เชียงรายในอดีต และอื่นๆ
----เล่าเรื่องเชียงรายในอดีตบ้าง แล้วจะมาอัพเดตเรื่อยๆนะครับ ต้องปั่นกระทู้ลึกลับไปด้วย ---เดินในตลาดสดที่เรียกว่า กาดใหญ่ หรือกาดหลวง สายตาไปพบผักดองชนิดหนึ่ง สีแดงๆ แสดงว่ามีพริก ซื้อมาถุงละ 40 บาท พอมาถึงบ้าน โอ้โห มันคือผักกาดดองของชาวไทยใหญ่ ซึ่งมีพริกป่น ต้นหอม และรากซู (ฮาก หรือฮักซู) ซึ่งต้นซูจะคล้ายกระเทียมหรือใช่ก้ไม่ทราบ ค้องถามแม่ช้อยนางรำ(ชาวแม่สาย)อีกทีครับ ส่วนใหญ่คนไทยใหญ่จะกินเป็นอาหารหลักเลยก็ว่าได้ อากหารอื่นก็คล้ายๆกัน เช่นแคบหมู แหนม น้ำพริกอ่อง ชาวไทยใหญ่จะกินจืดๆ มีอะไรคล้ายเต้าหู้ เรียกว่า ข้าวแรมฟืน กินกับน้ำยาจืดๆ และอะไรที่คล้ายเต้าหู้ทอด แต่ก็อร่อยดี อาหารทุกอย่าง(ส่วนใหญ่)แทบจะขาดมะเขือเทศไม่ได้เลย จนมีคำกล่าวว่าผิวสาวเจ้านั้นช่างสวยเหมือนผิวมะเขือเทศ
--นายฮอลเลต มาถึงเชียงราย คศ.1884 ได้กล่าวว่า ในเมืองสะอาด มีถนนตัดตรง มีท้องร่อง รั้วบ้านเป็นไม้ไผ่ขัดแตะปลายแหลม มีการชักน้ำจากลำธารใกล้ เข้ามาในเมือง มีทางเข้า ๑๒ ทาง แต่มีทางใหญ่ๆ ๘ ทาง --แต่เมื่อ ยนายแมคคาธรี์ มาในปี 1891 บอกว่า ในเมืองมีการปล่อยปละละเลยเป็๋นอย่างมาก มีแต่ป่ารกขึ้นเต็มไปหมด
หมอบริกส์(มิชชันนารี่) ได้สังหารเสือตัวเขื่องในเมืองเชียงราย และปี 1920 ได้มีการรื้อทำลายกำแพงและประตูเมืองตามคำแนะนำของหมอคนนี้ เพื่อทำลายแหล่งเชื้อโรค ท่านเป็นผู้สร้างรพ.โอเวอร์บรู๊ค ในปี1910 (มาอยู่ช่วงปี คศ.1903-1918)
--ถนนในเชียงรายตัดไว้อย่างดีเป็นตาหมากรุก เพราะได้พวกมิชชันนารีมาออกแบบให้ ใช่ดร.ฮันส์ เพนท์ หรือเปล่า ต้องไปค้นอีกที ราว คศ.1936มั้งครับ --เชียงรายไม่นิยมอนุรักษ์กำแพงเมืองแบบเชียงใหม่ ครูของข้าพเจ้าเล่าว่า ชาวบ้านรื้อไปสร้างบ้านกันอิฐสมัยก็ขนาดฟุตคูณฟุคได้ ก่อแบบไชว้ หรือ อิงลิชบอนด์ที่แข็งแรง มีชาวต่างชาติมาพบว่า ในเขตเมือง ยังมีเสือ และเป็นชุมนุมบึงหล่มงู จึงแนะให้ทำลายกำแพงเมืองเสีย เพื่อแสดงกดด และลมจะได้พัดพาเอาเชื้อโรคไข้ป่าทั้งหลายออกไปบ้าง เดิมตรงที่ รร.วังคำก็เป็นหนองน้ำ ชื่อหนองเขียว ใกล้ๆบ้านเดิมของ ถวัลย์ ดัชนีนั่นแหละ
---ที่แม่สายมีการพนัน บะก่องถี่ เป็นหวยรายวัน ออกวันละสองครั้ง คนที่หัดจดบันทึกจะถูกได้ง่าย เพราะมีคำถาม และมีคำใบ้ให้ด้วย 20 ปีก่อนนี้ยังมีคนบอกว่า เจ้าฟ้าแถวเชียงตุงเป็นเจ้ามือ และข้าพเจ้าก็โง่พอที่จะเชื่อเสียด้วย ความจริงเชื้อเจ้าทั้งหลายถูกรัฐบาลเมียนม่าร์เชิญไปเที่ยวสวรรค์กัน จนหมดกรุเจ้าแล้ว มีแต่นิยายเื่องอัญญมณีแห่งเมือสีก้อ แถวเมืองโก เมืองเลน เมืองม้า และเมืองลา LA City ไม่ใช้แอลเอฝรั่ง แต่เป็นแอลเอฉบับจีน ข้าพเจ้าซื้อมีดมาหนึ่งเล่ม 2 หยวนเท่ากับ10บาทไทย แต่ดูแล้วน่าจะขาย 20 บาท แผ่นซีดี เพลง หนัง ราคาประมาณ 50 บาท แต่ที่จีนประมาณ25 บาทเท่านั้น ส่วนใหญ่จะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ค่อยมีคุณภาพ เช่นเครื่องดีวีดี ที่บ้านเขาก็คงใช้ได้ เพราะอากาศมันหนาว แต่ของไทยต้องใช้พัดลม และแผ่นระบายความร้อนช่วยปัจจะบัน ก้เห็นมีแต่ซีดีเพลงฝรั่งเท่านั้นที่พอขายได้
--เห็นมีนามสกุล ณ เชียงใหม่ ณ อยุธยา อะไรต่างๆ แต่ไม่เคยเห็น ณ เชียงราย มีแต่เรื่องสั้น ที่ชื่อ นิภาพรรณ ณ เชียงราย นานมาแล้ว ซึ่งผิดครับ นามสกุลนี้ไม่มีนะครับ พวกที่ควรจะเป็น ณ เชียงราย จะต้องเป็นสกุล "เชื้อเจ็ดตน"เท่านั้น (เชียงรายโอนลี่)มีจุดนี้ที่เดียวในประเทศไทย
--ฉลอง 750 ปี เมืองเชียงราย ตั้งแต่สมัยพญามังราย(คำว่าพ่อขุนเม็งราย นั้นเขาว่าผิดนะเออ) ท่านพ่อของเรา เงียบยังกะป่าช้า เซ็งจิตครับท่าน
--มีเจดีย์เล็กๆอยู่ใกล้ๆหอนาฬิกาใหม่ เยื้องหลัง โรงแรมวังคำ เป็นเจดีย์ของวัดไทยใหญ่ ชื่อวัดม่านประตูหวาย...( เดี๋ยวหาดูข้อมูลก่อน คนเชียงราย ยังไม่ค่อยรู้เลยครับ) สร้างโดยภิษุชาวพม่า ชื่อ อุเหย่วาทะ ในสถานที่เรือกสวนของป้าบัวขาว ชาวพม่า พระที่เก่งทางก่อสร้าง จะเรียกว่า เจ้าสล่า พระทั่วไป จะเรียกว่า อะปุงกี่(อะพุงคี) พระเณรชาวไทยใหญ่-พม่าจะเก่งทางพระอภิธรรม ศึกษาด้านจิต ด้านวินัยไม่เข้มงวด เช่นจะไปจีบสาว ก็จะมีคนบอกว่า เขามีแฟนแล้ว--เป็นพระนะ ปีก่อนก็ไปเที่ยวงานที่เชียงตุงกัน 5 วัน 5 คืน โห พระควงสาวเที่ยว อ้างว้างค้างแรมกัน มันจะไปเหลือหรือท่าน ต้องคิดเอาเอง ส่วนฆราวาสทั่วไป เคร่งศาสนานะครับ เสาร์อาทิตย์ เข้าวัดนั่งสมาธิ แม้แต่ญาติรัฐบาลพม่าที่ว่าโหด ยังสร้างวัดวา บำรุงศาสนาอย่างไม่อั้น ที่เชียงตุง ได้เห็นเขาเอาช่อดอกไม้มาขาย เป็นไม้ป่าคล้ายพยอม ไม่หอมอะไรหรอก แต่มันเป็นสิ่งที่คลาสสิกมาก แสดงถึงความรัก ศรัธา จิตใจงดงาม ที่มีต่อพระศาสนา ที่นั่นเหมือนกับพี่น้องเราที่จากไปนาน ทักทายคุยกันสนุกสนาน ได้เจอญาติคนไทยที่ไปมีลูกเต้าสมัยสงครามโลกที่ไปรบเชียงตุง และพ่อของนายกชาติชาย (พลเอก ผิน ชุณหะวัน)ก็เคยไปปกครองที่นั่นมาแล้ว คนที่นั่นยอมรับว่าท่านปกครองดูแลประชาชนได้ดีมากๆ -เชียงตุงมีสระอยู่กลางเมือง เพื่อให้เจ้าฟ้าได้ลงอาบ ทำพิธีต่างๆ และเป็นแหล่งน้ำที่เล่นกันอย่างสนุกสนานตอนสงกรานต์ ตอนค่ำเราก็ทานอาหารแถวนั้น มีวัยรุ่นมาเล่นดนตรี เจ้าของร้านยังเชิญสาวประเภทสองมาเต้นอะโกโก้ให้ดูอีกด้วย (เทศกาลคืนกำไร)--ป่าตอแหล่(แมะ) แปลว่าไปไหนมา เมงกะราบา แปลว่าสวัสดี ไปเชียงตุงต้องกินโรตีโอ่ง-ก็ไม่ได้กินนะ แต่มีทายาทเบียร์สิงห์เปิดร้านอาหารที่นั่น อร่อยดี วัยรุ่นนิยมย้อมผมมาจากต่างประเทศ คือประเทศไทย
-(ช่วงนี้ผมทำวงจรไฟฟ้าเล่นอยู่ ยังไม่เวิร์ค เพราะขาไอซีมันใหญ่กว่าเส้นผมหน่อยเดียว ต้องใช้กล้องขายดูตลอด ที่เขาทำขายนั่นใช้แบบหุ่นยนต์ทำนะครับ การบัดกรีก็ต่างกัน โดยใช้การเป่าลมร้อนลงไปให้มันหลอมติดด้วยตะกั่ว ซึ่งช่างปัจจุบันนิยมไม่ซ่อมเลย เปลี่ยนทั้งแผงง่ายกว่าเยอะ ตัวต้านทานไฟฟ้า ถ้าหลุดออกมาเราจะหาไม่เจอ เพราะมันเล็กเท่าขี้เล็บเอง ทรานซิสเตอร์อะไรก็เล็กไปหมด เขาเรียกว่า พวก เซอร์เฟซ-เม้านท์ คือเอาไปบัดกรีแปะไว้ ไม่ต้องเจาะรูแผ่นวงจร อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญทางการฟังเพลง ยกย่องว่าแบบเดิมดีกว่า และดีสุดยอดต้องพวกหลอดสูญญากาศ ซึ่งปัจจุบัน ทั้งรัสเซียและจีนก็ยังผลิตอยู่ และขายดีมากๆ ซึ่งของไทยบางร้านบอกว่า-ทิ้งไปเป็นเข่งๆ บางร้านที่เชียงใหม่ โละชายให้ฝรั่ง ได้เงินมาหลายแสนบาททีเดียว (หรือจะตัดใจซื้อรุ่นที่ขามันใหญ่หน่อยหว่า หนึ่งพันสามร้อยบาท --อยากฟังแอมป์ดิจิตอลแย่แล้วหรือมีอีกรุ่น เล็กๆ เหมือนกัน ว่าจะเอาไปให้ร้านมือถือทำให้ เพราะเครื่องบัดกรีเค้า หมื่นกว่าบาทน่ะ) จนทุกวันนี้ก็มีฝรั่งมาถามหาซื้อผลงานของผมอยู่นะ แต่ยังไม่มีความพร้องอะไรเลย อยู่ว่างๆก็เอาวิทยุทีึ่เขาทิ้งแล้วมาซ่อมฟัง น่าเสียดายที่ทุกเครื่องไม่ได้เสียครับ สายไฟขาดบ้าง อะไรงี้ บางเครื่องเสียงใสดีมาก ไม่มีเสียงซ่าเลยน่ะ-โอ แอมป์ดิจิตอลของคนไทยทำก็มีเยอะ แต่ที่ใช้ในบ้านก็เพิ่งเห็น คงจะดีกว่าของจีนนะ เดี๋ยวจะกัดฟันซื้อมาส่งขายยุโรป มันมีการโมดิฟายเหมือนกัน เช่นเปลี่ยนขดลวดฟิลเตอร์ ปรับไฟออกให้ได้ศูนย์ เสียงจะดีขึ้น)
จบแค่นี้ก่อนครับ แล้วจะมาเติมต่อ
---ภาพถ่ายกำแพงเมืองครั้งอดีต
---ภาพวาดกำแพงเมือง มีซุ้มเรียกว่า แบบอย่าง-ประตูโขง น่าจะเป็นประตูเชียงใหม่ในปัจจุบัน--ภาพส่วนใหญ่มาจากนิตสาร "ล้อล้านนา" (เล่มบางๆ แต่แพงสุดๆ)
Create Date : 01 ตุลาคม 2553 |
Last Update : 3 ตุลาคม 2553 6:29:35 น. |
|
4 comments
|
Counter : 4081 Pageviews. |
|
|
|