม่พบ และไม่รู้ว่าเป็นอะไรอยู่ที่ไหน ทั้งๆ ที่มีคนสร้างไว้นานแล้ว พอไปพบเข้าในภายหลังจึงหลงเข้าใจว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
นายเมือง :เท่านี้แหละครับหลวงปู่ ผมพอใจแล้ว ผมขอกราบลาก่อนนะครับ จะรีบไปดูควาย
ตอนบ่าย หลวงพ่อแช่มตื่นจากจำวัด สรงน้ำเสร็จแล้ว ออกมานั่งพิจารณากายอยู่ข้างเมรุเผาศพ เห็นว่ามันเปลี่ยนอยู่เสมอไม่หยุดนิ่ง ขณะที่กำลังพิจารณาเพลินอยู่นั้น ก็รู้สึกว่ามีเงาๆ หนึ่งทาบลงมาใกล้ๆ ท่าน พอหันไปดูก็พบผู้ใหญ่มา
ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ มีธุระอะไรหรือจึงตามมาถึงที่นี่ ไปคุยกันบนกุฏิดีกว่า
ผู้ใหญ่มา :ผมขอเลือกที่นี่ครับ รู้สึกว่าเย็นดี ต้นไม้ก็ร่มรื่น แดดอ่อนๆ ไม่ร้อนเลยครับ เมื่อเช้าผมให้ลูกชายนำปิ่นโตมาถวายหลวงพ่อแทน เพราะผมมัวไปประชุมกับพรรคพวกเรื่องจะจัดงานทำบุญที่วัดคุ้งนามอญ และมีสมาชิกรุ่นจิ๋วมาร่วมประชุมด้วยคนหนึ่ง หลวงพ่อเดาถูกไหมว่าเป็นใคร?
หลวงพ่อแช่ม :ใครกันผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่มา :ก็ ด.ช. วอนไงล่ะครับ เด็กฉลาดคนนี้มาประชุมแทนทิดวัยพ่อของแก ทำเอาที่ประชุมต้องเปลี่ยนแผนไปหมด เพราะความเจ้าปัญญาและช่างคิดของแก
เรื่องงานวัดที่ถกเถียงกันเกี่ยวกับดนตรี และหนังกลางแปลง เจ้าวอนเสนอให้ไม่ต้องเก็บเงินผู้มาเที่ยวในงาน แกบอกว่าถ้าจะจัดต้องให้คนเขาดูฟรี ไม่ต้องให้เขาต้องมาเสียเงินกับสิ่งที่ไม่จำเป็นเหล่านี้ เพราะเราต้องการให้เขามาทำบุญ ถ้าทางวัดไม่มีเงินจัดดนตรีหรือหนังกลางแปลงมาเล่น ก็ให้งดเสีย เพราะเป็นเรื่องส่งเสริมกิเลสโดยใช่ที่ ผู้ใหญ่ที่โตๆ กันแล้ว ทำไมยังหลงหลอกลวงชาวบ้านให้โง่ต่อไปอีก แทนที่วัดจะได้รับเงินทำบุญเป็นกอบเป็นกำ กลับต้องเอาไปเสียค่าดนตรีซึ่งแพงและไม่ได้ประโยชน์อะไร เพียงเป็นสิ่งเรียกให้คนมาเข้าวัดกันคึกคัก แล้วมาทำขยะเช่นถุงพลาสติกรกวัดต่อไปอีก เพราะมีแม่ค้ามาขายอาหาร เครื่องดื่มในงาน เปลืองค่าไฟฟ้าและแรงงานในการเก็บกวาดขยะที่คนทำทิ้งไว้ และต้องเหน็ดเหนื่อยด้วย
แม้เรื่องการปิดทองพระ แกก็เสนอว่าไม่ต้องปิด พวกขายแผ่นกระดาษทองเป็นฝ่ายได้เงิน แต่วัดไม่ได้อะไร นอกจากความรกที่องค์พระด้วยแผ่นทอง และขยะที่กองอยู่ข้างๆ พระพุทธรูป ดูแกช่างละเอียดละออในความคิดและมีปัญญานะครับหลวงพ่อ ทำเอาผู้ใหญ่สะอึกไปเลย แกบอกว่าถ้าคนเขามีศรัทธาจะทำบุญให้วัด ก็ให้ใส่กล่องที่ตั้งรับไว้ข้างองค์พระแทน โดยแกจะดูแลให้เอง
นอกจากนี้แกยังดำริให้มีการประกวดควายพันธุ์ดีทั้งตัวผู้และตัวเมีย และประกวดผู้มีความประพฤติดีในหมู่บ้านคุ้งนามอญ ประกวดผู้เล่าประสพการณ์ที่เป็นความสุขของชีวิตในอดีตซึ่งน่าประทับใจให้ฟัง ตามด้วยการฟังเทศน์จากหลวงพ่อแช่มก่อนที่จะตัดสินและแจกรางวัลผู้เข้าประกวดต่างๆ ปรากฎว่ากรรมการส่วนใหญ่ต่างพากันยกมือเห็นด้วยกับเจ้าวอน และมอบหน้าที่ควบคุมการเงินให้แกด้วย
หลวงพ่อแช่ม :ก็ดีนะ เด็กบางคนก็มีความคิดดีและถูกต้อง ซึ่งผู้ใหญ่จะประมาทเขาไม่ได้ และควรจะยอมรับในความคิดที่มีสติปัญญาของเขา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไปได้
ผู้ใหญ่มา :ผมขอคุยธรรมะกับหลวงพ่อต่อนะครับ ผมสงสัยว่าเมื่อเวลายังเป็นอัตตาอยู่ในความรู้สึกของเรา เราจะออกจากมันโดยเห็นว่ามันเป็นมัน แล้วจะหมดดูด-ผลักหรือครับ?
หลวงพ่อแช่ม :เห็นจะยังไม่พอหรอกโยมผู้ใหญ่ จะต้องเห็นแจ้งจากใจว่าดูด-ผลักก็ไม่ใช่เรา เกิดจากขบวนการของขันธ์ห้าโดยธรรมชาติ จากผัสสะมีวิญญาณขันธ์มารับ แล้วส่งต่อให้สัญญา ปรุงเป็นเวทนาโดยสังขาร เวทนาจึงมีตามสัญญาที่เข้ามา แล้วแต่ว่าเป็นสัญญาดูดหรือสัญญาผลัก (พอใจหรือไม่พอใจหรือเฉยๆ) ถ้ามีสติรู้ทันว่ามันทำงานของมันทั้งหมด และเกิด-ดับเอง ไม่ไปให้ความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นจริง ไม่เกิดความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเรา ก็เท่ากับไม่มี อัตตา (ไม่มีเรา) ไปยุ่งเกี่ยวกับมัน ไม่มีเราในมัน เวทนาที่เกิดขึ้นก็จะไม่มีอัตตาและสลายไปเอง ไม่มีความอยากและอุปาทานต่อไป ในที่สุดจะเป็นสักแต่ว่าสัญญา สักแต่ว่าเวทนาของธรรมชาติซึ่งมีวิชชาแล้ว ก็จบเรื่องกัน คือออกจากมันได้
ผู้ใหญ่มา : ผมเข้าใจแล้วครับ วันนี้ค่ำพอดี ผมขอกราบลาก่อน
หลวงพ่อแช่ม : สวัสดีโยมผู้ใหญ่ เจริญธรรมเถิด
------------------




Create Date : 20 สิงหาคม 2554
Last Update : 20 สิงหาคม 2554 4:38:49 น. 0 comments
Counter : 1348 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jesdath
Location :
เชียงราย Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
20 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jesdath's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.