ศาลโลกนำเรื่อง "สังหารหมู่ที่ราชประสงค์ "เข้าในวาระพิเศษวาระแรกแล้ว

ศาลโลกนำเรื่องเข้าพิจารณาการ" สังหารหมู่ที่ราชประสงค์ "ในวาระพิเศษวาระแรกแล้ว

ลางร้ายสำหรับรัฐบาลไทย
วันนี้ ดูเหมือนว่าความดิ้นรนพยายามสร้าง “กระบวนการปรองดองสมานฉันท์” ของนายอภิสิทธิ์ดูจะท่าจะไม่เป็นผล เพราะ ICG องค์กรนิรโทษกรรมสากล และ Human Rights Watch ได้ถอนตัวจากการมีส่วนร่วมกับกระบวนการสมานฉันท์จอมปลอมในศรีลังกา และได้ยังเผยแพร่แถลงการณ์ตักเตือนว่า

“ICG องค์การนิรโทษกรรมสากล และ Human Rights Watch ได้ปฏิเสธคำเชิญของคณะกรรมการเรียนรู้จากบทเรียนและสร้างความสมานฉันท์ปรองดอง (LLRC) แห่งศรีลังกา รัฐบาลศรีลังกาได้ตั้งคณะกรรมการดังกล่าวเพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างความสมานฉันท์และนำความยุติธรรมกลับคืนสู่ประเทศหลังจากสงครามการเมืองที่ยาวนานระหว่างรัฐบาลและกลุ่ม the Liberation Tigers of Tamil Eelam (LTTE) แต่กระนั้นคณะกรรมการล้มเหลวปฏิบัติตามมาตรฐานเบื้องต้น และยังทำลายโครงสร้างพื้นฐานและหลักการปฏิบัติ ”

เป็นที่แน่ชัดว่า นายกอภิสิทธิ์เพิกเฉยต่อคำแนะนำนี้ และทำให้หลายคนคิดว่าแผนการดังกล่าวเป็นแค่กระบวนการสมานฉันท์จอมปลอมที่ใช้ปกปิดความจริง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงอันอำมหิตในเดือนเมษายนและพฤษภาคมซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 90ราย ได้รับการปูนบำเหน็จ ในขณะที่จำนวนคนเสื้อแดงที่ถูกปฏิบัติอย่างไร้ความเป็นธรรมและถูกกักขังเพิ่มมากขึ้น

สิ่งสำคัญคือคณะกรรมการไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสอบสวนถึงข้อกล่าวหาอันน่าเชื่อถือหลายข้อที่มีต่อหน่วยความมั่นคงและกลุ่ม LTTE ว่าทั้งสองกลุ่มกระทำความผิดอาชญากรรมสงคราม กระบวนการพิจารณารับฟังที่มีขึ้นสองเดือนที่แล้วจนกระทั่งวันนี้ สมาชิกคณะกรรมการหลายคนที่ได้เกษียณอายุราชการไปแล้วไม่ได้พยายามจะตั้งคำถามถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่เล่าโดยฝ่ายรัฐบาล และยังปล่อยให้สมาชิกคณะกรรมการใหม่เข้าใจผิดถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว

.................................................................................................-----ในวันที่ 27 ตุลาคม พันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. ได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า “ที่ประชุมยังไม่มีการรายงานเรื่องนี้เข้ามา ขณะเดียวกันผมก็ไม่ชัดเจนในข้อกฎหมายว่าทำได้หรือไม่ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นที่รับรู้กันว่าอะไรเกิดขึ้น ไม่ใช่ทหารเราไปไล่ฆ่าประชาชน แต่เกิดจากการชุมนุมที่เกินขอบเขตกฎหมาย” นอกจากนี้พันเอกสรรเสริญยังกล่าวว่า “ศาลในประเทศไทยก็วินิจฉัยรัฐบาลเป็นผู้ดูแลความมั่นคงมีอำนาจระงับยับยั้งเหตุการณ์ เพราะได้มีความพยายามต่อรองและได้ดำเนินการอย่างถึงที่สุดด้วยความรอบคอบ (สำหรับการดำเนินการสลายการชุมนุม) การดำเนินการของเจ้าหน้าที่จึงต้องทำด้วยหลักสากล มีการชี้แจงผ่านวิทยุ โทรทัศน์ และผ่านสื่อ รวมทั้งไม่ปิดกั้นเสรีภาพของสื่อมวลชน”

---ตามมาด้วยคำชี้แจงของสมาชิกรัฐบาลอย่างนายเทพไท เสนพงศ์
“เหตุการณ์ดังกล่าวต่างจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของกัมพูชา ซึ่งอยู่ในการตัดสินของศาลโลก แต่เหตุการณ์ความวุ่นวายในประเทศไทย เป็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในประเทศ และรัฐบาลไม่ได้มีเจตนาไปเข่นฆ่าประชาชน เป็นเพียงการบังคับใช้กฎหมายที่มีบทบัญญัติกฎหมายรับรอง จึงคิดว่าไม่สามารถนำไปฟ้องดำเนินคดีต่อศาลโลกได้”

หากพิจารณาคำอธิบายของศอฉ.และชี้แจงเหล่านี้ จะพบว่ามีความโดดเด่นอย่างมาก เพราะแนวความคิดของศอฉ. (ซึ่งเราสามารถตีความได้โดยทั่วไปว่าเป็นความคิดของกลุ่มอำมาตย์) แสดงให้เห็นว่ายังคงมีความพยายามที่จะปฏิเสธว่าทหารและตำรวจไม่ได้สังหารผู้ชุมนุม จุดยืนของศอฉ. แสดงให้เห็นถึงพยายามชี้นำสังคมในทางที่ผิดเท่าที่จะสามารถจินตนาการได้ ซึ่งขัดต่อหลักฐานที่ถูกเผยแพร่อย่างแพร่หลายในที่สาธารณะ และความพยายามนี้ช่วยอธิบายว่าเหตุใด รัฐบาลจึงปฏิเสธโอกาสในการเข้าถึงหลักฐานทางนิติเวชและพยายามที่จะปกปิดข้อเท็จจริงและข้อมูลอื่นที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว และนี่คือตัวอย่างหนึ่งของการกระทำของรัฐบาลทีเราเลือกออกมาจากยุทธศาสตร์สร้างความยุ่งยากในการตรวจสอบเหตุการณ์ของรัฐบาลไทย ซึ่งแสดงในเห็นถึงความพยายามปฏิเสธการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม นั้นคือการที่ศาลปฏิเสธคำร้องผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 19 คน ในวันที่ 27 สิงหาคม โดยเป็นคำร้องที่ขอดำเนินการชันสูตรศพทั้ง 9ศพที่ถูกสังหารหมู่ ด้วยผู้เชี่ยวชาญของผู้ถูกกล่าวหา

แม้รัฐบาลจะทำการชันสูตรศพดังกล่าว แต่จนถึงปัจจุบันรัฐบาลไม่เคยเปิดเผยผลการชันสูตรแก่ผู้ถูกกล่าวหา นอกจากนี้ ครอบครัวของผู้เสียชีวิตไม่ได้ดำเนินพิธีการเผาศพ เพื่อต้องการเก็บรักษาหลักฐาน ด้วยความหวังที่ว่า ความยุติธรรมจะเกิดขึ้นในที่สุด การปฏิเสธคำร้องดังกล่าวของศาลละเมิดต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามไว้ ICCPR บัญญัติว่า ผู้ถูกกล่าวหาทางอาญามีสิทธิเข้าถึงหลักฐานเช่นเดียวกับกับรัฐบาล เหตุผลเดียวที่ศาลใช้ปฏิเสธคือ อัยการเป็นผู้เดียวที่มีอำนาจในการร้องขอชันสูตร

วัตถุประสงค์หนึ่งในการชันสูตรคือ การตรวจสอบทิศทางกระสุน ชนิดกระสุน และระยะทาง เพื่อพิสูจน์ว่าผู้เสียชีวิตเหล่านี้ถูกมือปืนซุ่มยิงทหาร หรือถูกยิงจากระดับพื้นดินโดยบุคคลอื่นตามที่รัฐบาลอ้าง และนี่คือประเด็นที่เจ้าหน้ารัฐล้มเหลวในการชันสูตรพลิกศพ การที่รัฐบาลปฏิเสธคำร้องของผู้ถูกกล่าวหา แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพยายามทำลายหลักฐานสำคัญที่จะระบุว่ามือปืนซุ่มยิงทหารได้สังหารประชาชน เพราะเมื่อการชันสูตรเสร็จสิ้นลง ศพเหล่านั้นจะถูกนำไปประกอบพิธีวางเพลิงศพ

เหตุใดจึงพยายามปกปิดผลการชันสูตร?

รัฐบาลได้จับกุมแกนนำเสื้อแดงในข้อหาก่อการร้าย ก่อนที่จะมีการสอบสวนข้อเท็จจริง หากมีข้อเท็จจริงที่จะพิสูจน์ข้อกล่าวหาของรัฐบาลที่ว่า มีกลุ่มหัวรุนแรงในการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง รัฐบาลควรจะสอบสวนและระบุตัวบุคคลดังกล่าวให้แน่ชัด ก่อนที่จะกุมกุมแกนนำเสื้อแดงในข้อหาก่อการร้าย เพราะบุคคลเหล่านั้นเพียงแค่ใช้สิทธิตามกฎหมาย และยังเป็นสิทธิที่รับรองใน ICCPR ในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเท่านั้น

* มาตรา ๘๑ รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านกฎหมายและการยุติธรรม ดังต่อไปนี้ (มีทั้งหมด ๕ ข้อ) (๒) คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลให้พ้นจากการล่วงละเมิด ทั้งโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐและโดยบุคคลอื่น และต้องอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน
* มาตรา ๘๒ รัฐต้องปฎิบัติตามสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี รวมทั้งตามพันธกรณีที่ได้กระทำไว้กับนานาประเทศและองค์การระหว่างประเทศ
* มาตรา ๖ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้
* มาตรา ๒๖ การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ก่อนคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่า
บุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฎิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำผิด มิได้

* มาตรา ๔๐ บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรม
แกนนำเสื้อแดงถูกปฏิเสธสิทธิในการเข้ารับฟังการพิจารณาคดีของตนเอง ในวันที่ 27 สิงหาคม แกนนำเสื้อแดงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ารับฟังการแจ้งข้อหาอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งชี้แจ้งและแก้ต่างข้อหาเหล่านั้น นอกจากนี้ ศาลยังได้กล่าวว่า ผู้ถูกกล่าวหาเหล่านี้จะไม่ได้รับอนุญาตในเข้าฟังการพิจารณาคดีครั้งต่อไป ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดบทบัญญัติใน ICCPR ที่ประกันความยุติธรรมในการพิจารณาคดี เพราะการกีดกันไม่ให้ผู้ถูกกล่าวหามีโอกาสที่จะสื่อสารกับทนายของคนเองในประเด็นที่เกี่ยวกับ ข้อหา/ข้อเท็จจริง/ข้อกล่าวหา และยังส่งผลต่อความสามารถในการตระเตรียมข้อแก้ต่างให้กับตนเองอีกด้วย เหตุผลที่พวกเขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าฟังการพิจารณาคดีคือ ห้องพิจารณามีขนาดคับแคบเกินไป อันแสดงให้เห็นถึงความไร้สาระของรัฐบาลนี้ในการจัดการกับคดีดังกล่าว (มีที่นั่ง 3 ที่นั่ง สำหรับทนายทั้ง 19 คน ในการพิจารณาคดีวันที่ 27 สิงหาคม) ครอบครัวของผู้ถูกกล่าวหายังถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดีเช่นกัน ในขณะที่คำร้องขอให้พิจารณาคดีในห้องพิจารณาคดีที่มีขนาดใหญ่ขึ้นถูกปฏิเสธ

เมื่อพิจารณาจุดยืนของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในคดีนี้จะพบว่า แทนที่จะแสดงข้อมูลที่สนับสนุนข้อกล่าวอ้างของตน รัฐบาลกลับพยายามอย่างมากที่จะปัดความรับผิดชอบต่อประชาคมโลก ข้อเท็จจริงคือ มีฝ่ายหนึ่งที่สนใจให้มีการนำเสนอข้อมูล หลักฐาน การสอบสวนและดำเนินคดีอย่างเปิดเผย และอีกฝ่ายที่กล่าวตนเองเท่านั้นที่มีสิทธิขาดในการพิจารณาตรวจสอบคดี โดยสรุป เรายินดีที่จะพิสูจน์หลักฐานที่ระบุว่ารัฐบาลกระทำความผิดจริงอย่างเปิดเผยในศาลยุติธรรม

จนถึงทุกวันนี้ พันเอกสรรเสริญ นายเทพไท และนายอภิสิทธิ์ รวมถึงบุคคลอื่นๆ ไม่ได้แสดงความมั่นใจต่อจุดยืนของตนเอง แต่กลับพยายามแสดงพฤติกรรมหลีกเลี่ยงความผิดของตนเอง
......................................................................
หลังเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม ผ่านพ้นไปและดูท่าทีรัฐบาลอภิสิทธิยังกอดอำนาจแน่น จึงมีกลุ่มผู้รอบรู้ทางกฏหมายและการสืบสวนสอบสวน

ได้ ลงมือรวบรวมพยานหลักฐานอย่างละัเอียด เป็นขั้นเป็นตอน น่าเชื่อถือ เก็บพยานวัตถุ สอบปากคำพยานบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์เป็นจำนวนมาก สอบกันแบบมืออาชีพ

สำคัญที่สุดผลการตรวจพิสูจน์ผู้เสียชีวิต เท่าที่สามารถรวบรวมได้ โดยผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติเวช ยืนยันได้ว่า ส่วนใหญ่ผู้เสียชีวิตถูกกระสุนเข้าที่ศรีษะ

นั่นหมายความว่า คนตายจำนวนมากถูกยิงจากที่สูง ไม่ใช่ยิงในแนวระนาบ

เหมือน กรณี 6 ศพในวัดปทุมวนาราม ซึ่งมีการตรวจพบรอยกระสุนยิงลงบนพื้นซีเมนต์จนเป็นรูเต็มไปหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ว่าจะยิงจากแนวราบ ต้องยิงจากที่สูงทั้งนั้น

ขณะที่มีภาพถ่าย คลิปวีดีโอ ละเอียดทุกมุม เห็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ พร้อมอาวุธยืนเล็งปืนอยู่เต็มรางรถไฟฟ้าบีทีเอส หน้าวัดปทุมนั่นเอง

ทีมนักกฏหมายและผู้รอบรู้ด้านการสืบสวนสอบสวนในไทยได้ลงมือรวบรวมพยาน หลักฐานเหล่านี้มาระยะหนึ่งแล้ว ก่อนประสานกับนายโรเบิรต์ อัมสเตอร์ดัม เพื่อนำไปประกอบการฟ้องร้องต่อศาลในต่างประเทศ

อย่งน้อยก็ไม่ใช่การฟ้องร้องอย่างเลื่อนลอย

หากแต่แนบพยานหลักฐาน รวมทั้งผลการตรวจพิสูจน์ศพ การตรวจที่เกิดเหตุ ที่รวบรวมอย่างเป็นระบบและหนาแน่นน่าเชื่อถือ พร้อม ๆ กับการยื่นฟ้องร้องด้วย

อย่างว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นในกลางเมืองหลวง ต่อหน้าต่อตาประชาชนมากมาย ในยุคที่อุปกรณ์ไฮเทคมีอยู่ทุกครัวเรือน

ดังนั้นการบันทึกพยานหลักฐานในเหตุการณ์ดังกล่าว จึงยุบยั่บไปหมด

ขณะ เดียวกันนักกฏหมายและผู้เชี่ยวชาญด้้านสืบสวนสอบสวนจำนวนมาก ก็ไม่สามารถทนดูการเข่นฆ่ากันกลางเมืองโดยคำสั่งอันผิดพลาดของรัฐบาลได้

จึงมีการแอบลงมือรวมรวมเป็นรูปคดีสมบูรณ์แบบ เพื่อประสานกับทนายความระดับสากล ในการนำคดีนี้ไปพิสูจน์ในศาลระหว่างประเทศ


//forum1.arinwan.com/index.php?topic=1539.msg2291&utm_source=twitterfeed&utm_medium=facebook&utm_campaign=Feed%3A+ArinwanForum+%28Arinwan+Forum%29&utm_content=FaceBook#msg2291









Create Date : 19 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2553 3:39:51 น. 4 comments
Counter : 1288 Pageviews.

 
นั่นสิคะ..
มีคนอีกหลาย ๆ ล้านคนที่สงสัย เคลือบแคลง
แต่ก็ได้แต่คิดอยู่ในใจค่ะ
ถ้าคิดออกมาดัง ๆ ได้อย่างเสรีภาพ มันก็ดีนะคะ
แต่ มันทำไม่ได้กับบ้านนี้เมืองนี้ ตอนนี้ค่ะ


โดย: มินทิวา วันที่: 19 พฤศจิกายน 2553 เวลา:4:29:46 น.  

 
คดีความทางโลกก็ว่ากันไป ดิ้นรนกันไป หาทางเอาตัวรอดกันไป ซักได้ ฟอกได้ สีดำๆ ที่ใครก็เห็นว่าดำ แต่เขายังย้ำกันอยู่ว่าขาว
เอ้า.. ขาวก็ขาว

แต่พระยายมเขาขาวกับท่านด้วยหรือเปล่า?

เตรียมใจกันไว้แล้วกัน


โดย: oddy.freebird วันที่: 19 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:18:58 น.  

 
ครับ คนเราตัดสินใจที่ขะใช้แนวทางแห่งความโหดเหี้ยม เพื่อตัวเขาจะได้มีอำนาจ และทรัพย์สิน โดยสร้างความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสให้กับสังคมและประเทศชาติ
-----ผมก็บอกแล้วว่า เขาตัดสินใจแล้ว โดยไม่คิดว่าผมดรรมอันหนักหนาสาหัสได้รอเขาอยู่ในยมโลก อย่างที่คนโบราณกล่าวว่าใตเถนเทวทัตต์ คือเทวทัตต์นี่รับหนักสุดๆแล้ว---แต่เขาได้เลือกแล้วซึ่งทางเดินอันนี้
--ในบางครั้ง ยมฑูต หรือยมบาล(ผมรู้มากกว่านี้ ว่ามีท่านใดบ้าง) ก็เป็นวาระที่ไม่ใช่คนไทยมาเป็น เขาพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ สื่อสารไม่ได้ ต่อรองอะไรก็ไม่ได้ ถูกหวายลงหลัง ผึ้งพิษที่ร้ายแรง น้ำกรดกัดร่างกาย การทรมานต่างในสมัยก่อนที่เราเคยอ่านเจอ ก็เพราะคนยุคนั้นเขานั่งสมาธิไปเห็นในนรกมานะครับ
----กรรมใครก็กรรมมันนะครับ รอแต่วันที่คนพวกนี้ลงจาก
ตำแหน่ง เราคงจะมีความสุขขึ้นมาบ้าง สุขใจดีกว่าสบายแค่กาย


โดย: jesdath วันที่: 19 พฤศจิกายน 2553 เวลา:13:45:13 น.  

 
ขอแก้เป็น ใต้ถุนเทวทัตต์ คือคนที่ทำร้ายพระพุทธเจ้านะครับ--ถือเป็นกรรมอันหนัก---บางคนพูดว่าใค้ถุนกรมทัตต์
--พูดเพี้ยนไป แต่ความหมายคงเดิม


โดย: jesdath วันที่: 19 พฤศจิกายน 2553 เวลา:13:47:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jesdath
Location :
เชียงราย Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
19 พฤศจิกายน 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jesdath's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.