พุ่งตรงสู่จิต ทางลัดสู่ความหลุดพ้น(ทุกข์)

เจดดา

ตอนนี้พี่หันมาฝึกแนวเซ็นประกอบไปกับการเจริญสติแนวพุทธ ได้ความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วมาก
จึงส่งหนังสือของอาจารย์ที่สอน เป็นฆราวาส อยู่สระบุรี มาให้อ่าน ตอนนี้ท่านชรามากแล้ว อายุ 80 ปี
แต่ท่านมีเมตตาสูงมาก เมื่อไปพบท่านจะได้รับแต่พลังแห่งความเมตตาและความว่าง
--------ฝากโพสต์ในอินเตอร์เน็ตด้วยนะ --พี่พรูน

---(ตอนนี้พี่สาวเราเข้าไปเป็นสตาฟของพุทธสมาคมแล้วนะ จากคนไม่รู้ไม่เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม นรก--สวรรค์ เพราะเรียนมาทางวิทยศาสตร์อย่างเดียว ตอนนี้เป็นอาจารย์เรื่องอัญญมณีศาสตร์ สอนทำสมาธิ และกำลังทำเอกสารเรื่องของคุณแม่บุญเรือน ฆราวาสผู้มีพลังจิตเหนือธรรมชาติอีก น่าอนุโมทนาแท้เที่ยว--กระทู้ชมกันเองครับ อิอิ)

---ช่วงนี้ดอกอะไรที่เหมือนปากแตรสีเหลือง และดอกฝ้ายคำ บานเต็มต้น หลายร้อยดอก -ดอกใหญ่กลียหนา สวยงามมาก ไว้คงจะได้ถ่ายรูปมาให้ดู อยู่แถวนี้มีต้นไม้ และป่าเยอะครับ นกกระปูดตาแดงก็ร้องวุ๊ดๆ ตอนดีสองก็ร้อง มันมีรูปร่างส่วนสัดที่สวยงามมาก บางตัวโตจะเท่าแม่ไก่อยู่แล้ว ไม่มีใครยิงมันหรอกครับ เพราะนี่เป็นป่าส่วนตัวของเอ้อ..คนรวย.. ไม่ใช่ของผมก็ละกันครับ


-------------------------เข้าสู่เนื้อหากันเลยครับ--------------------------------

คำนำ
หนังสือเล่มนี้ไม่มีรูปแบบ คืออยากจะสื่อตรงไปถึงจิตท่านผู้อ่านเสียด้วยซ้ำไปว่า จิตหนึ่งนั้น คือความว่างนั่นเอง ถ้าพูดว่าจิต คนก็เข้าใจว่าจิตคือที่ทุกคนมีอยู่ เข้าใจว่าจิตมีอยู่จริง รูปธรรมนามธรรมก็ถูกสร้างขึ้นให้มี ถ้าผู้ใดปฏิบัติจนไม่ยึดสิ่งใดๆเลย นั้นนั่นแหละจึงเข้าใจ ความว่างเป็นจิตหนึ่ง หรือสิ่งทุกสิ่งคือหนึ่งเดียว เพราะธาตุสี่ไม่ใช่ตน และไม่มีอยู่จริงอีกด้วย จิตก็ไม่ใช่ตนและไม่มีอยู่จริงอีกด้วย จึงว่างจากตนคนสัตว์ อ่านไป อ่านไป แล้วจะเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นเอง ถ้าท่านผู้อ่านไม่เข้าใจ ก็อ่านซ้ำๆไปจนเข้าใจ แล้วจะถึงความว่างโดยไม่ต้องปฏิบัติอะไรเลยสักนิดเดียว

อาจารย์ กตฺธุโร

สารบัญ
ภาคที่ ๑ หลักคำสอนเซ็น
ภาคที่ ๒ เรื่องเล่าจากประสบการณ์จริง
และนิทานเซ็น
ภาคที่ ๓ ธรรมะรายวัน
ภาคที่ ๔ หัวข้อธรรมในคำกลอน
บรรณานุกรม




ภาคที่ ๑ หลักคำสอนเซ็น
กฎการปฏิบัติเซ็น
ผู้ใจเที่ยงธรรม การรักษาศีลไม่เป็นของจำเป็น ผู้ประพฤติตรงแน่ว ฌานมันจะมีเอง ความเป็นธรรมนั้น ผู้ยิ่งใหญ่กับผู้ต่ำต้อย ยืนเคียงข้างกัน อาศัยกันและกัน เราไม่ควรทะเลาะเบาะแว้ง แม้จะตกอยู่ท่ามกลางของหมู่อมิตรอันกักขฬะ เพียรรอคอยจนได้ไฟอันเกิดจากการเอาไม้มาสีกัน เมื่อนั้นบัวสีแดง (พุทธภาวะ) ก็จะโผล่ออกมาจากตมสีดำ (ก่อนตรัสรู้) รสขมใช้เป็นยาที่ดี สิ่งที่ฟังแล้วไม่ไพเราะหู นั่นคือคำเตือนอันจริงใจที่แท้จริง การแก้ไขความผิดให้ถูกนั้นจะเกิดปัญญา เพื่อรักษาความผิดของตัวไว้จึงแสดงจิตที่ผิดปกติออกมา ในวันหนึ่งๆล่วงไปเราควรปฏิบัติไม่เห็นแก่ตัวตลอดเวลา โพธิปัญญานั้นหาพบได้เฉพาะจากภายในใจของเราเอง และไม่มีความจำเป็นที่จะแสวงหาความจริงอันเด็ดขาดของพระศาสนาจากภายนอก เพื่อท่านจะได้เห็นแจ้งจิตเดิมแท้
ผู้ที่เป็นอาจารย์เซ็น
ต้องรอบรู้ ผู้ที่มาขอฟังธรรมะ แล้วจ่ายตามวาระของจิตผู้รับ แล้วแต่จะมากหรือน้อย จะใช้ปริศนาธรรมชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำ หรือไม่ควรจ่ายให้เลย ก็ต้องใช้ ปัญญา (ฌาน) ของอาจารย์เองเป็นสำคัญ ช้าเร็วไม่เป็นเรื่องสำคัญ สำคัญแต่ต้องตรงแน่วไปสู่จิตเดิมแท้นั่นเอง จะใช้อะไรก็ได้เป็นอุปกรณ์สอน ทั้งง่ายและยาก ขึ้นอยู่กับอาจารย์เป็นส่วนใหญ่ (ไม่มีรูปแบบ)
เซ็นกับการปฏิบัติฌาน
การเรียนเซ็นมีอยู่ ๓ อย่างคือ
๑) ขบปริศนาธรรมให้แตก เกิดปัญญารู้แจ้งจ้าเห็นภาวะดั้งเดิมอันบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสของตนเอง
๒) กำราบกิเลสให้อยู่นิ่ง เป็นตะกอนน้ำนอนก้น(เถรวาท)
๓) การทำลายกิเลสที่เป็นตะกอนนอนก้นถังนั้นให้หมดสิ้นไป
ความประสงค์ของนิกายเซ็นมีอยู่เช่นนี้

เห็นจิตเดิมแท้
น้ำไม่ใช่คลื่น คลื่นไม่ใช่น้ำ เหตุที่มีคลื่นเพราะมีลม ยามใดไม่มีลม น้ำก็หยุดนิ่ง คลื่นก็หายไป จิตของคนก็เป็นเช่นนี้ เมื่อยามใดหยุดปรุง จิตก็นิ่ง เมื่อจิตนิ่งฌานก็เกิด เห็นจิตเดิมแท้ออกมา คือจิตหนึ่งนั่นเอง
นี้ก็เห็นแจ้งได้
คนธรรมดาทั่วๆไปชอบมองสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขา ส่วนผู้ปฏิบัติก็ชอบมองแต่จิต แต่ธรรมที่แท้จริงนั้นคือไม่ใส่ใจมันเลยทั้งสองอย่าง อย่างแรกง่าย อย่างหลัง ยากมากคนทั้งหลายไม่กล้าที่จะทำความรู้สึกว่าตนไม่มีจิตของตน กลัวว่าจะตกลงไปสู่ความว่างโดยไม่มีที่จะเกาะยึดในการตกนั้น เพราะเขาไม่รู้ว่า ความว่างนั้นไม่ใช่ความว่างอย่างที่เขาเข้าใจกันเลย มีโดยไม่ต้องมีความมีก็ได้

ความผิดย่อมมีอยู่
พฤติกรรมทางจิตไม่ว่าชนิดไหนย่อมนำเราไปสู่ความผิดพลาดทั้งนั้น มีสิ่งที่ต้องทำอยู่ก็แต่เพียงการถ่ายทอดจิตด้วยจิตเท่านั้นที่ต้องถือไว้
จงระวังอย่าให้เพ่งเล็งไปทางภายนอก “ไปยังสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทางวัตถุว่ามีอยู่เพื่อจิตนั้น” ประเดี๋ยวเข้าใจผิดว่าโจรเป็นลูกของเราเข้าจะยุ่งกันใหญ่ ทุกคนต้องตรงแน่วไปสู่จิตเดิมเท่านั้น จะไม่หลงไปตู่โจรว่าเป็นลูกของเรา
เปิดของคว่ำให้หงาย

ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะนั้นเหมือนกับความว่าง เราจะสร้างบุญกุศลสักเท่าใด มีปัญญาสักเท่าใดก็เข้ากับธรรมชาติเดิมไม่ได้อยู่นั่นเอง ดีไม่ดียังบังธรรมชาติเดิมเสียอีก เราอย่าผูกพันตัวเองไว้กับสิ่งใด นอกจากธรรมชาติแห่งพุทธะเท่านั้นซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสิ่งทั้งปวง สมมติว่าเราเอาสิ่งที่มีค่าทั้งหลายไปติดประดับไว้กับความว่าง มันจะติดอยู่หรือ ไม่เลย ความว่างก็ต้องว่างอยู่เช่นนั้น จึงควรเข้าให้ถึงความว่าง และเป็นว่างเสียเอง

ธรรมะไม่เห็นด้วยตา
ธรรมะที่กล่าวนี้ไม่อาจบรรยายด้วยคำพูดและพุทธะนั้นก็เป็นพุทธะไม่เห็นได้ด้วยตาหรือคลำได้ด้วยมือ โดยที่จริงนั้น สิ่งทั้งสองสิ่งนั้นก็คือจิตล้วน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสิ่งทั้งปวงนั้นเอง นี่แหละคือสัจจะ ซึ่งมีอยู่อย่างเดียว นอกจากนั้นเป็นสัจจะเทียมทั้งนั้น

การถ่ายทอดความว่าง
การถ่ายทอดความว่างให้กันและกันนั้นไม่สามารถทำได้ทางคำพูด การถ่ายทอดตามความหมายทางฝ่ายวัตถุนั้น ไม่สามารถใช้กับธรรมะ เมื่อเป็นดังนั้น จิตเป็นสิ่งที่ถูกถ่ายทอดด้วยจิต และจิตเหล่านั้นไม่แตกต่างกันเลย การถ่ายทอดทั้งสองอย่างนี้ เป็นความเข้าใจอันเร้นลับที่เข้าใจได้ยากที่สุด จนถึงกับมีไม่กี่คนที่เข้าใจจริงๆ ถึงอย่างไรก็ตาม ตามความเป็นจริงนั้น จิตก็ยังมิใช่จิต การถ่ายทอดนั้นก็มิใช่การถ่ายทอดที่เป็นจริงเป็นจังอะไรเลย

เห็นแจ้งจ้า
เมื่อใดกายและจิตมีการโพล่งออกไปเองถึงธรรมชาติเดิมของมัน ได้เข้าใจอย่างซึมซาบแล้วได้นามว่าสมณะก็บรรลุถึงโพธิ คือความว่าง
ผู้ใดอ้อนวอนขอพรพระเจ้าอยู่ ผู้นั้นเวียนตายเวียนเกิดอยู่หลายภพหลายชาติเสียเวลาเปล่าๆมิน่าต้องทำเช่นนั้น

เมื่อลงจิตเดิมไม่ได้
เพียงแต่จงทำจิตปัจจุบันของเราให้ว่าง ไม่คิดปรุงแต่งสิ่งใดๆ เลย แล้วสิ่งทุกๆ สิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเราก็จะว่างไปด้วยจริงๆ แล้วสิ่งทุกสิ่งเขาว่างอยู่แล้วทุกๆ ขณะแต่จิตเราไม่เห็น เพราะมัวปรุงเรื่องทุกเรื่องที่เข้ามาตามเหตุที่มีนั่นเอง เข้าใจผิดจึงยุ่งไปหมด เพราะไปใช้จิตอุตริแผลงๆนั่นเอง
เรียกว่าไม่จับปลาด้วยเครื่องมือที่เขาทำเอาไว้ ดันไปจับด้วยลูกน้ำเต้ากลมๆ ลื่นๆ โดยเฉพาะปลาดุกด้วย

ทำไมจึงไม่ว่าง
ความจริง ความว่างเขามีอยู่ก่อนแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปทำให้มันว่างอีก ถ้าทำมันก็จะบังความว่างเดิม เขาเพียงแต่รู้อยู่ว่ามันว่างอยู่แล้วเท่านั้นก็พอ ทั้งกายและใจก่อนที่จะประกอบมันขึ้นมานั้น มันก็มาจากความว่างเดิมนั้นเอง และพอมันเปลี่ยนไป มันก็ว่างไปตลอด หรือมันยังอยู่ มันก็ยังว่างของมันตลอดกาลนั่นแหละ สรุปว่า จงเป็นว่างเสียเองแล้วจะรู้ว่ามันเป็นว่างจริงๆ

ผู้ที่เข้าใจผิด
๑) เข้าใจว่ากายใจเป็นคนเป็นตัวตนของตนจึงหลงในสมมติ คำว่าสมมตินั้นเป็นของสร้างขึ้นด้วย จิตกับกาย ที่มีชีวิตประกอบกันจึงมีรู้รับรู้ จึงตั้งว่ารู้คือจิตวิญญาณ แท้ที่จริงเป็นของสร้างขึ้นทั้งหมดจึงยึดไม่ได้เลยสักสิ่งเดียว
๒) ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ จนเข้าใจจิตว่าจิตก็มิได้มีอยู่จริง กายก็มิได้มีอยู่จริง จึงหมดยึดสิ่งใดๆ บนโลกนี้เสีย แต่ก็อยู่ด้วยกันกับสิ่งทุกสิ่ง เหมือนน้ำกับน้ำมัน เช่นนั้น
โพล่งออกมา
ท่านอย่าเป็นผู้นึกคิดเสียเอง เป็นแต่เพียงผู้ดูก็พอแล้ว ดอกบัวจะบานกลางกองไฟ

ธรรมชาติแท้แห่งจิต
เพียงแต่เธอรู้จักธรรมชาติแท้แห่งจิตของเธอเองเท่านั้น ซึ่งในธรรมชาตินั้นไม่มีตนเอง และผู้อื่น แล้วเธอก็จะเป็นพุทธะองค์หนึ่งจริงๆ
เธอหยุดการปรุงเร้าความคิด และการคิดค้นในเรื่องอันว่าด้วย ความมีอยู่และความไม่มีอยู่ ยาวสั้น คนอื่นหรือตัวเอง ผู้กระทำ ผู้ถูกกระทำ เสียให้จบสิ้นเท่านั้น เธอจะพบว่าจิตของเธอเป็นพุทธะโดยแท้จริง จิตเป็นสิ่งที่คล้ายกับความว่าง พุทธะจึงว่างนั่นเอง

เซ็นว่าอย่างนี้
การตรัสรู้ ย่อมโพล่งออกมาจากจิตโดยตรงไม่มีอะไรเกี่ยวกับการปฏิบัติใดๆ ทั้งสิ้น วิธีที่ฉลาดเพื่อบรรลุถึงสิ่งๆ นี้ก็คือการเพาะให้พุทธะจิตนั้นผลิออกมาให้เห็นเท่านั้นเอง เพียงแต่เธอทำให้มันว่างจากความคิดปรุงแต่งต่างๆ ซึ่งล้วนแต่นำไปสู่การเกิดและการดับอยู่ตลอดเวลาตลอดกาล
ไม่มีอะไรเลยสักสิ่งเดียวที่มีอยู่ ดังนั้นฝุ่นสกปรกจะจับได้ที่ตรงไหน ถ้าใครเข้าความจริงถึงหัวใจของความจริงเรื่องนี้ คงไม่ต้องพร่ำถึงความสุขชั้นเลิศอีกต่อไป
ไม่รู้ตัวว่าเมา
การเมาสารพัดเมา เหล้ากัญชายาบ้า ความกลัว-กล้า ความรัก อาหารการกิน เงินทอง ชื่อเสียง ความรู้และไม่รู้ แม้หลงธรรมก็เมา แต่พิจารณาแล้วไม่สำคัญเท่ากับ ไม่รู้จักตัวเองกำลังเมาตัวตนว่าตนเป็นคนอยู่นี่สิ เมาอย่างช่วยไม่ได้ ต้องไหลไปตายเกิดอีกนาน ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังเมาความเมาอยู่

ผู้ที่ถึงธรรมแล้ว
ท่านผู้รู้แจ้งแห่งพระนิพพานนั้น จะวางตนไว้ในลักษณะที่เข้าพัวพันก็ไม่ใช่ เฉยเมยก็มิใช่ทั้งสองอย่าง ท่านเหล่านั้นย่อมรู้ว่า ขันธ์ทั้งห้าและสิ่งที่เรียกว่า “ตัวตน” อันเกิดจากการประชุมพร้อมของขันธ์ทั้งห้านั้น รวมทั้งรูปธรรมและวัตถุภายนอกทุกชนิด และทั้งปรากฏการณ์ต่างๆ ของศัพท์สำเนียง ล้วนแต่เป็นของเทียม ดังเช่น ความฝันและภาพมายาเสมอกันหมด ท่านเหล่านั้นไม่เห็นอะไรแตกต่างกันระหว่างมุนีกับคนธรรมดา หรือจะมีความคิดในเรื่องนิพพานก็หาไม่ ท่านเหล่านี้ย่อมอยู่เหนือการรับและปฏิเสธ และท่านเหล่านี้ ทำลายเครื่องกีดขวางทั้งที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ผู้รู้เหล่านี้ ย่อมใช้อวัยวะเครื่องทำความรู้สึกของท่านในเมื่อต้องใช้ แต่ว่าความรู้สึกยึดถือในการใช้นั้นมิได้เกิดขึ้นเลย ท่านเหล่านั้นอาจระบุเจาะจงสิ่งต่างๆ ได้ทุกชนิดแต่ว่าความรู้สึกยึดถือในการระบุเจาะจงนั้นมิได้เกิดขึ้นเลย แม้ขณะที่ไฟประลัยกัลป์ล้างโลก สันติสุขอันแท้จริงและยั่งยืนของความหยุดได้โดยสมบูรณ์และความสุดสิ้นของความเปลี่ยนแปลงแห่งนิพพานย่อมยังคงเดิมอยู่ในสภาพเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย นี้คือคำสอนของอาจารย์ใหญ่แห่งเซ็น “เว่ยหล่าง”

เซ็นสอนอย่างนี้
การทำตัวเองให้ลืมตาโดยฉับพลันต่อความจริงที่ว่า จิตของเธอนั่นแหละคือพุทธะ และว่าไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุ หรือไม่มีอะไรเลยสักสิ่งเดียวที่จะต้องปฏิบัติ นี้คือวิธีชั้นยอดสุด แล้วเธอจะเป็นพุทธะโดยแท้จริง
การสลัดสิ่งทุกสิ่งออกไปเสีย นั่นแหละคือตัวธรรม การสลัดสิ่งที่เป็นมายาทุกสิ่งออกไปเสียนั้นต้องไม่เหลือธรรมะอะไรๆไว้ให้ยึดถือกันอีกจริงๆ
เถรวาทสอนอย่างนี้
นิพพานไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่นิพพาน ผู้ใดเข้าถึงซึ่งนิพพานได้ จิตที่ทำหน้าที่การงานทางใจก็ยังคงทำหน้าที่ไปตามปกติ จิตที่ติดดีชั่ว จะหมดไปเหลือแต่จิตรู้สึกว่ารู้อารมณ์ทางใจ มีสภาพหมดภาระ โปร่งโล่งไร้ขอบเขต มองเห็นความว่างจากตัวตนจากทุกข์ที่อยู่ในสิ่ง เป็นหนึ่งสงบเบิกบาน แล้วไม่ส่งไปส่ายมา จิตนี้มันก็เกิดดับไป แต่ไม่มีทุกข์ด้วย มันเกาะอยู่กับกายใจแล้วมันหลุดออกจากเปลือกกายใจ และไม่เกาะแม้แต่ความว่างด้วย กายใจก็ปล่อยให้เป็นของๆ โลกไปตามเหตุแต่ละเหตุ แต่จิตนี้ก็ยังต้องรักษากายใจไว้เหมือนกับไปยืมผู้อื่นเอามาใช้ จึงไม่ต้องทำอะไรอีกเลย

สอนแบบเถรวาท ( เนิ่นช้า ) หลุดออกพ้นเหมือนเซ็นอย่างเดียวกัน (ใครชอบแบบไหนได้ทั้งนั้น)

หาเพชร
จงหาเพชรในกองขยะให้พบ แล้วเธอจะเป็นมหาเศรษฐีทันที
ถอดใจเสีย
ยามใดเธอทุกข์ใจจนถึงที่สุด สุดจะทนได้แล้ว เธอจงถอดใจของเธอทิ้งไปเสีย แล้วเธอจะได้ใจใหม่ที่ไม่ใช่ใจสุขทุกข์จะเข้าไปอยู่ในนั้นไม่ได้อีกเลย ทั้งๆ ที่ยืนเดินนั่งนอนอย่างเก่านี่แหละ

มองไม่ทันจิตละเอียด
อยากจะบอกไว้ว่าจิตปัจจุบันของขันธ์ห้านั้นยังมีตัวตนอยู่ มันยังยึดวัตถุสิ่งทุกๆ สิ่งนั้น อย่างหยาบๆนั้นไม่มีเหลือแล้ว แต่ที่ยังมองไม่เห็น เช่นของสิ่งหนึ่งราคาแพงมากๆ ใครจะหยิบเอาไปใช้ เอาไปกินให้หมดไปสิ้นไป เห็นว่าของแพง จิตกูยังหวงหรือเสียดาย จึงเกิดอาการทางใจขึ้นกระทบเบาๆ ผู้เป็นเจ้าของกายและใจแทบไม่รู้สึกเลยแต่อาการมันออกบอกตัวเขาให้รู้ขึ้น จึงสะดุ้งขึ้นว่า อ้าว ก็มันเรื่องอะไรกันนี่ นิดเดียวแท้ แป๊บเดียวจริงๆ แล้วหายไปเลย นักปฏิบัติทั้งรู้ทั้งเห็นจึงฆ่าเสีย ฆ่าอย่างไร เห็นลงไป ถ้าไม่มีอะไรๆ เลย โลกทั้งโลกว่าง ใครจะมี ใครจะได้ ใครจะหมดเปลือง ของไม่มีจะไปยุ่งอะไรกับสิ่งที่มันมีไม่จริง
ปฏิปทาของอาจารย์ กตฺธุโร
ไม่ต้องการสิ่งใดๆ บนโลกนี้เลย
ไม่มีอารมณ์โกรธเคืองใครๆ เลย
ไม่หลงอะไรๆ ให้ติดข้องผูกพัน
ดำริออกจากกามตลอดทุกๆ เวลา
ไม่ปะปนระคนอยู่กับหมู่คณะ
มุ่งหวังเเต่พระนิพพาน(ว่าง)อยู่เป็นประจำทุกขณะ

ภาคที่ ๒ เรื่องเล่าจาก
ประสบการณ์จริงและนิทานเซ็น
อาการของจิตเดิมแท้
ลูกศิษย์ถาม: เราจะพิสูจน์ได้อย่างไร เมื่อถึงจิตเดิมแท้มันมีอาการหรือพฤติกรรมเช่นไร
ตอบ: พิสูจน์ไม่ได้ มีแต่อาการรู้จนหมดรู้นิ่งสนิทเงียบเฉียบ เหมือนคนตายสนิท ชืดแบบขี้เถ้าที่กองอยู่หลายๆ ปี แล้วสู่ธาตุเดิม พูดด้วยคำพูดไม่ได้จริงๆ แท้ที่จริงไม่ได้ทำอะไรเลยจนนิดเดียว เขาเป็นเองมีเองอยู่แต่ก่อนเราเกิดเสียอีก...ว่าง
เปียกฝน
ถามอาจารย์ : ระหว่างเดินทางฝนกำลังตกทำอย่างไรจะไม่เปียกฝน หรือฝนไม่เปียกเรา
ตอบ : เราไม่มี ฝนจะเปียกตรงไหนเล่า

ไม่เห็นหน้าเดิม
ลูกศิษย์ : อาจารย์ครับ ผมมองอย่างไรๆ มันก็เห็นหน้าเดิมลงสู่จิตเดิมไม่ได้เลยครับ ช่วยชี้แนะให้ผมหน่อยครับ
อาจารย์ : ชี้ก็ติด แนะก็บัง ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องทำอะไรๆ เลย หน้าเดิมมันก็ไม่มี
ลูกศิษย์ : เมื่อไม่มีแล้วอาจารย์เอาอะไรมาบอกเล่า
อาจารย์ : ที่ชี้แนะที่บอกเล่ามันก็ไม่มีทั้งนั้น ที่ไม่มีทั้งหมดนี้นั่นแหละคือจิตเดิมหน้าเดิมเขาล่ะ

อยากทราบเรื่องจิต
“อาจารย์ขา หนูอยากทราบเรื่องจิตค่ะ ว่ามันมีกี่ดวงกันแน่ หรือมีกี่มากน้อย เห็นอาจารย์ว่าจิตหนึ่งเดิมแท้ สงสัยอยู่ค่ะ”
อาจารย์ตอบว่า
“ก็เธอพูดออกมาคิดปรุงออกมานั่นแหละจิตของเธอเองล่ะ ถ้าเธอหยุดคิดหยุดปรุง อยู่เฉยๆ นิ่งๆ เงียบเฉียบ
โดยสนิทได้เด็ดขาดละก็มันจะเห็นความว่าง นี้แหละคือพุทธะ หรือจิตหนึ่งเดิมเขาล่ะ ทั้งจิตปัจจุบัน จิตเดิม จิตหนึ่ง หาใช่จิตไม่ ปฏิเสธก็ไม่ได้ ยอมรับก็ไม่ใช่ มันเป็นเช่นนั้นเอง ว่างเกิดก่อนใครๆเสียอีก เซ็นต้องการตรงนี้โดยส่วนเดียว”
เซ็นของอาจารย์ไม่ได้ผล
กริ๊งๆๆๆๆ
“ฮัลโหล สวัสดีครับ อาจารย์กตฺธุโรใช่ไหมครับ”
“ใช่แล้วตัวจริงเสียงจริงด้วย มีอะไรหรือ
อาจารย์สอนธรรมะแบบเซ็นใช่ไหม เซ็นของอาจารย์ไม่ได้ผลแน่”
“เพราะอะไรหรือ” อาจารย์ถาม
“ที่นี่เมืองไทยนะครับ ไม่ใช่ญี่ปุ่นหรือจีน จะได้รู้แบบเซ็นที่อาจารย์สอน”
อาจารย์ตอบ
“ก็ใช่ ถ้าไม่มีใครรู้ ก็เธอนั่นแหละหนึ่งคนที่รู้เรื่องเซ็นไงล่ะ”
“ผมก็ยังไม่เข้าถึงจิตเดิมเลยอาจารย์”
“ก็จิตเดิมหรือจิตปัจจุบันมันก็ไม่มี เธอจะให้ถึงก็ไม่มีอีก เปล่าๆ ว่างๆ ที่ไม่ได้ผลๆ ก็ว่างไม่มีใครได้อะไรจริงๆเลย”
“โอ! ผมเพิ่งเข้าใจจิตเดิมเดี๋ยวนี้เองอาจารย์ มันว่างหมดเลยครับ”
ไม่ต้องทำอะไร
“อาจารย์ครับ ผมมีปัญหาคาใจอยู่ ไม่แจ่มแจ้ง จากใจเลย คำว่าไม่ต้องทำอะไรกับการเรียนธรรมะของอาจารย์นั้นช่วยขยายให้กระจ่างหน่อยเถอะอาจารย์”
อาจารย์ว่า
“ถ้าขยายมันก็ไม่ใช่เซ็นนะซิ อาจารย์สอนเซ็นให้ตรงแน่วไปสู่จิตหนึ่งเท่านั้น”
“เถอะน่า ไม่ต้องเซ็นสักครั้งไม่ได้เลยหรือครับอาจารย์”
“เป็นพิเศษก็แล้วกันนะ” อาจารย์ตอบ
“ครับๆ ดีครับ”
“ตัวจิตปัจจุบันประจำขันธ์ห้านี้จริงๆ มันว่างอยู่ รู้อยู่ พอปรุงเป็นความคิดขึ้นมันก็เกิด-ตายขึ้นเป็นกรรมทันที ดีหรือชั่ว ชอบไม่ชอบ มันเลยบังจิตเดิมเราเสีย เลยไม่เห็นหน้าเดิม เพราะหน้าเดิมเขาว่างอยู่ประจำอยู่แล้ว ยามใดไม่คิดไม่ปรุงอะไรมันไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะจิตปัจจุบันมันว่างเลยเป็นว่างพร้อมกับว่างเดิม เขาจึงไม่ต้องไปทำอะไรเลยไงล่ะ แต่ถ้าขยับขึ้นนิดเดียวก็บังทันที จึงต้องแบมือทั้งสองข้างเสีย ไม่ต้องยึดอะไรๆ ไงล่ะ”
“ครับอาจารย์ เที่ยวนี้แจ่มจริงๆ ขอบพระคุณอาจารย์มากๆ เลยครับ”
ฝนไม่มีสักเม็ดเดียว
วันนี้มีลูกศิษย์เก่ามากับหลานสาว อยากมากราบอาจารย์ ไม่ได้มาตั้งหลายปีแล้ว มาถึงก็คุยกัน ลูกศิษย์ทางบ้านขึ้นไปซ่อมหลังคากระเบื้องที่แตกไป ๒ แผ่น ไปซื้อร้านเล็กก็ไม่มีขาย พอดีลูกศิษย์เขาซ่อมบ้านเขากระเบื้องมันเหลือ เขาให้มาพอดี ฝนตกติดต่อกันมาสามสี่วันแล้ว วันนี้ทำท่าจะตกอีก ลูกศิษย์ก็ขึ้นไปทำกัน ก็เลยขอเวลาไว้ว่าอย่าเพิ่งตกเลยสัก ๒๐ นาทีให้ซ่อมเสียก่อน พอแล้วเสร็จ ๒๐ นาทีพอดี ตกหนักมากกว่าทุกวันเลย ศิษย์จุมปีบอกอาจารย์วันนี้ฝนตกหนักมากเลย แต่โชคดีนะ พอซ่อมเสร็จก็ตกเลย ชุดที่เก็บของบนหลังคาบอกฝนตกไม่หนักเลย ลงมาก็เถียงกันแล้วถามอาจารย์ว่าหนักไหม ชุดลงมาก็ถามว่าดูมันไม่หนักสักหน่อย อาจารย์ว่าเออ ไม่มีฝนสักเม็ดเดียว มันเป็นแต่สิ่งหนึ่งเท่านั้น และสิ่งหนึ่งนี้ยังว่างเสียอีก ลูกศิษย์ทั้งสองคณะก็ตาสว่างขึ้น เห็นตามอาจารย์

ชอบทำเรื่องง่ายให้ยาก
วันนี้เป็นวันแรกของบัณฑิตหนุ่มที่ได้มาพักผ่อนชายทะเล ได้ปูเสื่อลงนอนอย่างสบายอารมณ์ รำพึงขึ้นในใจว่า ชีวิตทั้งชีวิตได้ทุ่มเทลงไปเพื่อความสำเร็จจนสมประสงค์ ก็หยุดความคิดลง เพราะมีชายสูงวัยเดินผ่านมา ในมือถือปลามา ๔ ตัว ก็ถามว่า
“คุณลุงไปทำอย่างไรจึงได้ปลามา ตกเบ็ดใช้เวลานานไหม”
“ไม่นานเท่าใด แล้วแต่ปลามันจะหิว”
“แล้วปลา ๔ ตัวนี้จะเอาไปทำอย่างไร”
“เอาไปทำกับข้าวกิน ๒ ตัว อีกหนึ่งตัวแจกให้เพื่อนบ้าน อีกหนึ่งตัวไปขาย”
บัณฑิตถามต่อ “ทำไมไม่หามากๆ เล่า”
“ถ้าได้มากๆ แล้วเอาไปทำไง” ชายสูงวัยถาม
“เอาไปขายน่ะซิ”
“แล้วไง”
“ได้มากก็ซื้อเรือหลายๆ ลำ”
“แล้วไง”
“ก็ออกหาปลาให้มากขึ้น”
“แล้วไง”
“ซื้อเรือลากอวน”
“แล้วไง” คุณลุงถามต่อ
“พอได้ปลามากๆ ก็ตั้งโรงงานทำปลากระป๋อง ส่งนอกร่ำรวยมาก ได้เงินมาก”
“แล้วไง”
“อ้าวก็ได้มาพักผ่อนอย่างผมนี่ไงล่ะ ไม่ต้องมาหาเช้ากินค่ำอีก” คุณลุงได้ฟังคำสุดท้ายแล้วถามว่า
“คุณเพิ่งมาได้พักวันนี้ใช่ไหม”
“เป็นวันแรกของชีวิต” บัณฑิตตอบ
ชายสูงวัยได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะฮึๆๆ แล้วเดินหันหลังให้ไม่กลับมามองบัณฑิตอีกเลย
“ชอบทำเรื่องง่ายๆ ให้ยากจริงๆ คนนี่”

ธรรมมะรักษาโรค
มีชายผู้หนึ่งเป็นโรคมะเร็งในกายมีหลายจุดไปให้หมอตรวจดูแล้ว คำของหมอบอกว่าเป็นมะเร็ง อาจารย์ก็แนะวิธีการรักษาทางยาโสมเกาหลีตังกุยจับ ซื้อเอาไปแต่ไม่กินทางการแพทย์ก็ไม่เอา แบบว่าตายก็ตาย จะไม่รักษาแบบกินยา อาจารย์บอกกับคนไข้ว่า มะเร็งมันก็เป็นชีวิต ในร่างกายนี้มีแต่สัตว์ที่มีชีวิตทั้งนั้น จึงไม่ใช่ของคน ของใครๆ ได้ มันประกอบขึ้นโดยเป็นชีวิต ในชีวิตก็เป็นแต่ธาตุทั้งสี่ ไม่ใช่คน ชีวิตนั้นๆ ทุกๆ ตัวมันก็รักชีวิตของมันทั้งนั้น ฉะนั้นอย่าคิดฆ่ามันเป็นอันขาด ฉายแสงให้คีโมหรือยาใดๆ จะไปฆ่าชีวิตของมะเร็งหรือสัตว์ในกายนี้ไม่ได้ พอส่งยาไปฆ่ามัน มันจะแยกตัวแตกตัวจากหนึ่งเป็นล้านๆ ทันที กระจายไปในกายเต็มไปหมด มันก็กลัวลูกหลานของมันจะสูญพันธุ์ จึงสู้สุดกำลังของชีวิต เหมือนคนทุกคน รักชีวิตตัวกูอย่างไงอย่างนั้นแหละ อาจารย์จึงใช้วิธีให้อาหารพวกที่มีชีวิตในกายนี้มันกินจนอิ่ม และสอนมันคุยกับมันทุกเช้า กลางวัน เย็น กลางคืน สอนให้มะเร็งหรือโรคอื่นๆ ก็เช่นกัน ให้เขารู้จักกิน รักษาชีวิตของเขาให้เป็นสุขทุกๆ ชีวิต เมื่อเชื้อโรคอยู่กันสบายเขาก็ไม่แตกลูกแตกหลาน เพราะมันขี้เกียจ กินแล้วนอนหลับ หิวก็ลุกขึ้นมากินใหม่ แล้วนอนต่อ อายุพวกมันจะสั้นไม่ก่อกวนสัตว์ทั้งหลายในร่างกายกันเลย หดตัวป่วยตายลงไปเรื่อยๆ จนหมดไปเอง กายอันนี้ก็จะมีแต่เซลล์ที่ดีบริสุทธิ์กันทั้งหมด ตับไตม้ามหัวใจและอื่นๆ แข็งแรง เชื่อฟังคำสั่งสอนของเจ้าของกายและใจทั้งที่มันใกล้จะหมดอายุขัย มันก็จะพากันตายโดยสวัสดี จึงไม่ต้องไปทำอะไรกับกายและใจอันนี้ มันรักษาของมันกันเองจริงๆ

-----------------------รอ----ต่อภาค 2นะครับ-----เนื้อหาทั้งหมดมีประมาณ 12เท่าของบทความนี้------------------------------------------------




Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2554 16:09:27 น. 4 comments
Counter : 2341 Pageviews.

 
ควายเท่านั้นแหละเชื่อ


โดย: ยังมีเงา IP: 223.205.176.239 วันที่: 25 มีนาคม 2554 เวลา:16:48:57 น.  

 
บัวใต้ตม ยังมีอยู่จริงๆด้วย


โดย: เจษ IP: 223.205.230.100 วันที่: 22 กรกฎาคม 2554 เวลา:0:30:14 น.  

 
ธรรมะที่แม้ตนเองก็ยังเข้าไม่ถึง
จึงไม่ควรด่วนสรุปเอาตามแต่ทิฐิแห่งตน
ผรุสวาทวาจาที่เปล่งต่อผู้รู้ เทียบเท่ากับดูหมิ่นพุทธองค์
ท่านเซ็นสยามได้เปิดเผยความลับแห่งธรรมชาติ
ที่ซ่อนตัวเงียบเชียบอยู่อย่างโจ่งแจ้งให้ผู้คนได้รับรู้
จึงชักชวนหมู่เพื่อนร่วมทุกข์เข้ามาร่วมสดับ
เพื่อความพ้นไปจากวงจรแห่งทุกข์
และความยึดถือในความเป็นตน
ซึ่งทั้งหมดทั้งสิ้น มีเพียงแต่ความไม่รู้ ไม่รู้ และไม่รู้
นอกจากนั้นแล้วไม่มีอะไรเลย
แต่ความไม่มีอะไรเลยนั้น กลับกลายเป็นที่สุดแห่งทุกข์ทั้งมวล
เชิญเพื่อนร่วมสดับบทเพลงแห่งความไม่มี
ที่ขับขานกังวาลโดยท่านเซ็นสยาม
ในลีลาจังหวะที่กระฉับกระเฉงเร้าใจ
แฝงไว้ด้วยความคมกริบแห่งดาบพิฆาตตัวตน
ของท่านเซ็นสยาม




โดย: ศิษย์เซ็น IP: 180.210.216.131 วันที่: 23 กรกฎาคม 2554 เวลา:15:32:33 น.  

 
ยอดเยี่ยมจริง ๆ ขอรับคำแนะนำด้วย


โดย: ขิงแก่ IP: 101.108.168.246 วันที่: 10 กรกฎาคม 2555 เวลา:22:02:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jesdath
Location :
เชียงราย Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
5 กุมภาพันธ์ 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jesdath's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.