นักโทษการเมืองล้นคุก---อำนาจรัฐ ถูกปล้น
วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553นักโทษการเมือง!! ล้นคุกเมืองไทย
----------กรุงเทพ 23 ส.ค.2010- คุกในประเทศไทยที่เต็มไปด้วยนักการเมือง-นักวิจารณ์การเมืองที่ไม่ทราบว่าเพิ่มมาเป็นกี่คน นับตั้งแต่ทหารเข้าล้อมปราบประชาชนฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล จนบาดเจ็บล้มตายเมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์นั้นยังคงเป็นปริศนาอยู่
----------นักสิทธิมนุษยชนได้ประเมินว่าน่าจะมีนักโทษการเมืองอยู่ประมาณ 470 คน จากหลักฐานที่ได้จากกรมราชทัณฑ์กรุงเทพและราชทัณฑ์ในต่างจังหวัดทั้ง 5 แห่ง เราทราบว่ามีประมาณ 333 คนที่ถูกจับด้วยข้อหาดำเนินกิจกรรมทางการเมือง หลัง 19 พ.ค. และโดนจับในกรุงเทพ ขวัญรวี วังอุดม ในฐานะผูประสานงานองค์กรสิทธิมนุษยชน และกลุ่มกิจกรรมวิชาการาตรวจสอบสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย และยังมีอีก 136คนในคุกต่างจังหวัด ซึ่งจังหวัดอุดรธานีเป็นจังหวัดที่ผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลถูกจับกุมมากที่สุดจังหวัดหนึ่งโดนจับมากที่สุดถึง 55 คน โดยในจำนวนนี้เป็นชาย 44 คน ที่เหลือเป็นหญิงและเด็ก
----------คนทุกคนถูกจับกุมภายใต้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถาการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งคงไว้ใน 23 จังหวัดรวมทั้งกรุงเทพมหานคร และกรุงเทพก็เป็นสถานที่สำคัญที่เคลื่อนไหวทางการเมืองตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา และจนบัดนี้ก็ยังคงเหลือกรุงเทพมหานคร และในอีก 6 จังหวัด ขณะนี้การจับกุมไล่ล่ายังไม่สิ้นสุดลง ยังคงใช้ข้อหามีอาวุธสงคราม มีอาวุธปืน หรือข้อหากีดขวางการจราจร หรือกฎหมายที่หมิ่นต่อความมั่นคงเสมอ โดยที่รัฐบาลยังไม่ได้ประกาศตัวเลขที่แท้จริงเลยเกี่ยวกับผู้ถูกจับทุกคน และการจับกุมยังดำเนินต่อไป
---------ตัวเลขอย่างเป็นทางการของไทยดูจะน้อยกว่าที่คาดไว้ มีการจับกุมอยู่ทั้งสิ้น 241คน จากคำเปิดเผยของนายปณิธาน วัฒนายากร โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจริงๆ นักสิทธิฯ คาดว่าน่าจะมีสัก 372 คนที่ต้องสงสัยอยู่
---------การสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ สรุปได้ว่ามีคดีก่อการร้าย 145 คดี คดีภัยความมั่นคง 21 คดี และสรุปคดีอื่นๆทั่วไปเช่นบาดเจ็บ เสียหายประมาณ 80 คดี
---------ขณะที่นายกฯรัฐมนตรี ได้อนุญาตให้ผู้แทนองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ส่งตัวแทนมาเยี่ยมนักโทษที่เรือนจำทั้งที่กรุงเทพ และที่ในต่างจังหวัด
---------คนที่โดนจับในต่างจังหวัดหลายคน เป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์หลังจากศาลากลางถูกเผาไปแล้ว เปิดเผยจาก พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ เจ้าหน้าที่ขององค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติ และบางคนก็โดนไล่ล่าตามจับในอีกหลายวันต่อมา
-------การปะทะกันในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 91 คนและบาดเจ็บอีก 1800 โดยถูกอาวุธปืนจากกองทัพทหารและกลุ่มเสื้อดำที่ยิงเข้าไปยังกลุ่มทหาร
--------ถนนของกรุงเทพได้กลับสู่ความสงบอีกครั้ง ดูเหมือนเป็นชัยชนะทางการเมืองของรัฐบาลที่คืนความสงบแก่กรุงเทพ และได้ริเริ่มการประนีประนอม ปรองดองและคุ้มครองโดย พรก.ฉุกเฉิน
--------มูลนิธิกระจกเงา เป็นอีกหน่วยกิจกรรมทางการเมือง ได้รายงานว่ามีผู้ชุมนุมเสื้อแดงหายไปประมาณ 88 คน ในสัปดาห์แรกของการชุมนุม แล้วค่อยๆ ปรับลดตัวเลขลงจนเหลือ 27 คน โดยใน 88 คนนั้น ได้พบว่าโดนจับกุมไปโดยที่ไม่มีการรายงานให้ครอบครัวของผู้ถูกจับกุมทราบแต่อย่างใด ไม่มีเอกสารใดๆเป็นเรื่องราวยืนยันได้ว่าใครโดนจับกุมด้วยข้อหาอะไร ตำรวจบอกให้พวกเขาสารภาพเสียจะได้ไม่ต้องรับโทษที่รุนแรง แต่หากไม่รับสารภาพจะโดนโทษหนักขึ้น บางคนถูกทรมานเพื่อให้สารภาพยอมรับข้อกล่าวหาอาชญากรรมนี้
---------เราโดนจับขังไว้ในคุกนี้ เราเครียดมาก ชายเสื้อแดงวัย 40 ปีเศษเล่าให้นักสิทธิฯ ในคุกต่างจังหวัด เราโดนจับขังรวม และใช้ชีวิตอยู่ในคุกกับนักโทษฆ่าคนตาย นักโทษค้ายาเสพติด เขาเล่า
----------นี่คือสิ่งที่ขัดกับหลักกฎหมายสากล และหลักกฎหมายของการควบคุมตัวในคดีทั่วไป นายดนัย ผาสุก นักวิจัยสิทธิมนุษยชนไทย ซึ่งทำงานอยู่ในสำนักงานใหญ่กรุงนิวยอร์คกล่าว รัฐบาลไม่ได้บอกว่ากฎหมาย พรก.ฉุกเฉินนี้ มีระดับความรุนแรงในการใช้งานอย่างไร เท่าไร และทำอย่างไรไม่ให้มันขัดกับหลักสิทธิขั้นพื้นฐาน
โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม: เมื่ออำนาจรัฐ ถูกปล้น
//www.go6tv.com, กรุงเทพ. โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ได้ออกบทความใหม่หัวข้อ การ เมื่ออำนาจรัฐถูกปล้น เมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา มีใจความส่วนหนึ่งว่า..... " ในประเทศไทยมีลักษณะเฉพาะ ในยุค 50 สิ่งสำคัญแรกสุดในมุมมองของประชาคมโลกต่อการแก้ปัญหาความไม่มั่นคงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือการใช้วิธีการทางการเมืองที่ไม่ได้คำนึงถึงจริยธรรม อย่างแรกคือการต่อสู้กับกลุ่มคอมมิวนิสต์ และเมื่อไม่นานมานี้คือลดอิทธิพลของสาธารณรับประชาชนจีน โดยสหรัฐได้สนับสนุนและให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินอย่างมากต่อกลุ่มอำมาตย์ในประเทศไทย แม้ว่าในเวลานั้นรับบาลไทยจะใช้ระบบที่กดขี่ประชาชนแค่ไหนก็ตาม ผลก็คือประเทศเดียวที่สามารถกดดันและผลักดันให้ประเทศไทยไปสู่แนวทางประชาธิปไตยได้นั้น ไม่ได้มีความสนใจที่จะทำเช่นนั้น และในประเทศไทยนั้น พื้นฐานของ การปล้นอำนาจรัฐมีเล่ห์อุบายที่ซับซ้อนกว่าประเทศรัสเซียหรือกัวเตมาลา ประเทศเหล่านี้ การปล้นอำนาจรัฐตั้งอยู่บนพื้นฐานของเงินและกองทัพอย่างชัดเจน แต่การปล้นอำนาจรัฐในประเทศไทยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเชื่อในสิ่งที่เหนือธรรมชาติและกระบวนการล้างสมอง กว่าร้อยปีที่ผ่านมา หน้าที่หลักของระบบการศึกษาไทยและสถาบันทางศาสนาคือการหลอกลวงประชาชนให้เชื่อว่าความเหลื่อมล้ำทางอำนาจและรายได้นั้นคือสิ่งที่ เป็นธรรมชาติ และคำกล่าวนั้น ทำให้เชื่อว่ากลุ่มอำมาตย์เหล่านั้นมีสิทธิตามธรรมชาติที่จะทำอะไรก็ได้เพราะได้ทำกรรมที่ดีกว่าและกระทำคุณงามความดีที่มากกว่าคนทั่วไป
โศกนาถกรรมที่เกิดขึ้นใน 4ปีที่ผ่านมา อาจจะเผยให้เห็นว่ากลุ่มอำมาตย์ในประเทศไทยสามารถรักษาอำนาจของกลุ่มตนโดยการใช้วิธีการสุดขั้วและจนตรอกอย่างการทำรัฐประหาร ยึดสนามบิน ปิดกั้นข่าวสารอย่างรุนแรง คุมขังนักโทษทางการเมืองหลายร้อยคน ใช้อำนาจฉุกเฉิน สังหารหมู่ประชาชนเท่านั้น และยังมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการโฆษณาชวนเชื่อว่าจะมีการก่อการร้ายอย่างต่อเนื่อง เหตุผลที่วิธีการเหล่านี้มีความจำเป็นเพราะกระบวนการล้างสมองประชาชนได้ล้มเหลว ประชาชนไม่เชื่อในคำโฆษณาชวนเชื่ออีกต่อไป และหลายคนต้องการที่จะทวงประเทศของพวกเขาคืน
กว่าสองทศวรรษผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยใช้ได้ผลกับประเทศกำลังพัฒนาไม่เป็นไปอย่างที่ชาวตะวันตกกลัว แต่ข้อเท็จจริงคือจุดสูงสุดของคลื่นประชาธิปไตยในต้นยุค 90 ได้ถอยหลังลงคลองแสดงให้เห็นว่าความเชื่อในเรื่อง จุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์ ไม่เป็นความจริง ความเสื่อมของระบอบประชาธิปไตยที่ประชาคมโลกได้เห็นในสองศตวรรษที่ผ่านมา ย้ำให้เห็นเราต้องระมัดระวังอย่างจริงจังว่าไม่มีชัยชนะใดที่ถาวร และเมื่อเราได้ความเป็นประชาธิปไตยมา เราจะต้องปกป้องเสรีภาพนั้นอย่างจริงจัง ประชาชนไทยกำลังจารึกประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตยอันยาวนานหน้าใหม่ โดยทวงคืนอำนาจรัฐจากกลุ่มอำมาตย์เผด็จการที่ไร้ยางอาย และนี่จะเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนให้ประชาคมโลกเห็นว่ากระบวนการการทวงคืนและเรียกร้องสิ่งเหล่านั้นทำกันอย่างไร..."
อ่านบทความเต็มเพิ่มเติมได้จาก //robertamsterdam.com/thai/?cat=7 เขียนโดย JJ_Sathon ที่ 23:31 ---------------------------------------------- -----โถ..พี่ เค้าปล่อยมาตั้ง 2 คน อันอิสระซูจีเ เป็นพราะแก้เขิน กรณีโลกทั้งโลกเค้าอดเปรียบเทียบรัฐบาลเรากับรัฐบาลเมียนม่าร์ ซึ่งไม่ได้แตกต่างกันในความโหดเหี้ยม ---ตก มอ ม้า
Create Date : 19 พฤศจิกายน 2553 |
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2553 3:25:07 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1255 Pageviews. |
|
|
|
|
|