หลุดพ้นแบบฉับพลัน ภาค4 --นักเดินทาง

ตอนที่ ๘ โยคะสมาธิ

----- สิ่งหนึ่งที่ผู้ใหม่จะงงมากเมื่อฟังธรรมะจากท่านอาจารย์กตธุโรคือ การทำความเข้าใจว่าเราไม่มี ร่างกายนี้เป็นเพียงก้อนธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มาประชุมกันเข้า ไม่ใช่ตัวเรา เป็นของธรรมชาติ ไม่ใช่ของเรา มองดูตัวเองทีไรก็เจอแต่เราทุกครั้งไป ผู้เขียนจึงมีแนวคิดนำเอาวิชาโยคะ มาผสมผสานเข้ากับการดูก้อนธาตุของหลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่ และการขับเคลื่อนรูปนามขันธ์ห้าด้วยทุกข์ของอาจารย์แนบ มหานีรานนท์ เมื่อนำมาใช้แล้วพบว่า สามารถทำให้ผู้ใหม่เข้าใจถึงสภาวะ “มันเป็นมัน” ได้ดีขึ้นมากโดยใช้เวลาไม่กี่นาที

------ วิธีการดูความเป็นก้อนธาตุของหลวงพ่อจำเนียร ท่านจะให้ยืนสบายๆ เท้าชิดกัน แล้วหลับตาลง บอกตัวเองให้ยืนนิ่งๆ แล้วระลึกรู้อยู่ภายใน เวลาผ่านไปไม่ถึงนาที ผู้ฝึกจะรู้สึกตัวโอนเอนไปมา ไม่สามารถบังคับให้อยู่นิ่งได้ ท่านบอกว่า การที่ตัวโอนเอนนั้น เป็นผลจากการเคลื่อนของธาตุลม จากนั้นท่านให้นำความรู้สึกตัวไปที่เท้าทั้งสองข้าง จะสังเกตได้ถึงอาการตึงๆ แน่นๆ นั่นคืออาการของธาตุดิน เมื่อสังเกตดูทั่วทั้งตัว จะบว่าบางส่วนอุ่นๆ ร้อนๆ บางส่วนเย็นๆ นั่นเป็นอาการของธาตุไฟ ส่วนธาตุน้ำ จะทำหน้าที่ประสานยึดธาตุต่างๆ เข้าด้วยกัน ไม่มีอาการให้สังเกตรู้ได้ แต่เราก็รู้ว่าก้อนธาตุนี้มีน้ำเป็นองค์ประกอบ เพราะเราต้องกินน้ำทุกวัน หลวงพ่อจำเนียรบอกว่าให้ดูสภาวะนี้เนืองๆ จนจิตเกิดการคลายความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าขึ้นมาเอง
----------- ในช่วงอาสนะยืนขณะฝึกโยคะ ผู้เขียนให้ผู้ฝึกหลับตา ทำความคุ้นเคยกับสภาวะก้อนธาตุสักครู่หนึ่ง โดยให้เห็นว่ามันเป็นเพียงก้อนธาตุที่มาชุมนุมกันชั่วคราว ก่อนพ่อแม่มาพบกัน ก้อนธาตุนี้ไม่มีอยู่บนโลก เมื่อก่อตัวขึ้นมาแล้ว มันก็เติบโตเปลี่ยนแปลงไปด้วยตัวของมันเอง แก่เอง ตายเองในที่สุด แล้วก็สลายกลับคืนสู่ธรรมชาติตามเดิม จะบังคับบัญชาอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ความคิดที่ว่ามันเป็นเรานั้น เป็นความเข้าใจผิด นี้เป็นการพิจารณาฝ่ายรูปว่าเป็นเพียงธาตุสี่ที่มาชุมนุมกัน เป็นสิ่งไม่มีอยู่จริงที่ตกอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

------------ จากนั้นให้พิจารณาฝ่ายนามบ้าง ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเวทนาความไม่สบายกายไม่สบายใจ สัญญาความจำได้หมายรู้ สังขารการปรุงแต่ง วิญญาณการรับรู้ ล้วนเป็นสิ่งที่มีสภาพเป็นความว่าง เมื่อมองเข้าไปภายในก้อนธาตุที่ไหลเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ ไม่สามารถบ่งบอกได้เลยว่าตรงนี้เป็นเวทนา ตรงนี้เป็นสัญญา ตรงนี้เป็นสังขาร ตรงนี้เป็นวิญญาณ ขันธ์ทั้งสี่นี้จึงเป็นสิ่งที่ก่อตัวขึ้นภายในความว่าง แสดงให้รู้เป็นอาการ แต่ไม่มีตัวตนใดๆ แล้วก็ดับลงในความว่าง เพราะภายในความว่างไม่มีอะไรให้เกาะเกี่ยวคงสภาพอยู่ได้ มันจึงเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริงที่ตกอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นเดียวกับฝ่ายรูป

---------------การยืนหลับตาพิจารณาขันธ์ห้านี้ทำโดยใช้เวลาสั้นๆ เพราะถ้าหลับตายืนนานๆ จะเกิดอาการวิงเวียนหรือล้มได้ จากนั้นผู้เขียนจะนำเข้าสู่ท่าอาสนะของโยคะโดยบอกว่า “เมื่อก้อนธาตุนี้ก่อตัวขึ้นมาแล้ว เรามาดูกันว่าอะไรเป็นสิ่งขับเคลื่อนก้อนธาตุนี้ในขณะที่มันดำรงอยู่บนโลก” ตรงนี้จะเป็นการประยุกต์ใช้แนวทางการทำความเข้าใจว่าสิ่งขับเคลื่อนรูปนามขันธ์ห้าให้ดำเนินไปได้บนโลกคือ “ทุกข์” ของอาจารย์แนบ มหานีรานนท์
ผู้เขียนให้ผู้ฝึกอยู่ในท่ายืน ยกแขนซ้ายขึ้นเหนือศีรษะช้าๆ แล้วเอียงตัวลงทางขวาให้พอสบายๆ แล้วนิ่งอยู่ประมาณสองลมหายใจ รู้และสังเกตว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายใน ผู้ฝึกจะสังเกตได้ถึงการค่อยๆ ก่อตัวของสภาวะความไม่สบายกาย ที่เราเรียกกันว่า “ทุกข์” ความไม่สบายกายนี้เพิ่มมากขึ้นๆ จนร่างกายไม่สามารถทรงอยู่ในสภาพเดิมได้ ก็ให้ผู้ฝึกกำหนดรู้ในใจว่า “ทุกข์เกิดขึ้นกับรูปยืน ต้องเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อคลายทุกข์” จากนั้นจึงคลายออกจากท่า ลดมือลง กลับมาสู่ท่ายืนตามปกติ ทุกข์ก็ดับลงด้วยตัวของมันเอง ในขณะที่ทุกข์ก่อตัวขึ้นนั้น ไม่สามารถบังคับให้มันหายไปได้ แสดงว่ามันไม่ได้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเรา กายนี้จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
ทำเช่นเดียวกันกับท่าอื่นๆ เคลื่อนไหวช้าๆ คงอยู่กับอาสนะแต่ละท่าประมาณสองลมหายใจ สังเกตการก่อตัวขึ้นและดับไปของทุกข์เนืองๆ จนเกิดความเข้าใจว่า “ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป” “ทุกข์คือสิ่งขับเคลื่อนขันธ์ห้า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขันธ์ห้ากระทำล้วนเป็นไปเพื่อคลายทุกข์” การเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นสิ่งที่เรามักกระทำโดยไม่รู้ตัว ทำให้ไม่ได้สังเกตว่าทำไมเราจึงต้องเปลี่ยนอิริยาบถ นอกจากนั้น การหายใจเข้า-ออก การกระพริบตา การกิน การดื่ม การนอน การชำระล้างร่างกาย ล้วนเป็นไปเพื่อคลายทุกข์ที่เกิดขึ้นกับขันธ์ห้าทั้งสิ้น ความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ จะนำไปสู่การเกิดความเบื่อหน่ายคลายจางในขันธ์ห้า ทำให้จิตค้นหาวิธีการที่จะไม่ต้องมาตายเกิดด้วยตัวของมันเอง

---------------------จากประสบการณ์การฝึกโยคะสมาธิ ผู้ฝึกจะมีความเข้าใจได้มากขึ้นในเรื่องของความไม่มีและความว่างตามที่ท่านอาจารย์กตธุโรสอน สามารถเปิดธรรมได้ในเวลาอันสั้น สำหรับผู้เขียน มีความเข้าใจมากขึ้นว่า รูปนามขันธ์ห้านี้เปรียบเสมือนเหรียญที่มีสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นด้านที่เห็นด้วยตาเนื้อ เต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นสมมติสัจจะ (เป็นจริงตามสมมติ) ที่เราคุ้นเคยว่ามันมีอยู่จริง จนยากต่อการที่จะยอมรับว่ามันเป็นสิ่งไม่มี อีกด้านหนึ่งเป็นด้านที่เห็นด้วยตาใจ (เมื่อปิดตาเนื้อลง) หรือเห็นด้วยความรู้สึกทางใจ จะพบสภาวะที่เป็นปรมัตถ์สัจจะ (เป็นจริงตามปรมัตถ์) เป็นความไม่มีและความว่าง
-----------------------ในการปฏิบัติเพื่อถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นในรูปนามขันธ์ห้า ทำได้มากมายหลายวิธี ขึ้นอยู่กับจริตของผู้ปฏิบัติ บางท่านทำความเข้าใจละเอียดลงไปว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสมมติ ไม่มีอยู่จริง (พิจารณาด้านที่เป็นสมมติสัจจะ) สำหรับผู้เขียนจะมีความถนัดในการพิจารณาถึงความไม่มีของรูปนามขันธ์ห้า (พิจารณาด้านที่เป็นปรมัตถ์สัจจะ) ท่านผู้อ่านควรต้องพิจารณาตัวเอง ว่าถนัดแบบไหน

ตอนที่ ๙ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติ


----------------เมื่อได้ไปพบท่านอาจารย์กตธุโรบ่อยครั้งขึ้น เวลาสนทนากับท่าน ผู้เขียนจะยิ้ม หายใจสบายๆ นับอยู่กับฐานใจจนเกิดความตั้งมั่น แล้วหยุดนับ เปิดใจว่างๆ รับกระแสจากจิตของท่าน เพราะท่านบอกว่าการถ่ายทอดธรรมแนวเซ็นนั้นเป็นการถ่ายทอดจากจิตสู่จิต สภาวะของใจก็ก้าวหน้าขึ้น สัมผัสได้กับอาการของความว่างไปเป็นลำดับ แต่มันก็ยังเป็นสภาวะว่างที่ใจมันสร้างขึ้นมาให้ดู เป็นว่างที่คู่กับไม่ว่าง ได้เรียนรู้และเข้าใจมากขึ้นถึงความเป็นมายาของใจ มันรู้ว่าเราอยากเห็นอะไร มันก็ทำขึ้นมาให้ดู บางครั้งมันว่างเบาจนรู้สึกเหมือนกับตัวตนมันหายไป เวลานั่งสมาธิจะรู้สึกสบายมาก ว่างเหมือนกับไม่มีกายนั่งอยู่ เป็นอยู่หลายวัน ทีแรกก็คิดว่าคงเป็นอันนี้แหละ ที่อาจารย์บอกว่าเป็นความไม่มี แต่โชคดีที่ภายในของผู้เขียนมันเตือนว่า “นี่ยังไม่ใช่ ให้ออกมาเสีย” ผู้เขียนจึงใช้การเดินปราณช่วยชีวิต ซึ่งเป็นเทคนิคที่นาวาเอกกฤษณ์สอนให้ใช้ในการดูแลสุขภาพ แต่ผลพลอยได้ของมันคือมันสามารถทำให้ใจมีความตั้งมั่นได้แข็งแรงกว่าการนับ แม้จะทำได้ค่อนข้างลำบากเพราะร่างกายมันว่างจนหาฐานปราณไม่เจอ แต่ก็ฝืนทำจนกระทั่งอาการของความตั้งมั่นก่อตัวขึ้นเป็นหลักให้นำสติการระลึกรู้ไปไว้ตรงนั้น และถอยใจออกมาจากสภาวะว่างได้ ทำให้เข้าใจว่า การที่ผู้ปฏิบัติติดหลงอยู่กับสภาวะจนเกิดเป็น วิปัสนูปกิเลส คงเป็นอย่างนี้นี่เอง
สำหรับเทคนิคการเดินปราณช่วยชีวิตนั้น ทำได้ไม่ยาก เพียงเมื่อหายใจเข้า ให้ทำความรู้สึกว่ามีกระแสของปราณที่เกาะอยู่กับลมหายใจเคลื่อนผ่านหน้าผาก กระหม่อม ต้นคอ กลางหลัง ก้นกบ ท้องน้อย ใจ ขึ้นมาที่หน้าผากแล้วหายใจออก ทำเช่นนี้ซ้ำๆๆๆ ไปเรื่อยๆ จนสังเกตได้ถึงความตั้งมั่นของตบะที่ก่อตัวขึ้นที่ฐานใจ

---------สิ่งหนึ่งที่ผู้ฝึกใหม่ต้องระวังเมื่อพิจารณาสภาวะธรรมด้วยดาบอนัตตา คือการเหวี่ยงตัวกลับของใจ จากสภาวะที่เห็นว่า “อะไรๆ ก็มีอยู่จริง” (สัสสตทิฏฐิ) ไปสู่ขีดสุดโต่งของสภาวะที่เห็นว่า “อะไรๆ ก็ไม่มีอยู่จริง” (อุจเฉททิฏฐิ) แม้บุญ-บาป ก็ไม่มี คิดว่าตัวเองหมดความอยากโดยสิ้นเชิงแล้ว อะไรๆ ก็ไม่ต้องการ ท่านอาจารย์บอกว่าเป็นสภาวะที่มีตัวกูยึดติดอยู่กับความไม่มี ตรงนี้ผู้ฝึกต้องสังเกตตัวเองให้ดี การนับอยู่กับฐานใจจะช่วยได้มาก เพราะเป็นการรักษาใจให้อยู่กับความเป็นกลาง ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง วั

--------------นหนึ่ง ประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้เขียนนั่งสนทนากับท่านอาจารย์กตธุโร ท่านเรียกชื่อของผู้เขียน ใจมันเกิดความสลดขึ้นมาอย่างรุนแรงจนร้องไห้ออกมา เพราะมันยอมรับแล้วว่าชื่อที่ท่านเรียกนั้นไม่มีอยู่จริง ในการปฏิบัติ การเข้าถึงธรรมนั้น เพียงแค่ความเข้าใจจากการฟัง หรือการเห็นสภาวะเกิดขึ้นอย่างนั้นอย่างนี้ ยังไม่ใช่การเข้าถึงธรรมที่แท้จริง เพราะยังเป็นเพียงแค่สุตมยปัญญา (ปัญญาจากการได้ยินได้ฟัง) และจินตามยปัญญา (ปัญญาจากการคิดนึก) ต้องมีสภาวะที่โพล่งขึ้นมาจากใจโดยไม่ได้ตั้งตัว หรือเกิดคำว่า “อ๋อ...เป็นอย่างนี้นี่เอง” ขึ้นมาที่ใจ โดยไม่ได้เตรียมทำอะไรเอาไว้ก่อน (ภาวนามยปัญญา – ปัญญาจากการภาวนา) ซึ่งบอกไม่ได้ว่ามันจะต้องใช้เวลานานเท่าใด บางคนติดตามท่านอาจารย์มาเป็นสิบปี ก็ยังไม่สามารถเกิดการเข้าถึงธรรมได้ (ทั้งนี้เพราะเขาไม่เคยรู้เทคนิคการสร้างความตั้งมั่นที่ฐานใจ) แต่สำหรับกลุ่มของพวกเรา ได้พบท่านอาจารย์เพียงไม่กี่ครั้ง สามารถเปิดธรรมได้ตามๆ กันมา จนท่านออกปากชมว่าพวกเรามีการเตรียมตัวกันมาดีมาก ทั้งนี้เพราะพื้นฐานการนับอยู่ที่ฐานใจของนาวาเอกกฤษณ์ ทำให้ใจมีกำลัง สามารถเข้าถึงธรรมได้ตามลำดับ มากน้อยต่างๆ กันไป

------------นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ผู้เขียนก็ยังคงใช้หลักการเดิม คือ นับอยู่ที่ฐานใจ พิจารณาทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาว่ามันทำให้เกิดอาการที่อาจารย์กตธุโรเรียกว่า “ตาม-ต้าน ดูด-ผลัก พอใจ-ไม่พอใจ” ขึ้นมาที่ใจหรือไม่ เมื่อเกิดขึ้นก็พิจารณาลงไปว่า “มันไม่มี มันมีไม่จริง มันไม่ใช่เรา เราไม่มี” เมื่อพิจารณาดังนี้ ความรู้สึกนั้นก็ดับลง (อันที่จริง แม้ไม่ได้พิจารณาอะไร มันก็ดับของมันเองอยู่แล้ว ดังนั้นท่านอาจารย์จึงบอกว่าไม่ต้องทำอะไร แต่สำหรับผู้ฝึกใหม่ การพิจารณาย้ำลงไปจะช่วยได้มาก) เปรียบเสมือนตรงกลางใจนั้นเป็นความว่าง เมื่อกระแสเวทนา อารมณ์ ความคิด ผ่านเข้ามา กระทบกับความว่าง ก็สลายตัวไป เหมือนกับการตบมือข้างเดียว ไม่มีอีกมือหนึ่งตั้งรับ เสียงก็ไม่สามารถก่อตัวขึ้นได้ ใจอยู่กับสภาวะเงียบ นิ่ง สงบได้นานๆ ท่านอาจารย์บอกว่า มันเงียบจี๋หลีเหมือนระฆังที่ยังไม่ได้ตีนั่นเอง

---------------เมื่อทรงความนิ่งสงบอยู่กับฐานใจได้มากขึ้นจนคุ้นเคย วันหนึ่ง น้องบังอร ซึ่งทำหน้าที่ดูแลท่านอาจารย์กตธุโรและช่วยท่านอาจารย์ “จ่ายธรรม” ให้แก่พวกเราทั้งยังเป็นแม่ครัวฝีมือเอก ทำอาหารเลี้ยงพวกเราโดยไม่เหน็ดเหนื่อย ได้บอกพวกเราว่า “ลองคิดหาวิธีมานานแล้วว่าจะช่วยพวกพี่ๆ ที่มารับธรรมะจากอาจารย์ได้อย่างไร ให้เข้าใจมากขึ้น เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน” น้องบังอรหบิบกระป๋องขยะเล็กๆมาวางไว้กลางวง “อย่างนี้เรียกว่า “มี” จากนั้นก็หยิบกระป๋องขยะนั้นออกไปซ่อนไว้ข้างหลัง ชี้ไปที่กลางวงตรงที่เคยมีกระป๋องตั้งอยู่ “อย่างนี้เรียกว่า “ไม่มี” ทำซ้ำๆอยู่หลายหน
---------------ในขณะนั้น ผู้เขียนก็มองและฟังตามไป แต่ความรู้ตัวนั้นอยู่ที่ฐานใจโดยอัตโนมัติ ก็เห็นว่าตรงกลางใจนั้น เดิมนิ่งสงบอยู่ พอคิดว่า “มี” ก็เกิดการก่อตัวขึ้นของอาการ “มี” แล้วก็ดับลงไปเป็นความนิ่งสงบตามเดิม พอคิดว่า “ไม่มี” ก็เกิดการก่อตัวขึ้นของอาการ “ไม่มี” แล้วก็ดับลงไป ณ จุดเดิม เกิดความเข้าใจขึ้นมาฉับพลันถึงกับอุทานออกมาว่า “นี่มันสร้างเอาเองหมดเลยหรือนี่ มันออกมาจากที่เดียวกันนั่นเอง” ใจดั้งเดิมนั้นเป็นสภาวะว่างที่นิ่งสงบเหมือนผืนน้ำ เมื่อมีเหตุปัจจัย ก็ก่อตัวขึ้นมาเป็นอาการต่างๆ แต่เนื่องจากมันว่าง อาการที่ก่อตัวขึ้นนั้นจึงไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ ต้องดับลง

---------------------ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขันธ์ห้านี้รู้เห็น ล้วนก่อตัวขึ้นมาจากสภาวะว่างดั้งเดิมนี้ (นาวาเอกกฤษณ์เรียกว่า “ความไม่มี”)
ไม่ว่าจะเป็นสภาวะธรรมที่วิเศษเลิศหรูอย่างใดก็ตาม ล้วนสร้างขึ้นจากว่าง ล้วนเป็นมายาของใจ เพราะเมื่อก่อตัวขึ้นมา มันก็เป็นเพียงอาการในความว่าง ไม่มีตัวตน หยิบยกออกมาให้ใครดูก็ไม่ได้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดเองด้วยเหตุปัจจัย ดับเองด้วยธรรมชาติของมัน เป็นกลไกธรรมชาติของขันธ์ห้า ไม่มีเราเข้าไปร่วมอยู่ในกลไกเหล่านั้น ความรู้สึกว่า “มันเป็นมัน มันมีไม่จริง เราไม่มี” ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นอีก

-----------------------แม้จะรู้-เห็น-เข้าใจ เช่นนี้แล้ว ก็ยังต้องเพียรต่อไปอีก น้องบังอรบอกว่า ความเข้าใจตรงนี้ก็ยังผลุบๆ โผล่ๆ ตามความเคยชินเดิมๆ ของใจ น้องบังอรใช้คำว่า ยังเป็น “ครึ่งคน ครึ่งพระ” ตราบใดที่ยังมีขันธ์ห้าอยู่และต้องใช้มันอยู่ ก็ยังมีโอกาสที่จะเข้าไปยึดว่ามันเป็นเราได้ จึงต้องมีกำลังสติที่เข้มแข็งว่องไว รู้ทันว่า “ตัวกู” มันโผล่ขึ้นมาตอนไหน ก็ฟาดฟันมันด้วย “ดาบอนัตตา” ท่านอาจารย์บอกว่านี้เป็นเพียงขั้นรู้และเห็น ยังต้องคอยพิจารณาตรวจตราต่อเนื่องไปจนเกิดสภาวะ แจ้ง และสุดท้ายคือการแทงตลอด ซึ่งตรงนี้ บังคับไม่ได้ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม เขาก็เกิดเอง ท่านบอกว่า ให้ผู้เขียน และต้อย (นาวาเอกพิเศษหญิงนวลรักษา โพธิ์ศรี) ซึ่งมีสภาวะใกล้เคียงกัน ช่วยจ่ายธรรมให้คนอื่นๆ ได้แล้ว

-----------------------ผู้เขียนชอบคำว่า “จ่ายธรรม” นี้มาก เพราะโดยตัวเอง ไม่ได้คิดว่าตนเป็นผู้มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงส่งกว่าใคร ไม่มีความสามารถพิเศษเหนือธรรมชาติ ไม่สามารถตั้งตัวเป็นครูบาอาจารย์ “สอนธรรม” ใครได้ แต่การจ่ายธรรม ไม่ใช่การสอนธรรม การจ่ายธรรมนั้นเป็นการนำธรรมะของครูบาอาจารย์มาบอกกล่าวให้แก่ผู้ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ช่วยให้เขาได้เปิดธรรมในขั้นต้น จากนั้นจึงพาไปพบกับท่านอาจารย์อีกทีหนึ่ง ในขณะที่จ่ายธรรมนั้น ผู้เขียนก็ไม่เคยประมาท จะทบทวนตัวเองตลอดเวลาว่ามีความยินดีพอใจ มีตัวกูเกิดขึ้นมาในการทำหน้าที่จ่ายธรรมหรือไม่ ถ้ามีก็จัดการด้วยดาบอนัตตา
การปฏิบัติของผู้เขียนทุกวันนี้คือมีสติรักษาใจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยนับอยู่ที่ฐานใจตลอดเวลา อยู่กับความนิ่งสงบหรือความไม่มีให้มากที่สุด เมื่อมันเกิดการเคลื่อนออกจากความไม่มี ไปเป็นสภาวะพอใจ ไม่พอใจ ก็สามารถจับได้ทัน และจัดการกับมันได้ทัน นาวาเอกกฤษณ์เรียกว่าสภาวะ “มีบนไม่มี”

------------------ผู้เขียนมีความมั่นใจในแนวทางการปฏิบัติ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการสร้างกำลังให้แก่สติที่ทำหน้าที่รักษาใจ โดยนับอยู่ที่ฐานใจตลอดเวลา ตามคำแนะนำของนาวาเอกกฤษณ์ และการฟาดฟัน “ตัวกู” ด้วยดาบอนัตตาของท่านอาจารย์กตธุโร และตั้งใจว่าจะทำเช่นนี้ไปจนลมหายใจสุดท้าย ผู้เขียนไม่เคยอยากรู้ว่าตัวเองบรรลุคุณธรรมขั้นไหน เพราะมันก็เป็นสิ่งไม่มีอยู่นั่นเอง มีชีวิตอยู่ด้วยการ “ไม่ให้ค่ากับสิ่งใดๆ ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับใครๆ” รู้อยู่กับภายใน จัดการกับกิเลสของตัวเองไปตามภูมิจิตภูมิธรรมที่มี เผลอไปบ้างก็แล้วไป เมื่อรู้ตัวก็กลับเข้ามาอยู่กับภายในตามเดิม

----------------- ท่านอาจารย์กตธุโรสอนว่า “ธรรมะนั้นต้องใส่ใจใฝ่รู้ ที่ว่าเข้าใจหรือรู้แล้วนั้นต้องดูบ่อยๆ ถี่ๆ ทุกลมหายใจเข้าออกเลยจึงจะดี จะเห็นแจ้งแทงตลอดได้เร็วขึ้น จนเห็นกายแยกกับใจได้ ก็จะหมดความเป็นคน...
อนุสัยที่มีอยู่เดิมๆ ต้องขาดจากความยึดติดให้ได้ ไม่ต้องทิ้งหรือหนีอะไรไปไหน ถ้าหนีหรือทิ้งแสดงว่ายังติดยังยึดทั้งสองอย่าง ต้องเข้าไปรู้ว่ายึดไม่ได้ เพราะทุกสิ่งมันไม่จริง คือมันไม่อยู่คงที่สักอย่างเดียว มันจึงเป็น อนัตตา เพราะบังคับตัวมันเองไม่ได้ และมันเป็นของของโลกจึงเป็นอนิจจัง ต้องเปลื่ยนไปหมุนไปตามโลก แต่ความไม่รู้ไม่เห็นความจริง จึงไปเอาของของโลกมาสร้างทุกสิ่งจนเต็มโลกไปหมด แล้วก็ยึดว่าเป็นจริง มีจริงๆ เป็นของของเรา ของฉัน ของกู กันหมด...

-----------------เรานำทุกสิ่งมาใช้ได้เมื่อจำเป็น ใช้ไปตามสมมุติโลก โดยไม่ยึดเท่านั้น แล้วมันก็จะพังไปตามเรื่องตามกาลเวลาของมันเอง รู้จักมันและอยู่กับมันเท่านั้นก็พอ แค่ไม่ยึดมันเป็นของเราก็จะไม่หนักใจ ไม่ป็นทุกข์เมื่อมันต้องพังต้องเปลี่ยนแปลงไป....

------------------ผู้ที่เพิ่งเรียน เพิ่งรู้ ยังไม่เห็นความจริงของมันจากใจ ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป กินเหล้าแก้วแรกมันจะติดได้อย่างไร หรือเพาะถั่วงอกวันเดียวมันมันก็ไม่งอกใช่ไหม? ต้องเพียร ต้องมีความเพียรให้มาก ดูกายให้มากๆ แล้วจะทิ้งกาย(ไม่ยึดกาย)ได้ เพราะกายมันเป็นแต่ธาตุทั้งหลายมาประชุมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนพอถึงเวลาก็สลายไปตามเหตูของมัน มันจึงไม่เป็นของใครและบังคับมันไม่ได้...

------------------การเรียนธรรมนี้จะต้องรู้เห็นเป็นขั้นเป็นตอน ต้องดูกาย เห็นกาย และแจ้งในกาย ออกจากกาย (ไม่ยึดเป็นกายเรา) ให้ได้ก่อน แล้วจึงจะมาดูใจ และทิ้งใจ (ออกจากใจ) ทีหลัง จะพิจารณาไปพร้อมๆ กันได้ไม่เป็นไร แต่เวลาแยกเราออก จะออกจากกาย หรือพ้นกายก่อนได้ก่อน...”

---------------เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่ท่านอาจารย์ได้ละสังขาร เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้เขียนและเพื่อนๆ ได้ไปช่วยดูแลท่านอาจารย์ที่โรงพยาบาลสระบุรี แต่เมื่อไปถึงนั้นท่านไม่รู้สึกตัวแล้ว ท่านโคม่าอยู่ ๒-๓ วัน แล้วก็ทิ้งขันธ์ไปอย่างสงบ การละสังขารของท่านอาจารย์ ช่วยให้ผู้เขียนและเพื่อนๆ ได้เห็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความเป็นมันของขันธ์ห้า ผู้เขียนเองไม่มีความโศกเศร้าในใจ เพราะตระหนักรู้ว่าร่างที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้นั้นไม่ใช่ท่านอาจารย์ เมื่อคิดถามในใจว่า “แล้วท่านอาจารย์อยู่ที่ไหน” ก็ได้คำตอบจากภายในว่า “ท่านอาจารย์นั้นอยู่ในทุกสรรพสิ่ง อยู่ในน้ำ อยู่ในท้องฟ้า อยู่ในต้นไม้ อยู่ในภูเขา อยู่รอบตัวเรา และอยู่ในตัวเรา” ตอนที่ท่านอาจารย์ยังอยู่ เมื่อกราบท่าน ท่านมักจะบอกเสมอว่า “ขอให้ไม่มีอาจารย์ในจิต ไม่มีลูกศิษย์ในใจนะ” พวกเราก็ไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นได้ กราบทีไรก็มีท่านอาจารย์ทุกครั้งไป เพิ่งจะเข้าใจตรงนี้ ก็เมื่อท่านละสังขารนี่เอง

ตอนที่ ๑๐ พบทางกลับบ้าน

----------------ประสบการณ์ทางธรรมครั้งหลังสุด เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้เขียนไปปฏิบัติธรรมร่วมกับกลุ่มจุดประกายธรรมที่บ้านคุณหน่อง อ.สัตหีบ นาวาเอกกฤษณ์นำพวกเราเข้าสภาวะเตรียมตัวตาย โดยนอน และน้อมบารมีแห่งพุทธานุภาพเข้ามาเป็นหลักใจ ผู้เขียนนอนฟังบทสวดพุทธคุณไปเรื่อยๆ รู้อยู่กับภายใน เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า “อ้าว! มันไม่มีใครตายนี่นา ไอ้ที่นอนอยู่นี่มันขันธ์ห้าต่างหาก มันก็ตายของมันไป เราไม่ได้ตายด้วยเพราะเราไม่มี ไม่เคยมีเราเกิดขึ้นมาบนโลกนี้”
จากนั้นก็คิดต่อว่า “ถ้ากายมันสลายไป แล้วใจล่ะจะไปที่ไหน” ก็ได้รับคำตอบออกมาจากภายในว่า “มันก็กลับไปที่เดิมก่อนที่มันจะก่อตัวขึ้นมาในวัฎฏสงสารนั่นแหละ” ผู้เขียนจึงน้อมบารมีพุทธานุภาพและครูบาอาจารย์ อธิษฐานจิตว่า ขอได้เปิดสภาวะนั้นให้ได้รู้เห็นด้วยเถิด ก็ได้สัมผัสถึงสภาวะหนึ่ง ซึ่งบรรยายไม่ถูก นอนน้ำตาซึม รู้อยู่กับความสงบเย็นของสภาวะนั้น น้อมเข้ามาที่ใจ บอกลงไปว่า ให้จดจำไว้นะ นี่คือที่ที่เจ้าจะเดินทางไปเมื่อถึงเวลา
จากนั้นเกิดความเข้าใจต่อไปอีกว่า จะด้วยเหตุปัจจัยใดๆ ก็ตาม มีสิ่งหนึ่งได้ก่อตัวขึ้นจากความไม่เกิดไม่ดับ เป็นสิ่งที่มีสภาวะเกิด-ดับเป็นธรรมชาติ แล้วมันก็ท่องเที่ยวไปในวัฎฏสงสาร เพราะเมื่อก่อตัวขึ้นมาแล้ว มันลืมสภาวะเดิมแท้ของมัน มันรู้แต่ความเกิด-ดับ เมื่อดับจากภูมิหนึ่งมันก็ก่อตัวเกิดขึ้นในอีกภูมิหนึ่งทันทีตามแรงกรรม ในระหว่างการตายเกิดนับแสนๆ ชาติ มันตกลงสู่ที่ต่ำบ้าง ขึ้นสู่ที่สูงบ้าง แต่แนวโน้มโดยรวมมันจะมีพัฒนาการที่สูงขึ้นๆ จนกระทั่งมันได้พบโอกาสพบผู้สอน -ผู้ชี้แนวทาง ให้มันได้รู้ได้เห็นที่มาของมัน นับจากนั้น การเดินทางของมันก็ไม่ไร้จุดหมายอีกต่อไป เป็นการเดินทางกลับไปสู่บ้าน... บ้านที่แท้จริงของมันนั่นเอง

-----------------------สิ่งนี้มีอยู่ในทุกๆ ท่าน เพียงแต่ท่านให้โอกาสแก่มันที่จะได้รู้เห็นเส้นทางกลับบ้าน ด้วยการมีความเพียรในการปฏิบัติจนรู้เห็นจากใจ อย่าปล่อยให้โอกาสนี้ ที่ท่านได้มาพบผู้บอกเส้นทางที่ลัดสั้น ได้หลุดลอยไป เพราะไม่รู้ว่าอีกกี่แสนชาติ จะได้มีโอกาสเช่นนี้อีก
ในขณะที่ผู้เขียนกำลังพิมพ์เรื่องราวนี้ (วันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔) สภาวะสงบเย็นนั้นก็ยังเกิดขึ้นให้รับรู้ได้ พิมพ์ไปน้ำตาไหลไป ด้วยความรู้สึกที่พรรณาไม่ถูก
ในใจระลึกรู้แต่เพียงว่า

คุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไม่มีประมาณ
คุณพระโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ พระบรมมหาโพธิสัตว์ ไม่มีประมาณ
คุณเทพพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้มีสัมมาทิฏฐิ ไม่มีประมาณ
คุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์และผู้มีพระคุณทุกท่าน ไม่มีประมาณ
ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตนี้เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ตามสติกำลัง จนกว่าชีวิตจะหาไม่ จะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ดังปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า


ขอบุญกุศลที่ท่านทั้งหลายทำไว้ดีแล้วนั้น
นำพาทุกท่านเข้าสู่ความวิมุตติหลุดพ้นด้วยเทอญ
*********************************



Create Date : 20 สิงหาคม 2554
Last Update : 20 สิงหาคม 2554 2:13:40 น. 2 comments
Counter : 1691 Pageviews.

 
อนุโมทนาสาธุครับ มาปกป้องพระพุทธศาสนาจาก "มาร " กันนะครับ "ทำดีได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่วครับ


โดย: shadee829 วันที่: 20 สิงหาคม 2554 เวลา:9:05:04 น.  

 
แน่นอนครับ บางครั้งมารก็มาในผ้าเหลืองก็มี มาจากศาสนาอื่นก็มี ต้องระวังกันอย่างสูง และรอบด้าน
--ปัจจุบันคนห่มสาวหันมาหาแก่นธรรมกันมาก น่ายินดียิ่งครับ


โดย: jesdath วันที่: 21 สิงหาคม 2554 เวลา:13:19:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jesdath
Location :
เชียงราย Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
20 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jesdath's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.