หมอมุก(ภาคต่อ)--ชีวิตลูกผู้ชาย --และข่าวจิปาถะ
---แม่หมอมุกจะไม่ยอมความ แม้แม่ พท.ศักดิ์สิทธิ์นำพระมาเยี่ยม แต่ตัวเขาคนนั้นไม่ขึ้นมา กลัวเป็นข่าว ---อาการหมอมุกเริ่มเดินได้ และกำลังจะหัดพูด เป็นเพราะผลบุญของหมอที่ทำแต่ความดี และมีพลังใจ พลังจตของชาวไทยเกือบทั้งประเทศคอยช่วยอยู่--พนักงานสอบสวนยังไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนขับ--ยังไม่แจ้งข้อหา ---แม่หมอมุกที่เคยเป็นอาจารย์แพทย์กล่าวว่า ผู้ขับพยายามจะเอารถทับหมอมุกอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าเธอจะร้องขอความช่วยเหลืออยู่ร่วมสิบนาที --แต่ติดที่มีชายสามคนยืนขวางรถอยู่(มีทั้งวินมอเตอร์ไซค์และอื่นๆ--(คนมีเกียรติสูง-แต่กลับมีจิตใจต่ำ คนมีเกียรติต่ำ แต่จิตใจสูง)) รถมรณะจึงได้ดับไฟวิ่งหนีไป--โหดเหี้ยม อมหิตมาก ------------------------------------------------------------ ชีวิตลูกผู้ชายที่แท้จริง ผมหมายถึงคุณรักเกียรติ สุทธนะ ซึ่งตอนนี้ท่านบวชเป็นพระอยู่ แต่พยายามจะเตือนสังคมอยูตลอกเวลา...มีต่ออีกเยอะครับ
---คุณ บรูซ แกสตัน ผู้ก่อตั้งวงฟองน้ำ และรักเมืองไทย-รักคนไทยมากที่สุด จนตนเองก็รู้สึกว่า เป็นคนไทยไปแล้ว ถูกทำร้ายอาการสาหัสไม่น้อย เย็บ 30กว่าเข็ม โดยวัยรุ่น 6 คน เพื่องชิงโทรศัพท์ไอโฟน และกระเป๋า ซึ่งมีงาน มีโน้ตดนตรี--เป็นเหคุร้ายที่สุดในชีวิต--และคงจะได้มุมมองใหม่ๆ ของคนไทย ที่ถูกทำลายด้วยอำนาจ วัตถุนิยม --ทุนนิยม
--"สงครามในปัจจุบัน ไม่ต้องเอาปืนใหญ่มายิงกันตูมๆ แต่มันมาในรูปของ แฟชั่น กระเป๋า เสื้อผ้า และอื่นๆ โดยเราไม่รู้ตัว--เราผลิตน้ำองุ่นลิตรไม่กี่บาท แต่เขาทำเป็นเหล้าองุ่นมาขายเราขวดละกี่หมื่นกี่แสนเราก็ซื้อ"----คำพูดของผู้อนุรักษ์ป้อมพระจุล
---ประเทศด้อยพัฒนาอย่างชิลี วิจัยแม้กระทั่งรังสีจากอวกาศ-- ประเทศบราซิลวิจัยเส้นใยนาโนจากพืชและผลไม้ เช่นสับปะรด และอื่นๆ ทำให้ได้พลาสติกเสริมแรงที่เบาว่าเดิม 3-4 เท่า ความแข็งแรงมากกว่า 3 เท่า จะนำไปใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์แล้ว --ในขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์ในอเมริกานิยมใช้ใยมะพร้าวมาเป็นวัสดุที่ใช้ตกแต่งภายในรถยนต์ เพื่อสิ่งแวดล้อม ------------------------------------------------------------------ --เนื้อหมู--เนื้อสัตว์ในเอเชีย และทั่วโลกมีราคาแพงขึ้น เนื่องจากดินฟ้าอากาศวิปริต ทำให้หมูโตช้า--บาง จว. หรือบางประเทศนิยมกินเนื้อสุนัข จว.เชียงรายก็มีบางหมู่บ้าน ---เคยเจออยู่ครับ
----------------------------------------------------------------- โรงแรมและรีสอร์ตระดับไฮเอนด์ในแหล่งท่องเที่ยว ทั้งภูเก็ต หัวหิน และพัทยา ล้วนเป็นทำเลทองที่กลุ่มทุนข้ามชาติต้องการเข้ามาเป็นเจ้าของ จับตาการเคลื่อนทัพของกลุ่มทุนสิงคโปร์ ลุยชอปโรงแรม รีสอร์ตหรูหรา ย่านแหล่งท่องเที่ยว เล็งภูเก็ต หัวหิน พัทยา เหตุลงทุนต่ำ-เสี่ยงน้อย-กำไรงาม เผยดิวซิตี้ ดิเวลลอปเม้นท์ เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ชี้หลังเลือกตั้งจะเห็นอสังหาริมทรัพย์ทุกรูปแบบตกอยู่ในมือต่างชาติมากขึ้น ความเคลื่อนไหวของกลุ่มทุนข้ามชาติ โดยเฉพาะกลุ่มทุนจากแดนลอดช่องที่กรีธาทัพเข้ามาลงทุนในประเทศไทย แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 กลุ่มทุนข้ามชาติ โดยเฉพาะ สิงคโปร์ ฮ่องกง รวมถึงจีน ก็เข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก แต่การเข้ามาในช่วงนี้เป็นประเด็นที่น่าจับตามอง เนื่องจากการเข้ามาครั้งนี้ กลุ่มทุนจากสิงคโปร์ เลือกที่จะลงทุนเฉพาะโครงการในแหล่งท่องเที่ยวซึ่งเป็นที่ต้องการของกลุ่มทุนจากหลายประเทศ ขณะที่ในอดีตจะเลือกเทกโอเวอร์โครงการอาคารสูงในกรุงเทพฯเป็นหลัก กิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นจูรี 21 เรียลตี้ แอฟฟิลิเอทส์ (ประเทศไทย) จำกัดหรือ เซ็นจูรี 21 ไทยแลนด์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กลุ่มทุนจากต่างประเทศหลายรายมีความพร้อมที่จะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น รอเพียงโอกาสที่เหมาะสมก็พร้อมที่จะเข้ามาลงทุนทันที โดยในช่วงที่ผ่านมา มีกลุ่มทุนจากสิงคโปร์ และจีนเข้ามาลงในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพัทยา จ.ชลบุรีแล้ว เป็นโครงการประเภทโรงแรม และคอนโดมิเนียม รวมถึงเข้ามาลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์บริเวณถนนรัชดาภิเษกอีก 2 แห่ง เหตุหลัก ๆ ที่กลุ่มทุนสิงคโปร์เข้ามาลงทุน ส่วนใหญ่เป็นเพราะว่า ใช้เงินลงทุนน้อยมาก หากเทียบกับการลงทุนในประเทศอื่น ไม่ว่าจะเป็น ฮ่องกง หรือสิงคโปร์เอง ส่วนในยุโรปนั้นกลุ่มทุนดังกล่าวไม่ไปลงทุนแน่นอน เพราะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากกว่าหลายสิบเท่า อีกทั้งการลงทุนมีความเสี่ยงน้อยกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน ที่สำคัญราคาอสังหาริมทรัพย์ไทยถูกกว่าฮ่องกง และสิงคโปร์มาก อีกทั้งยังสามารถมีผลตอบแทนได้อย่างงดงามมากถึง 35% ขึ้นไป ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าสนใจไม่น้อย กิติศักดิ์ให้เหตุผล นอกเหนือจากเหตุผลดังกล่าว สถานภาพทางการเมืองที่เริ่มนิ่ง อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ค่าเงินยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนข้ามชาติสนใจเข้ามาลงทุนมากขึ้นเรื่อย ๆ ล่าสุด กลุ่มซิตี้ ดิเวลลอปเม้นท์ (ซีดีแอล) ผู้ประกอบธุรกิจกองทุนอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่จากประเทศสิงคโปร์เริ่มขยับขยายเข้าฮุบกิจการในไทย โดยในเดือนพฤษภาคมนี้ จะเซ็นสัญญาซื้อ ลากูน่า บีช รีสอร์ท ภูเก็ตซึ่งเป็นโรงแรม ขนาด 254 ห้อง ด้วยเม็ดเงินมูลค่า 1,400-1,500 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูลว่าหลังจากเซ็นสัญญาซื้อขายแล้ว จะดำเนินการอย่างไรต่อไป นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างศึกษาลู่ทางลงทุนในเมืองท่องเที่ยวอีกด้วย การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทยแม้จะมีทิศทางการลงทุนที่ดีแต่ยังมีปัญหาสำคัญคือ ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะที่ราคาขายไม่สามารถปรับขึ้นได้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในแถบภูมิภาคเดียวกันแล้วอสังหาริมทรัพย์ของไทยยังถือว่าถูกกว่าประเทศอื่นมาก อาทิ ราคาคอนโดมิเนียมย่านชานเมืองของไทยราคาตารางเมตร ละ 40,000-50,000 บาท ส่วนย่านกลางเมืองราคาสูงถึงตารางเมตรละ 200,000บาท ขณะที่เขตเมืองเล็กๆของจีนตารางเมตรละกว่า 400,000บาทขึ้นไป ในสิงคโปร์ราคาตารางเมตรละกว่า 1 ล้านบาท ขึ้นไป จึงถือว่าราคาอสังหาฯของไทยยังถูกกว่าประเทศอื่นมาก และน่าจะมีภาวะการซื้อ-ขายที่ดีกว่าในปัจจุบัน โดยผลตอบแทนจากการลงทุนในไทยยังอยูในเกณฑ์ที่ดีคือประมาณ 15-25% ต่อปีสุชาติ เจียรานุสสติ กรรมการ บริษัท เอ็ม เรสซิเดนซ์ จำกัด ในเครือซิตี้ ดิเวลลอปเม้นท์ (ซีดีแอล) กล่าว สุชาติ กล่าวว่า นโยบายการลงทุนในไทยนั้น บริษัทไม่ได้จำกัดเฉพาะในภูเก็ตเท่านั้น แต่ยังอยู่ระหว่างศึกษาสินทรัพย์ที่ดี มีคุณภาพศักยภาพเพื่อลงทุนในกรุงเทพฯและจังหวัดอื่นๆอีกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรูปแบบการลงทุนจะไม่มีการจำกัดรูปแบบในการพัฒนา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับราคาสินทรัพย์ที่ซื้อมาแล้วให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดและคุ้มค่ากับการลงทุน ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนจะมาทั้งร่วมทุนกับคนไทย เพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่ และผ่านกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในอดีตนักลงทุนก็ใช้การลงทุนใน 2 ช่องทางนี้เช่นเดียวกัน ส่วนอสังหาริมทรัพย์ที่นักลงทุนสนใจ ส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรม รีสอร์ต และวิลล่า หรูหรา เพราะสามารถสร้างราคาค่าเช่าได้ในราคาแพง อีกทั้งนักลงทุนเหล่านี้จะมีเครือข่ายที่จะส่งนักท่องเที่ยวเข้ามาพักได้ด้วย ซึ่งลดความเสี่ยงจากการลงทุน เพราะมีฐานลูกค้าแน่นอนแล้ว นอกจากนี้ นักลงทุนยังมั่นใจว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์ในไทยมีราคาต่ำ มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับขึ้นอีกมาก ซึ่งใช้เวลาไม่นาน บางทำเล บางแปลง สามารถขึ้นกว่าเท่าตัวก็มี ซึ่งจุดนี้ทำให้นักลงทุนสนใจที่จะเข้ามาลงทุนอีกมาก สุชาติ กล่าวอีกว่า ทางกลุ่มยังมีนโยบายขยายการลงทุนไปยังประเทศญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลี จีน และมาเก๊า เป็นต้น โดยเฉพาะญี่ปุ่นนั้น หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิ อาคารที่ประสบปัญหาแผ่นดินไหวก็อาจจะขายไม่ได้ แต่อาคารที่ไม่ได้รับผลกระทบก็จะมีการต่อรองราคากันมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ทางกลุ่มซีดีแอล ก็อยู่ในระหว่างการเจรจาซื้อโรงแรมและคอนโดมิเนียม คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะสรุปผลได้เร็วๆนี้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาทางกลุ่มซีดีแอลได้ลงทุนพัฒนาโครงการทั้งในและต่างประเทศไปแล้วรวมประมาณ 13,000-14,000 ล้านบาท รวมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 30,000-40,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าไปซื้อสินทรัพย์รอการขาย(เอ็นพีเอ) จากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย(บสท.) เป็นอาคารสร้างค้างบนถนนบอนด์สตรีท ในโครงการเมืองทองธานี ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด(มหาชน)และได้ประสบปัญหาในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ส่งผลให้มีอาคารร้างเกิดขึ้นในโครงการดังกล่าวเป็นจำนวนมาก โดยทางกลุ่มฯได้ซื้อมาจำนวน 3 อาคาร จากทั้งหมด 22 อาคาร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 238 ล้านบาท อาคารดังกล่าวก่อสร้างมานานแล้ว 16 ปี แต่ภายหลังจากที่เซ็นสัญญาซื้อขาย ก็ได้ให้วิศวกรที่มีใบประกาศวิชาชีพเข้าไปตรวจสอบโครงสร้างอาคาร ปรากฎว่ายังแข็งแรงและไม่มีปัญหาแต่อย่างใด จึงได้ดำเนินการก่อสร้างและปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ พร้อมพัฒนาภายใต้แบรนด์ เอ็ม โซไซตี้ คอนโดมิเนียม โดยใส่เม็ดลงลงทุนไปไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาท โครงการดังกล่าว ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 4 ไร่เศษ เป็นอาคารสูง 30 ชั้น จำนวน 2 อาคารและสูง 32 ชั้น จำนวน 1 อาคาร ขนาดตั้งแต่ 28.63-59.34 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 9.9 แสนบาท-2.9 ล้านบาท รวมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายระดับบี-บีบวกโดยมอบหมายให้บริษัท เน็กซัส พร็อพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เป็นผู้บริหารงานขาย ซึ่งได้เปิดพรีเซลเมื่อวันที่ 30 เมษายน2554 ที่ผ่านมา โดยตั้งเป้ายอดขาย 6 เดือนแรกไว้ที่ประมาณ 55% ด้านการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปี 2555 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ย่านแจ้งวัฒนะมีชุมชนน้อยมาก แต่ปัจจุบันหน่วยงานราชการได้ย้ายสำนักงานมาที่นี่มากขึ้น รวมทั้งมีธุรกิจต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ส่งผลให้จำนวนประชากรในย่านดังกล่าวหนาแน่นมากขึ้น เราจึงตัดสินใจเข้าไปซื้อโครงการเก่ามาพัฒนาใหม่ กิติศักดิ์ กล่าวว่า เนื่องจากมีแนวโน้มว่า กลุ่มทุนจากสิงคโปร์จะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น ในราวไตรมาส 3 หรือไตรมาส 4 ปีนี้ บริษัทจะนำโครงการอสังหาริมทรัพย์หรูหราราคาแพงไปจัดโรดโชว์ถึงประเทศสิงคโปร์ โดยเน้นกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศ สำนักลงทุนรายย่อยนั้น ในช่วงนี้ เริ่มกลับมาลงทุนในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมเก็บไว้ปล่อยเช่า เพราะสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงมาก ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง35% ภายในเวลาเพียง 1ปีครึ่งเท่านั้น ขณะแหล่งข่าวในวงการอสังหาริมทรัพย์ บอกว่า นักลงทุนจำนวนมากที่สนใจเข้ามาเก็งกำไรในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะในช่วงที่ผ่านมา สามารถได้กำไรเพิ่มขึ้นถึง 100% จากราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น จากผลตอบแทนจากการลงทุนที่งดงามมากถึง 35 % และหากเป็นนักเก็งกำไรจากการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สามารถได้กำไรมากถึง 100% ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี ประเทศไทยจึงเป็นเป้าหมายที่นักลงทุนจากหลายประเทศ ไม่เฉพาะสิงคโปร์สนใจเข้ามากว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์ทั้งนั้น
Create Date : 30 มิถุนายน 2554 |
Last Update : 30 มิถุนายน 2554 14:03:52 น. |
|
3 comments
|
Counter : 2022 Pageviews. |
|
|
|
อ่านแล้วเจ็บไปถึงหัวใจเลยค่ะ ทำไมคนไทย(บางคน) ถึงได้ใจร้ายกับเพื่อนร่วมโลกได้ขนาดนี้...
ทั้งคุณหมอมุกและคุณบรูซ แกสตัน ถือได้ว่าเป็นคนดีคนหนึ่งในเมืองไทย....แต่กลับถูกคนที่มีโลภะ โมหะเป็นตัวนำชีวิตทำร้ายได้...
ขอให้ทั้งสองท่านอาการหายดีในเร็ววัน...