หลุดพ้นแบบฉับพลัน ภาค5 --หลวงพ่อแช่มจอมทัพรบกิเลส-1

บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๑
ระหว่าง หลวงพ่อแช่ม วัดบ้านดาบ กับผู้ใหญ่มา
บ้านคุ้งนามอญ จังหวัดลพบุรี
--------------------------
ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ เป็นอย่างไรบ้าง ตั้งแต่วันพระที่แล้ว หายเงียบไป
ผู้ใหญ่มา :ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ คือบ้านผมกับวัดบ้านดาบมันอยู่กันคนละทุ่ง การไปมาแต่ละครั้งต้องเดินเสียเวลากว่าจะถึง จึงเลือกมาตามโอกาสที่ใจมันอยากจะมา
หลวงพ่อแช่ม :ถ้าอยากได้ของดีก็ต้องอดทนหน่อยนะผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่มา :ครับ จริงของหลวงพ่อ ตั้งแต่จากหลวงพ่อไปครั้งที่แล้ว ผมพยายามทำจังเลยครับ
หลวงพ่อแช่ม : หือ! ว่าไงนะ ใครบอกให้ทำ? หลวงพ่อไม่ได้สั่งอย่างนั้น เพียงให้ดูให้พิจารณา ไม่ใช่ไปทำเอา ให้เรียนรู้ ให้ดูเฉยๆ ว่า กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย กายไม่มีในเรา เราไม่มีในกาย ดูให้เห็นลงไปจริงๆ ว่ามันเป็นมัน มันเป็นของของโลก เกิดธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม มาประชุมกัน จึงมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น
ผู้ใหญ่มา :อ๋อ... ผมเข้าใจแล้วครับ เมื่อทุกสิ่งเป็นของของโลก กายก็เลยไม่ใช่ของเรา ใช่ไหมครับ?
หลวงพ่อแช่ม : อือ... ใช่ ต้องขยันเรียนรู้ให้เข้าใจ ธรรมะนั้นต้องใส่ใจใฝ่รู้ ที่ว่าเข้าใจหรือรู้แล้วนั้นต้องดูบ่อยๆ ถี่ๆ ทุกลมหายใจเข้าออกเลยจึงจะดี จะเห็นแจ้งแทงตลอดได้เร็วขึ้น จนเห็นกายแยกกับใจได้ ก็จะหมดความเป็นคน อนุสัยที่มีอยู่เดิมๆ ต้องขาดจากความยึดติดให้ได้
ผู้ใหญ่มา :เอ... แล้วมิต้องทิ้งหรือหนีทุกสิ่งในโลกหรือ หลวงพ่อ?
หลวงพ่อแช่ :ไม่ใช่ๆๆ ไม่ต้องทิ้งหรือหนีอะไรไปไหนจริงๆ หรอกผู้ใหญ่ ถ้าหนีหรือทิ้งแสดงว่ายังติด ยังยึดทั้งสองอย่าง ต้องเข้าไปรู้ว่ายึดไม่ได้ เพราะทุกสิ่งมันมีไม่จริง คือมันไม่อยู่คงที่สักอย่างเดียว มันจึงเป็น อนัตตา เพราะบังคับตัวมันเองไม่ได้ และมันเป็นของของโลกจึงเป็น อนิจจัง ต้องเปลี่ยนไปหมุนไปตามโลก แต่ความไม่รู้ไม่เห็นความจริง จึงไปเอาของของโลกมาสร้างทุกสิ่งจนเต็มโลกไปหมด แล้วก็ยึดว่าเป็นจริง มีจริงๆ เป็นของของเรา ของฉัน ของกู กันหมด
ผู้ใหญ่มา :อ้อ... ผมเข้าใจแล้ว แต่เรานำทุกสิ่งมาใช้ได้เมื่อจำเป็น ใช้ไปตามสมมุติโลก โดยไม่ยึดเท่านั้น แล้วมันก็จะพังไปตามเรื่องตามกาลเวลาของมัน ใช่ไหมครับ?
หลวงพ่อแช่ม :อือ... ใช่แล้ว รู้จักมันและอยู่กับมันเท่านั้นก็พอ แต่ไม่ยึดมันเป็นของเรา ก็จะไม่หนักใจ ไม่เป็นทุกข์เมื่อมันต้องพังต้องเปลี่ยนแปลงไป
ผู้ใหญ่มา :ผมฟังหลวงพ่ออธิบายแล้ว ดูเหมือนว่าไม่น่าจะยาก แต่พอจากหลวงพ่อไปมันเข้าไปยึดติดอีก ก็เลยรู้ว่ายาก
หลวงพ่อแช่ม :ผู้ใหญ่เพิ่งเรียน เพิ่งรู้ ยังไม่เห็นความจริงของมันจากใจ ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปซี กินเหล้าแก้วแรกมันจะติดได้อย่างไร? หรือเพาะถั่วงอกวันเดียวมันก็ไม่งอกใช่ไหมผู้ใหญ่?
ผู้ใหญ่มา :ครับ จริงของหลวงพ่อ ผมต้องเพียร ต้องมีความเพียรให้มาก ดูกายให้มากๆ แล้วจะทิ้งกาย (ไม่ยึดกาย) ได้ ใช่ไหม?
หลวงพ่อแช่ม :ใช่ เพราะกายมันเป็นแต่ธาตุทั้งหลายมาประชุมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน พอถึงเวลาก็สลายไปตามเหตุของมัน มันจึงไม่เป็นของใครและบังคับมันไม่ได้
ผู้ใหญ่มา :สาธุ... เรื่องแยกกายแยกใจนี้ ต้องเอาไปดูเสียก่อนใช่ไหมหลวงพ่อ?
หลวงพ่อแช่ม :ไม่ใช่ๆ โยมผู้ใหญ่ การเรียนธรรมนี้จะต้องรู้เห็นเป็นขั้นเป็นตอน ผู้ใหญ่ต้องดูกาย เห็นกาย และแจ้งในกาย ออกจากกาย (ไม่ยึดเป็นกายเรา) ให้ได้ก่อน แล้วจึงจะมาดูใจ และทิ้งใจ (ออกจากใจ) ทีหลัง แต่พิจารณาไปพร้อมๆกันนั้นไม่เป็นไร เวลาแยกเราออก จะออกจากกาย หรือพ้นกายก่อน
ผู้ใหญ่มา :อย่างนั้นหรือครับ? ผมจะต้องไปดูกายมากๆ ให้เห็นแจ้งว่ามันเป็นมัน แล้ววันหน้าผมจะมาเรียนเพื่อดูฝ่ายใจต่อนะครับ
หลวงพ่อแช่ม :อือ... ดีแล้วผู้ใหญ่ ขอให้ขยันหน่อยก็แล้วกัน เพราะคนเราเกิดมาไม่มีใครรู้วันตายได้เลย จะตายวันนี้พรุ่งนี้ก็หารู้ได้ไม่ เห็นหน้ากันอยู่หลัดๆ อาจจะตายในเวลาอันสั้นอย่างคาดไม่ถึงก็มีมาก ลูกบ้านผู้ใหญ่มีใครสนใจเรื่องนี้บ้างไหม?
ผู้ใหญ่มา :มีน้อยมากครับ เพราะเขายังไม่เข้าใจ ยังคิดว่ามีเวลามากอยู่ ยังไม่แก่เท่าผม ยิ่งต้องเดินข้ามทุ่งมาหาหลวงพ่อไกลๆ อย่างนี้ เขายิ่งไม่เอากัน แต่ให้วิ่งไปหาเรื่องอื่นที่สนุกๆ ตื่นเต้นและเพลิดเพลินใจ ไกลเท่าไรเขาก็ไม่ท้อ แม้จะต้องข้ามน้ำข้ามทะเลก็ยังไป
หลวงพ่อแช่ม :เออ... ก็ไม่เป็นไรหรอก ใครเขาชอบเขาสนใจก็ลองชวนให้มาฟัง มาเรียนดู ดีกว่าไม่บอกใครเสียเลย
ผู้ใหญ่มา :ผมจะลองดูนะครับ อย่างไรก็ตามผมคิดว่าควรจะช่วยตัวเองก่อนให้พ้นภัยจนไม่สะดุ้งสะเทือนต่อคำพูดของคนอื่นได้ แต่ถ้ามีโอกาสพบคนที่สนใจจริงๆ ผมก็จะชวนเขามาด้วยในครั้งต่อไป ผมกราบลาก่อนละครับ
หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีผู้ใหญ่ ขอให้เจริญในธรรมเถิด
----------------------


เขาเป็นเขา คือ ธาตุ

ขอให้ดูกันดีดีไม่มีเรา
ไปให้ชื่อตั้งเขาเป็นเราได้
เลยยึดเขาว่าเป็นเราเฝ้าจนตาย
เห็นว่าเราจากไปตายจริงจริง
เขาเป็นเขาของเขาเราไม่มี
ดูดีดีไม่ใช่เราเขาทุกสิ่ง
ใครกันหลอกให้เป็นเราเขลาจริงจริง
ที่เดินวิ่งอยู่ทุกวันนั้นคือใคร
ก็ดินน้ำไฟลมผสมสร้าง
ทุกทุกอย่างถูกตรงอย่าสงสัย
เขาเป็นเขาไม่ใช่เรามาเกิดตาย
สัตว์บุคคลมีที่ไหนใคร่ครวญดู

กตธุโร

ปั้นกันเอง

ถ้าดูกายจริงๆ แล้วทิ้งกาย
จะมีอะไรอีกเล่าให้เฝ้าหลง
ทั้งคนสัตว์เกิดมาไม่น่างง
ของสิ่งเดียวที่ส่งให้เกิดมา
ไม่มีใครเป็นของใครได้ทั้งนั้น
จะเสกสรรปั้นอย่างไรมันไม่ว่า
จะปั้นคนปั้นช้างปั้นกวางลา
มันก็เป็นขึ้นมาแต่ธาตุเดิม
เลยต้องปล่อยเขาไว้ได้แต่ดู
ที่มีกูพร้อมสะพรั่งคนสร้างเพิ่ม
มีทุกสิ่งยังไม่พอรับต่อเติม
หลงของเดิมของใหม่ตายกับมัน

กตธุโร

บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๒
-----------------
ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อแช่ :สวัสดีผู้ใหญ่ อ้าว! วันนี้ไม่ใช่วันพระ ทำไมจึงมาได้ มีอะไรด่วนหรือ?
ผู้ใหญ่มา :มันทนรออยู่ไม่ไหวซิครับ ใจมันรู้มันเห็นขึ้นมา จึงอยากจะมารายงานให้หลวงพ่อฟัง
หลวงพ่อแช่ม :ถ้าใจมันอยากก็ให้มันมาโดยกายไม่ต้องมาก็ได้
ผู้ใหญ่มา :มันอดไม่ได้ซิครับ จึงพากายให้เดินข้ามทุ่งมาด้วย
เรื่องมันมีอยู่อย่างนี้ครับ วันที่ผมมาคุยกับหลวงพ่อครั้งที่แล้ว มีเหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นที่บ้านขณะที่ผมไม่อยู่ ลูกบ้านกลุ่มหนึ่ง มารอพบผมและไม่ยอมกลับจนกว่าจะได้พบและพูดกันให้รู้เรื่อง เพราะเขาตกลงในบางเรื่องไม่ได้ ต้องการจะให้ผมช่วย ภรรยาผมบอกเขาว่า ผมจะกลับเย็นๆ เขาก็อุตส่าห์รอ พอผมไปถึงบ้าน เขาเล่าให้ฟังว่า ที่ดินคันนาซึ่งใช้ร่วมกันมันคด จะตัดใหม่ให้ตรง แต่ไม่มีฝ่ายใดยอมเสียเปรียบ ผมจึงใช้ธรรมะที่หลวงพ่อสอนให้ไปตัดสินให้เขา ปรากฏว่าได้ผล
ผมอธิบายให้เขาฟังว่า “เดิมเมื่อโลกไม่มีนั้น ไม่มีพื้นดิน ไม่มีคน พอมีโลกแล้วจึงมีพื้นดินและพื้นดินก็เป็นของโลกทั้งนั้น ไม่มีใครเป็นเจ้าของ พอมีคนขึ้นมาในโลก คนมาจับจองยึดถือที่ดินเป็นของของตน (ของกู ของฉัน ของเรา) ทั้งๆ ที่เป็นได้ไม่จริง แต่ตู่เอาเอง แล้วกลับมาแก่งแย่งกัน ขัดแย้งกันถึงกับจะฆ่ากัน เพราะคิดว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ส่วนเกินไปจริงๆ หรืออีกฝ่ายหนึ่งจะต้องเสียส่วนของตนไปจริงๆ จึงโกลาหลกันอย่างนี้ และหาข้อยุติกันไม่ได้ คิดดูเถอะ ต่างโกงของโลกเขาแท้ๆ”
เท่านั้นแหละครับหลวงพ่อ ได้ผลเลย ทั้งสองฝ่ายต่างรู้สึกสำนึกและหยุดทะเลาะกัน ยอมให้ผมเป็นคนกลางถือเชือกวัดคันนาใหม่ ดึงให้ตรงไม่เข้าใครออกใคร ได้คันนาที่ตัดตรง และพอใจกันทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีรายอื่นๆ มาให้ผมช่วยแก้ไขอีก ๕-๖ ราย ทำให้เขาสบายไปตามๆกัน นี่ไงละครับ เรื่องที่ทำให้ผมต้องมาก่อนกำหนด
หลวงพ่อแช่ม :อือ... นับว่าดีมาก ผู้ใหญ่เอาธรรมะไปใช้ได้ถูกตรงแล้ว เข้าท่าจริงๆ สาธุนะ
ผู้ใหญ่มา :หลวงพ่อครับ ผมขอถามเรื่องกายกับใจต่อนะครับ ผมเข้าใจเรื่องกายแล้ว ได้สังเกตและพิจารณาอยู่เสมอๆ จนเห็นว่ามันเป็นมันจริงๆ ไม่ว่าจะทำอะไร มันทำของมันเองทั้งนั้น เราบังคับบัญชามันไม่ได้เลย และมันก็เปลี่ยนของมันเองอยู่เสมอ ทุกอิริยาบถทุกอาการ ไม่ว่าหยาบหรือละเอียด ไม่มีเราอยู่ในมัน ไม่มีเราเป็นมันจริงๆ มันเองก็บังคับตัวมันไม่ได้ เพราะมันไม่มีตัวนั่นเอง มันเป็น อนัตตา จึงมี ทุกขัง และ อนิจจัง ตามมาคือเปลึ่ยนอยู่เป็นนิตย์
ผมทิ้งกายได้แล้ว และไม่ยึดมันแล้ว แม้ เวทนากาย ก็เห็นได้ชัดว่ามันเป็นมัน วันหนึ่งผมเกิดปวดท้อง ท้องเสียเป็นบิดขึ้นมา ผมเฝ้าดูมัน จนเห็นชัดว่ามันปวดของมัน เราจะไปบังคับให้มันหยุดปวดไม่ได้ จนกว่ามันจะคลายตัวของมันเอง ความปวดจึงเป็นเพียงกระแสคลื่นชนิดหนึ่งเท่านั้นที่เกิดดับตามเหตุของมัน ไม่มีตัวไม่มีตนอะไร แต่ผมสงสัยว่ายังมี พอใจ-ไม่พอใจ อยู่ในขณะนี้ ทำไมจึงเป็นเช่นนี้? หลวงพ่อช่วยอธิบายหน่อยเถอะครับ
หลวงพ่อแช่ม :อือ... ใช่ ผู้ใหญ่ยังมี เวทนาใจ ยังติดเวทนา ยังเข้าใจว่าเวทนาเป็นเรา เป็นของเราน่ะซี เลยมีพอใจ-ไม่พอใจ ทั้งๆ ที่มันเป็นมันและเกิดดับๆ เสมอ
ผู้ใหญ่มา :แล้วทำอย่างไรจึงจะออกจากเวทนาใจได้ละครับ?
หลวงพ่อแช่ม :ไม่ต้องทำอะไรกับมัน ดูมันเฉยๆ เพราะ สัญญาจำได้หมายรู้นั่นเองเป็นเหตุ เช่นจำได้นี่คือปากกา (หลวงพ่อยกปากกาให้ผู้ใหญ่ดู) ก็หมายรู้ไว้และรู้อีกว่าสำหรับเขียนหนังสือ ตามที่คนสร้างขึ้นและกำหนดหน้าที่ให้มัน ปากกาจึงเป็นชื่อสมมุติของสิ่งๆ หนึ่ง ซึ่งใช้สำหรับเขียนหนังสือ เมื่อผู้ใหญ่ไปเห็นที่ไหนก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นปากกา แล้วยึดถือว่ามีจริงๆ เป็นปากกาจริงๆ มานานแล้ว โดยไม่รู้ว่ามันเป็นเพียงธาตุของโลก ซึ่งคนนำมาปรุงแต่งสร้างเป็นสิ่งๆ หนึ่งขึ้นมาใหม่ ถ้าลองถามมันดูว่ามันเป็นอะไร มันจะไม่ตอบ เพราะพูดไม่ได้ แต่คนไปตั้งไปเรียกมันว่าปากกา และยึดถือกันเอง แสดงว่า คนหลงสมมุติและยึดสมมุติว่ามีจริงด้วยความไม่รู้ หรือยึดผิดๆ (อวิชชา) นั่นเอง
ถ้าใครให้ของที่บอกว่าสวย ราคาแพง จะรู้สึกพอใจไปตามสัญญาที่สมมุติและจำกันมายึดถือต่อมา ทำให้อยากได้ในสิ่งที่สวยที่แพงกว่าอยู่เรื่อย ของเก่าหรือของที่ไม่สวย มีราคาถูกตามที่สมมุติเรียกกัน ก็จะถูกเมินและไม่อยากได้ เวทนาพอใจ – ไม่พอใจ จึงมีตามสัญญาหมายรู้ในอดีต ที่เป็นโมหะ หรือสำคัญมั่นหมายด้วยอวิชชา จนพาให้หลงให้ยึดถือกันจนเคยชินว่าเป็นจริง
หลวงพ่อจะขอยกอีกตัวอย่างหนึ่งให้ชัดขึ้นนะ ถ้าผู้ใหญ่ถูกด่า มีสัญญาหมายรู้ในเสียงด่า ในคำด่า และสำคัญมั่นหมายว่าเขาด่าเราจริงๆ จะส่งให้เกิดเวทนาไม่พอใจทันที ถ้าไม่มีเราเข้าไปรับแทนสัญญา เวทนา เหล่านั้น เพียงเฝ้าดูด้วยสติให้ทัน จะเห็นว่าเมื่อธาตุต่อธาตุกระทบกันคือ เสียง มากระทบ หู และวิญญาณทางหูมาร่วมทำงาน เกิดการ ได้ยินเสียง ถ้าเสียงนั้นไม่มีสัญญาหมายรู้ไปในทางยึดถือ (เช่นด่าเป็นภาษาอื่นซึ่งคนไทยฟังไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ความหมายก็จะโกรธไม่เป็น เกลียดไม่เป็น) เวทนาที่เกิดขึ้นก็จะเป็นสักแต่ว่าความรู้สึก ว่าได้ยินอะไรอย่างหนึ่ง แล้วก็ดับไป ไม่เกิดความพอใจ หรือไม่พอใจ ไม่รู้สึกโกรธหรือเกลียดขึ้นมา ผู้ใหญ่เข้าใจไหม?
ผู้ใหญ่มา :อ๋อ... เข้าใจแล้วครับ เป็น เพราะสัญญาจำได้หมายรู้นี่เองส่งต่อหรือปรุงซ้อนขึ้นมาให้มีเวทนาที่ยืดถือ ความพอใจ-ไม่พอใจจึงเกิดขึ้น แต่ทั้งสัญญาและเวทนาไม่ใช่เรา–ไม่ใช่ของเรา จึงไม่มีเราพอใจหรือไม่พอใจใช่ไหมครับ?
ทั้งสัญญาและเวทนาเป็นเพียงธาตุที่มาอาศัยกันประชุมกันเป็นขันธ์ และอาศัยวิญญาณขันธ์เข้ามาร่วมทำงานด้วย จึงเกิดการรับรู้ เกิดความรู้สึกและความจำ เป็นเหตุเป็นปัจจัยต่อกัน ถ้ารู้สึกว่ามีเราเข้าไปยึดถือสัญญาและเวทนาขันธ์นั้นมาเป็นเรา-เป็นของเราแล้ว ก็จะมีเราพอใจหรือไม่พอใจ ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรา-ไม่ใช่ของเรา ใช่ไหมครับ? ทั้งสัญญาและเวทนาจะทำหน้าที่อยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วก็ดับไปตามกระแสของเหตุที่ส่งมา จึงเรียกว่ามีไม่จริง ใช่ไหมครับ?
หลวงพ่อแช่ม :อือๆ ใช่แล้วๆ ขอให้มีสติ คือความระลึกนึกได้ (สัญญาณเตือนภัยให้ระวังตัว) ให้รู้ว่าสักแต่ว่าสัญญาณนะ สักแต่ว่าสุมมติที่คนในโลกตั้งเอาเรียกเอา ธรรมชาติเดิมๆ เขาไม่ดีไม่ชั่ว ไม่ถูกไม่ผิด ก็จะไม่สำคัญมั่นหมายหรือยึดถืออะไรเป็นจริงเป็นจัง เป็นเดือดเป็นแค้น เป็นโกรธเป็นเกลียด เป็นหลงใหล ฯลฯ สัญญาทำงานแล้วก็จะดับไปเสมอ ไม่ปรุงต่อให้เกิดเวทนา พอใจ-ไม่พอใจ เวทนาไม่มีงานทำก็จะโลภ-ไม่ได้ โกรธก็ไม่ได้ เกลียดก็ไม่ได้ หลงไม่ได้ กลัวไม่ได้ เป็นต้น
ผู้ใหญ่มา :ผมเข้าใจแล้วครับ ชักเห็นลางๆ แล้วครับ ผมจะต้องดู ให้มากๆ มีสติมาให้ทัน จนเห็นว่าสัญญาเป็นสักแต่ว่าสัญญา (ลบสมมุติแห่งชื่อและความหมายออกเสียก่อนให้ทัน) เวทนาก็จะเป็นสักแต่เวทนาตามธรรมชาติ เกิดแล้วก็ดับ แล้วสังขาร วิญญาณละครับ มันทำงานอย่างไร มีหน้าที่อะไร?
หลวงพ่อแช่ม : สังขารมีหน้าที่คิดนึก ปรุงแต่ง ตามที่สัญญา เวทนาส่งมา เมื่อมีการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ วิญญาณของอายตนะเหล่านี้จะทำหน้าที่รับรู้ก่อนทันทีว่า เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัสทางผิวกาย และมีอารมณ์ความนึกขึ้น เมื่อรับรู้แล้ว จะนึกถึงสัญญาจำได้หมายรู้ในอดีต และปรุงต่อเป็นเวทนา พอใจ-ไม่พอใจ ทันที แล้วสังขาร หรือปรุงต่อเป็นตัณหา คือความอยาก (อยากได้ อยากมี อยากไม่สูญเสีย) เมื่ออยากได้อยากจะเอาให้ได้ เมื่อได้แล้ว ก็ยึดเป็นของตนทันที ทุกขณะที่เกิดความรู้สึก คิดนึกปรุงแต่งเป็นความอยากและความยึด หรือความไม่อยากไม่ยึดก็ตาม มโนวิญญาณ จะรับรู้และส่งให้จิตรู้แจ้งอีกครั้ง เป็นความรู้สึกรวบยอดที่จิต รู้สังขารจิต หรืออาการของจิต รู้ว่ามีกิเลสหรือไม่มีกิเลส รู้ว่าว่างหรือวุ่น เป็นต้น แล้วเก็บจำไว้ในรูปสัญญา สังขารก็ไม่ใช่เรา—ไม่ใช่ของเรา วิญญาณก็ไม่ใช่เรา—ไมใช่ของเรา มันเกิดดับทุกครั้งตามเหตุตามปัจจัย คนมีความ โลภ โกรธ หลง ทุกวันนี้ก็เพราะมีตัวตนเข้าไปยึดถือเวทนาและตัณหามาเป็นเป็นของตนไงล่ะโยมผู้ใหญ่ เรียกว่ามีอุปาทาน นั่นเองจึงเป็นทุกข์
ผู้ใหญ่มา :ผมเริ่มเห็นชัดขึ้นแล้วครับ แต่ต้องไปเห็นจากใจให้ได้จริงๆ ไม่ใช่นึกเอา พูดเอาใช่ไหมครับ?
หลวงพ่อแข่ม :ใช่แล้ว รูปก็ดี เวทนาก็ดี สัญญา สังขาร วิญญาณก็ดี มันทำงานของมันตามหน้าที่ เราไม่มีในมัน ปล่อยให้มันเป็นมัน รับส่งหน้าที่กันเองเป็นทอดๆ เป็นเหตุเป็นปัจจัยต่อกัน (เราอยู่เฉยๆ เปล่าๆ เป็นเพียงสมมุติเรียกขันธ์ห้าเท่านั้น) ถ้ามีสติมาทันและรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะ จะเห็นขบวนการของขันธ์ห้าชัดและเห็นว่ามันเกิดดับทุกขันธ์ โดยเราบังคับบัญชามันไม่ได้ จึงเกิดปัญญาเห็นแจ้งว่าไม่มีเราในมัน และมันก็ไม่มีตัวตน จึงบังคับบัญชาตัวมันเองไม่ได้ สติหรือตัวกำหนดรู้หรือผู้ดูก็ไม่ใช่เรา เป็นส่วนของจิต ของธาตุรู้ ดูไปดูมาก็จะเกิดปัญญารู้แจ้งขึ้นมาเองและรู้ได้เองว่าผู้รู้ก็ไม่ใช่เราอีก เพราะบังคับบัญชาเขาไม่ได้เช่นเดียวกัน เขารู้ของเขาเอง และเกิดดับเอง จึงไม่มีเราในมันจริงๆ ทั้งกายและใจ จะดูแบบไหนอย่างไรก็ได้ให้เห็นว่าไม่มีเราในขันธ์ห้า และขันธ์ห้าก็ไม่มีตัวไม่มีตน จึงเกิดดับ และมีไม่จริง หมดทั้งเราหมดทั้งมัน ไม่เหลือการดูดผลักในใจ จึงจะเรียกว่าสอบผ่าน เห็นธรรมได้อย่างถูกต้องด้วยตนเอง เป็นปัจจัตตัง ต่อไปจะพ้นกามราคะได้ และทิ้งรูปทิ้งนามได้เด็ดขาด
ผู้ใหญ่มา :โอ...หลวงพ่อ ดูไปดูมามันชักจะยากขึ้นนะครับ
หลวงพ่อแช่ม :ก็อย่างนี้แหละ การเข็นครกขึ้นภูเขา ใครๆก็ย่อมรู้ว่ามันลำบาก ผู้ใหญ่จะกินอะไรให้อร่อย จะให้พ่อครัวปรุงเร็วๆ ลวกๆ ย่อมไม่ได้ พระอริยเจ้าแต่ละองค์ท่านก็ต้องอดทน ทนอย่างมาก เพียรอย่างมาก เพื่อจะไม่ต้องเกิดต้องตาย (ทางจิต) กันให้ได้ในชาตินี้ อย่าเชื่อตามคนอื่นว่า อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยในการปฎิบัติธรรมนะผู้ใหญ่ ถ้าใครบุกจริง เอาจริงในเรื่องนี้จะประสบผลสำเร็จทุกคน ทั้งๆที่ทุกเรื่องมีไม่จริงก็ตาม แต่เมื่อถึงนิพพานแล้ว จะรู้เองว่าได้รับผลนิพพานจริงๆ
ผู้ใหญ่มา :หลวงพ่อครับ ตั้งแต่ผมได้เรียนธรรมกับหลวงพ่อมาจนถึงบัดนี้ ก็ยังไม่นานนัก แต่รู้สึกว่าสบายกายสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
หลวงพ่อแช่ม :เออ... ที่ว่าสบายๆ นั้น ก็ยังไม่จริงนะ มันมีสบายมากกว่าที่โยมผู้ใหญ่คิดหรือรู้สึกอีกมาก ถ้าเห็นแจ้งจนถึงที่สุด หมดทุกข์ไปอยู่เหนือโลกพ้นโลกได้เมื่อไร เมื่อนั้นแหละผู้ใหญ่จะรู้ว่าถึงบางอ้อ
ผู้ใหญ่มา :ครับ หลวงพ่อ ผมพอจะเข้าใจ เรื่อง รูป นาม หรือกายกับใจ ว่ามันทำหน้าที่ของมัน ไม่ใช่เรา ซึ่งรู้ได้อย่างนี้ก็ทำให้รู้สึกสบาย ปลอดโปร่งใจไปมาก
หลวงพ่อแช่ม :แสดงว่ามีความรู้สึก เกิด—ตาย น้อยลงน่ะซี เมื่อก่อนมันวุ่นวายมากกว่าว่าง พอรู้จักตัวเองขึ้นก็เลยว่างมากกว่าวุ่น
ผู้ใหญ่มา :ผมกราบลาก่อนละครับ วันนี้คุยกันนาน ได้เนื้อหามากมายจริงๆ ผมต้องกราบขอบพระคุณหลวงพ่อ และเคารพนับถือเป็นอาจารย์ของผมโดยแท้จริง
หลวงพ่อแช่ม :“อย่ามีอาจารย์ในจิต อย่ามีลูกศิษย์ในใจ” นะผู้ใหญ่ มันเป็นของมันทั้งนั้น ขอให้เจริญในธรรมเถิด
----------------------
ไม่มีสัตว์ บุคคล ฯลฯ

คนไม่มีสัตว์ไม่มีที่ไหนไหน
แม้ต้นหมากรากไม้ไม่เห็นหน
ถ้าไม่ตั้งชื่อมันภาษาคน
ใครจะสนหรือไม่สนคนตั้งเอา
ตั้งแล้วยึดว่าเป็นจริงทุกสิ่งอย่าง
จึงหลงผิดติดทางอย่างโง่เขลา
เลยฆ่าแย่งแบ่งจองว่าของเรา
ผลสุดท้ายตายเปล่าเราไม่จริง
มาหลงตายหลงเกิดเลิศกว่าสัตว์
หลงสมบัติว่าดีดุจผีสิง
เลยทุกข์หนักท่วมท้นไม่พ้นจริง
ยังอวดหยิ่งว่าเลิศเกิดเป็นคน

กตธุโร


รู้จักขันธ์ห้า
ขอทุกคนอย่าเวียนวนบนขันธ์ห้า
ให้รู้ว่ามันเป็นมันทำงานอยู่
ให้เห็นว่าเวทนาสัญญาไม่ใช่กู
อย่าวนอยู่กับมันทุกขันธ์ไป
มันทำงานของมันทุกขั้นตอน
จะนั่งนอนยืนเดินเพลินไม่ได้
ถ้ามีเราเข้าร่วมสวมเมื่อไร
ตกนรกหมกไหม้ได้ทั้งวัน
วิญญาณกระทบพบสัญญาพาให้คิด
สัญญาจิตติดว่าสวยและสุขสันติ์
เวทนาร่วมพอใจให้ผูกพัน
วิญญาณใจรับรู้พลันเก็บทันที
ยามว่างนึกคิดอดีตสัญญา
ส่งต่อมาให้ปรุงซ้ำจำหมายรี่
เวทนาพอใจ สุขใจมี
ปรุงซ้ำซ้ำเช่นนี้มีหายเอง
ไม่มีคนวกวนปนขันธ์ห้า
ถ้าดูไปดูมาเหลือหน้าที่
หมดตัวเราตัวมันในทันที
ประคองขันธ์ดีดีจนหมดลม
บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๓
-----------------
ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีผู้ใหญ่ วันนี้ดูแต่งตัวแปลกไป ไปไหนมาหรือ?
ผู้ใหญ่มา :อ๋อ... นึกว่าอะไรที่หลวงพ่อทักผมว่าแปลก เครื่องแต่งตัวนี่เอง วันนี้ผมไปจังหวัดมาครับ ไปรับลูกชาย (ชื่อเมือง) เจ้าเมืองคนโปรดน่ะซีครับ มันไปนอนให้หมอรักษา ปะแข้งปะขาเสียหลายวันที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด สาเหตุจากปากมันไม่ดี ตั้งแต่จากหลวงพ่อไปคราวก่อน ผมไปขอซื้อต้นงิ้วยืนต้นต้นหนึ่งซึ่งตายลงที่หัวคอน ในที่นาของลุง หนอม แล้วก็ชวนลูกชายไปโค่นมาทำฟืนสำหรับให้แม่บ้านไว้ย่างปลาไปขาย พอดีไปพบลุงหนอมและหลานชายของเขา ซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายผม เขาก็มาช่วยโค่นด้วย
พอได้เวลาพักกินข้าวเช้าก็เลยชวนทุกคนกินข้าวด้วยกัน เผอิญผมปั้นข้าวไว้ ๓ ก้อน แล้วโยนออกไปนอกสำรับ เชิญเจ้าพ่อ เจ้าท่า เจ้าป่า เจ้าดง มาร่วมรับประทานด้วย และบอกทุกคนว่าอย่าได้ถือสาเลย แต่แล้วลูกชายผมเกิดอุตริทำตามผมบ้าง และใช้คำพูดที่ไม่ค่อยเพราะ จนลุงหนอมฟังแล้วสะดุ้งสุดตัว และสั่งให้ลูกชายผมขอโทษเจ้าทั้งหลายเสีย ลูกชายผมไม่ยอมขอโทษ แต่กลับหัวเราะจนงอหงายและทำท่าเย้ยฟ้าท้าดินใส่เสียด้วย จึงได้รับผลตามมา
หลวงพ่อแช่ม :โยมผู้ใหญ่ดื่มน้ำชาเสียก่อนเถอะ คงจะคอแห้งแล้ว เดี๋ยวค่อยเล่าต่อ ชักจะไปกันใหญ่แล้วซี!
ผู้ใหญ่มา :ครับหลวงพ่อ เมื่อกินข้าวกินปลาเรียบร้อยแล้ว ก็ชวนกันเลื่อยไม้ต่อไป แต่มันเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น คือไม้ไม่ล้มไปทางที่ต้องการซิครับ
หลวงพ่อแช่ม :อ้าว! แล้วล้มไปทางไหนล่ะ เกิดอะไรขึ้น!
ผู้ใหญ่มา :ความจริงต้นงิ้วต้นนี้ใหญ่มาก ใต้ต้นมันมีจอมปลวกใหญ่อยู่ ๑ กอง ใครก็นึกไม่ถึงว่ามันจะล้มไปทางจอมปลวก แต่มันก็ไปทางนั้นจนได้ และเจ้าเมืองลูกชายผมก็เผอิญหนีออกทางนั้นพอดี ก็เลยได้เรื่อง โชคดีที่เจ้าพ่อวังอ้ายด่างท่านปรานีสั่งสอนให้นิดให้หน่อยพอหอมปากหอมคอ จึงไปนอนที่โรงพยาบาลลพบุรีเพียงอาทิตย์เดียว เพื่อรักษาแผลที่ได้รับบาดเจ็บ ผมเพิ่งแวะไปรับเขาออกจากโรงพยาบาลวันนี้เอง แล้วเลยมากราบหลวงพ่อนี้แหละครับ
หลวงพ่อแช่ม :เออ... หมดเคราะห์หมดโศกกันเสียทีนะผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่มา :ยังไม่แน่หรอกครับหลวงพ่อ ทำไมหลวงพ่อจึงว่าหมดเคราะห์ละครับ เคราะห์คืออะไร มันมีด้วยหรือครับ.ก็ไหนว่ามันเป็นของมันทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?
หลวงพ่อแช่ม :เปล่าๆ โยมผู้ใหญ่ หลวงพ่อหมายถึงการใช้ภาษาแบบคนๆ น่ะ และพูดตามของเก่าที่พูดกันไว้ จริงๆ แล้วมันก็เป็นมันนั่นแหละ เพราะทำเหตุอย่างนี้ สิ่งนี้ก็ต้องเกิดขึ้น และรับผลไปตามเหตุไงล่ะผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่มา :อ้อ... ผมเข้าใจละครับ ทุกสิ่งเป็นไปตามเหตุ แต่ตอนนี้ลูกชายผมเกิดเชื่อสนิทเลยว่า ที่ต้นงิ้วฟาดเอามันเข้า เพราะฝีมือเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าอะไรนั่นจริงๆ มันจึงไปบอกแม่ให้ทำขนมปลากริมไข่เต่า ขนมต้มแดง-ต้มขาว อย่างละ ๑ ที่ไปถวายเจ้าพ่อวังอ้ายด่างในวันรุ่งขึ้นที่กลางทุ่งนั้น หลวงพ่อก็ทราบใช่ไหมครับว่าศาลเจ้าพ่อนี้คนเคารพและเชื่อถือมาก หลวงพ่อจะให้ผมทำอย่างไรดีครับ?
หลวงพ่อแช่ม :ก็ไม่ต้องกังวลหรอกโยมผู้ใหญ่ ทำก็ทำซิขนมน่ะ ดีเสียอีกเราจะได้พลอยกินอิ่มไปด้วย แต่อย่าส่งเสริมหรือห้ามเขา ทำเฉยๆ เสียก็สิ้นเรื่อง
ผู้ใหญ่มา :ครับ ก็ดีเหมือนกัน แต่ผมขอถามหน่อยเถอะครับว่าเจ้าพ่อหรือพวกเจ้าพวกผีนี่มีจริงไหม?
หลวงพ่อแช่ม :เรื่องทรงเจ้าเข้าผี เขาก็ทำกันอยู่ทั่วไป เราจะไปห้ามเขาได้อย่างไรล่ะ เราเพียงมาทำความเข้าใจว่า คนมีไหม? ถ้ามีคน ก็มีผี มีเจ้า ทั้งนั้นแหละผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่มา :อ้าว! ถ้าคนไม่มีล่ะ ผีจะมีไหม?
หลวงพ่อแช่ม :ถ้าไม่มีคน ผีหรือเจ้าทั้งหลายก็ไม่มีน่ะซี
ผู้ใหญ่มา :ผมชักงงครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อแช่ม :ไม่ต้องงง ผู้ใหญ่ฟังให้ดีนะ เพราะมีคน คนจึงตั้งทุกสิ่งทุกอย่างและให้ชื่อไว้ว่าเป็นอะไร เช่นให้ชื่อว่า “ผี” ตามที่คนรู้สึกว่ามี ให้ชื่อว่า “เจ้าที่เจ้าทาง” ตามที่เชื่อถือกัน และไปให้ชื่อรถ ชื่อขนม อะไรต่อมิอะไรอีกมากมายเต็มโลกไปหมด
ผู้ใหญ่มา :อ้อ... ผมเข้าใจแล้วครับ มันเป็นอย่างนี้เอง ถ้าไม่มีคน ใครจะตั้งขึ้น ใครจะรู้ว่ามันเป็นอะไร? มันเกิดขึ้นเพราะธรรมชาติอย่างหนึ่ง เพราะคนตั้งเอาเองอีกอย่างหนึ่ง ที่คนตั้งเอามันมีไม่จริงใช่ไหมครับ? มันเป็นสิ่ง สมมุติ เท่านั้นเอง
หลวงพ่อแช่ม :อือ... ใช่ ผู้ใหญ่เข้าใจธรรมชาติและสมมุติแล้วว่าอยู่ในสิ่งเดียวกัน แต่ธรรมชาติไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร สมมุติเท่านั้นที่ไปตั้งชื่อให้ธรรมชาติ เรียกธรรมชาติว่าเป็นนั่นเป็นนี่
ผู้ใหญ่มา :ทำไมเขาไม่บอกกันแต่ต้นละครับหลวงพ่อ คนจะได้ไม่หลง
หลวงพ่อแช่ม :อ้าว! ก็เขาไม่รู้กันนี่นา เพราะ อวิชชา ไงล่ะ อวิชชาแปลว่าไม่รู้ตามที่เป็นจริง พ่อแม่เป็นอวิชชาต้นเงื่อนที่ผูกมาก่อน จะต้องแก้ที่พ่อแม่ คือ อวิชชาต้น ภาษาธรรมเขาจึงบอกให้ ฆ่าพ่อฆ่าแม่เสีย หมายถึง ฆ่าอวิชชานะ ถ้าฆ่าอวิชชาในพ่อในแม่ได้ ลูกก็จะได้รับการสั่งสอนให้หมดอวิชชาไปด้วย
ผู้ใหญ่มา :อ้อ... โล่งอกไปที ผมเพิ่งทราบวันนี้เอง มัวแต่โง่งมงายอยู่กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แก่จวนจะเข้าโลงอยู่แล้ว ยังไม่รู้อะไรถูกต้องในชีวิตเลย น่าสมเพชแท้ๆ
ทั้งหลวงพ่อแช่มและผู้ใหญ่มาต่างสนทนากันด้วยความเข้าอกเข้าใจและสดชื่นเบิกบานในธรรม แต่แล้วก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งวิ่งขึ้นบันไดกุฏิมาอย่างรวดเร็ว และหยุดอยู่ตรงหน้า พร้อมกับระล่ำระลักกล่าวว่า
“ตอบผมมาเร็วๆ นะครับหลวงลุง ถ้าไม่ตอบให้ผมรู้เรื่องในวันนี้ผมไม่ยอมเด็ดขาด ผมฟังมาหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่ผู้ใหญ่มา มาในวันแรก แต่ผมมัวเล่นหมากรุกเพลินไปใต้ถุนกุฏินี้ จึงไม่ได้ติดใจที่จะถาม ที่หลวงลุงบอกว่าไม่มีผี ไม่มีคน ไม่มีอะไร อะไรๆ ก็ไม่จริงนั้น ผมฟังจนเบื่อจะแย่อยู่แล้ว หลวงลุงช่วยตอบ “อ้ายฉุย” หลานชายให้ชื่นใจสักครั้งเถิดว่า “ผีมันมีจริงหรือไม่?”
หลวงพ่อแช่ม : นั่งลงๆ ใจเย็นๆ อ้ายฉุย ฟังข้าให้ดีนะ วันนี้ เอ็งจะต้องเลิกดื่มเหล้าได้แน่ๆ ถึงเวลาของเอ็งแล้ว ข้าขอถามว่าเอ็งสร่างเมาและเบื่อเหล้าบ้างหรือยัง?
ทิดฉุย :จวนแล้วครับหลวงลุง
หลวงพ่อแช่ม :ไหน... เอ็งแอบฟังธรรมที่ข้าคุยกับโยมผู้ใหญ่ แล้วยังไม่เข้าใจตรงไหนหรือ?
ทิดฉุย :ผมเข้าใจครับหลวงลุง แต่หลวงลุงบอกว่าผีไม่มี เจ้าก็ไม่มี ลุงผู้ใหญ่เป็นพยานให้ผมด้วยนะ ผมว่าผีมีและเจ้าทั้งหลายก็มีจริง คราวนี้หลวงลุงแพ้ผมแน่
หลวงพ่อแช่ม :เอ็งฟังให้ดีนะ เรียนธรรมะนั้น เขาไม่ได้เอาแพ้เอาชนะกัน เขาเรียนให้พ้นทุกข์ ให้ว่าง ให้เบา ให้สงบเย็น ไม่ถูกกิเลสผูกพันร้อยรัดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอย่างเอ็ง มีแต่ตาย-เกิดๆ ในใจทั้งวัน
ทิดฉุย :แล้วผีมีจริงไหมครับหลวงลุง?
หลวงพ่อแช่ม :ก็ข้าตอบเอ็งแล้วไงล่ะ ถ้ามีคนก็มีผี ถ้าเอ็งยังไม่เข้าใจ ข้าจะเสียเวลาพูดกับเอ็งอีกครั้ง เผื่อจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง คืออย่างนี้นะ! ฟังให้ดี ผีหรือเจ้านั้น เขาจะมีก็เป็นเรื่องของเขา เขาต้องรับกรรมไปตามเหตุที่กระทำไว้ในอดีต และรอที่จะไปเกิดใหม่เหมือนกัน เขามีกรรมอยู่แล้วจึงไม่คิดจะสร้างกรรมชั่วอีก เอ็งเคยเห็นผีไปหลอกหรือหักคอคนที่ไหนบ้างล่ะ เจ้าฉุย?
ทิดฉุย :ไม่เคยเลยครับ
หลวงพ่อแช่ม :อ้าว! ถ้าอย่างนั้นเอ็งกลัวผีทำไมล่ะ? เอ็งสร้างความนึกคิดเอาเองใช่ไหมว่าผีจะหักคอบ้าง ผีจะมาแหวกอกบ้าง ตามที่จดจำมาจากคำบอกเล่าของผู้ใหญ่คนก่อนๆ ที่เกิดก่อน แล้วเอ็งก็เลยเชื่อไปหมดและรู้จักกลัว รู้สึกกลัวใช่ไหม?
ทิดฉุย :ถ้าหมดผมที่กลัว ผีจะไม่ทำอะไรผมหรือหลวงลุง?
หลวงพ่อแช่ม :เออ... ไม่ทำแน่ ไม่งั้นเวลาข้าเข้าไปในป่าช้าตอนกลางคืน ผีก็เล่นงานข้าแย่แล้วซิ ข้าจะมานั่งพูดอยู่กับเอ็งอย่างนี้ได้หรือ?
ทิดฉุย :ผมทราบแล้วครับหลวงลุง ที่กลัวนั้นเพราะผมไปจำเขามา ไม่ใช่ผมกลัวเอง เอ! ผมพูดว่าไม่ใช่ตัวผม เอ๊ะ! ที่กินเหล้าอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ใช่ผมน่ะซี ใช่ไหมหลวงลุง?
หลวงพ่อแช่ม :ใช่แล้ว ไม่ใช่เอ็งหรอกที่กินเหล้า ถ้าเป็นเอ็งจริงก็สั่งมันได้ซิว่าหยุดกินได้แล้ว มันไม่ยอมฟังเอ็งใช่ไหม? หรือเอ็งจะบังคับมันว่าให้หยุดกินข้าวสัก ๓-๔วัน มันทนได้ไหม ถ้าหิวมันจะวิ่งไปหากินของมันเอง โดยไม่ฟังเอ็งหรอก
ทิดฉุย :อ๋อ!.. หลวงลุง ผมรู้แล้ว ถ้าอย่างนั้นมันก็กินเหล้าเองด้วยใช่ไหม? ไม่ใช่ผม
หลวงพ่อแช่ม :เออ... มันทำของมันทั้งนั้น แล้วมันก็พังไปเอง เราช่วยอะไรไม่ได้เลย เพราะเราเป็นเพียงสมมุติที่ใช้เรียกมัน แต่ใจที่อาศัยกายจะรู้สึกหิวและสั่งกายช่วยกายเท่าที่มันจะทำได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ทั้งกายและใจเป็นเรื่องของธรรมชาติ เขาเกิดมา ถูกสร้างมา แล้วก็เปลี่ยนไปทุกขณะ ยึดไม่ได้รู้ไหมอ้ายฉุย?
ทิดฉุย :ครับ หลวงลุง ผมเห็นชัดขึ้นแล้ว ต่อไปผมจะไม่ดื่มเหล้าฆ่ากายอีกเลย ทำให้มันเหนื่อยและทรุดโทรมเปล่าๆ ผมเห็นผิดไปเสียนาน ถ้าไม่ได้หลวงลุงเปิดตาใจให้ ผมก็คงตายทั้งเป็นอยู่ต่อไป ผมขอกราบหลวงลุงด้วยความเคารพจากใจ และขอฝากตัวเป็นศิษย์เรียนธรรมกับหลวงลุงตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมไม่เคยได้ยินที่ไหนเขาบอกเขาสอนกันอย่างนี้ ไม่งั้นผมก็จะเป็นคนดีไปนานแล้ว
ผู้ใหญ่มา :ผมนั่งฟังมานานแล้ว อดไม่ได้ที่จะพูดว่า ก็อาจารย์อื่นท่านสอนแบบของท่าน ท่านสอนตามที่ท่านท่านเข้าใจ จะให้เหมือนกันได้อย่างไร? ก็เหมือนกับหลานฉุยนั่นแหละ เมื่อไม่รู้ก็ดื่มเหล้าตามคนอื่นเขา พอรู้ก็เลิกดื่ม และหันมาเรียนรู้ในสิ่งที่ถูกที่ควรต่อไป
ทิดฉุย :ครับลุงผู้ใหญ่ ผมจะเป็นคนดีเสียที
ผู้ใหญ่มา :ผมขอกราบลาก่อนนะครับหลวงพ่อ ขออนุโมทนากับหลานฉุยด้วย
ทิดฉุย :สวัสดีครับลุงผู้ใหญ่ ขอบคุณมากครับ
หลวงพ่อแช่ม :เอาๆ... โยมผู้ใหญ่ กลับก็กลับ ไม่กลับก็ไม่กลับ ขอให้เจริญ ๆ เถิด
ทิดฉุย :เอ๊ะ! ทำไมหลวงลุงพูดแบบนี้อีกนะ ผมงงอีกแล้ว “ไม่มีมา ไม่มีไป” ไม่เห็นเข้าใจเลย
หลวงพ่อแช่ม :อ้าว! มันก็เป็นอย่างนี้จริงๆ นี่นา ถ้าคนไม่พูดก็ไม่มีคำพูดน่ะซี มีแต่อาการเท่านั้นที่ธรรมชาติเขาทำ เขาเปลี่ยนแปลง
ทิดฉุย :อ๋อ... ผมเข้าใจแล้วครับ ที่พูดมาเรื่องไม่จริงทั้งหมดเลย เพราะพูดเอาตามสมมุติ
ทั้งผู้ใหญ่มาและทิดฉุยต่างรู้สึกโล่ง โปร่งเบาไปตามๆกัน บทมันจะรู้ก็รู้ขึ้นมา แปลกจริงๆ หลวงพ่อแช่มก็พลอยสบายใจและอนุโมทนาสาธุให้
--------------------
อย่ามัวเสียเวลา

ถ้าเพียรทำตามเขาบอกล้วนนอกเรื่อง
จึงสิ้นเปลืองเวลาหาธรรมได้
มาเรียนธาตุเรียนธรรมความเกิดตาย
จนกายใจหมดกิเลสเหตุเกิดมา
ยังเป็นคนจริงหรือชื่อที่ตั้ง
สิ่งทุกสิ่งยิ่งพังยังให้ค่า
สัตว์ไม่จริงคนไม่จริงสิ่งเกิดมา
แต่ก็มีดังว่าเต็มบ้านเมือง
ไม่ขัดขืนยืนตามความสมมุติ
จึงไม่หลุดพ้นทุกข์-สุข ทุกทุกเรื่อง
ทะลายสมมุติให้ได้เหมือนทะลายเมือง
จึงจบเรื่องเรียนธรรมย่ำเกิดตาย

กตธุโร
คนไม่มีจริง

เห็นว่าคนเป็นคนเป็นผลเสีย
มันละเหี่ยกายใจมือไม้สั่น
คิดกลัวผีหักคอหลงพอกัน
เพราะฉะนั้นต้องฆ่าคนจะพ้นภัย
อย่าเพิ่งฆ่าผู้อื่นมันฟื้นอีก
มันหลบหลีกหายหน้าแล้วมาใหม่
จะต้องฆ่าตัวเราเอาใส่ไฟ
มันจะตายไม่ฟื้นคืนเป็นคน
หลงดื่มเหล้าฆ่าตัวทั้งกลัวผี
เพราะยังมีอวิชชาพาฉ้อฉล
กายถูกเผาเมาสุราท่าพิกล
กายไม่บ่นทนทุกข์ต่อคนล่อไป
พอหมดตัวหมดตนหมดคนแล้ว
จิตผ่องแผ้วบริสุทธิ์ดุจเดือนฉายss
หมดเกลียดกลัวตัวสั่นหมายมั่นคลาย
หมดอบายกายใจปลอดรอดบ่วงกรรม

กตธุโร
บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๔
------------------------
ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ อ้าว... นั่นใครกันที่เดินตามหลังมา
ครูพนม :นมัสการครับหลวงพ่อ ผมชื่อ “พนม” ครับ เป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดคุ้งนามอญนี่เอง และโรงเรียนนี้ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่มาครับ
หลวงพ่อแช่ม :อ้อ... เป็นถึงครูใหญ่ ดูหน้าตายังหนุ่ม คงจะมีอายุไม่มากนะผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่มา :ครับ หลวงพ่อ สมัยนี้เขาเรียนหนังสือกันตั้งแต่อายุน้อยๆ จึงได้เป็นใหญ่เป็นโตกันเร็ว วันนี้ครูพนมมีปัญหาจะมาถามหลวงพ่อครับ
ครูพนม :ครับหลวงพ่อ ผมมีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัว คือผมแต่งงานมาได้ ๕ ปีแล้ว แต่ยังไม่มีบุตร จึงคิดว่าทำอย่างไรจึงจะมีบุตรได้สืบตระกูลสักคนในเร็วๆ นี้ เผอิญมีเพื่อนแนะนำว่าให้ไปติดต่อลูกสาวผู้ใหญ่อีกคนหนึ่งใกล้ๆ หมู่บ้านนี้ ผมเองยังไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องนี้ และไม่คิดจะมีภรรยาใหม่อีกคนหนึ่ง เกรงว่าจะมีปัญหายุ่งยากตามมา จึงได้มาปรึกษากับผู้ใหญ่มา และท่านแนะนำให้มาพบหลวงพ่อนี่แหละครับ
ผู้ใหญ่มา :ผมเตือนเขาว่า อย่าหาเรื่องเลย เพราะภรรยาน้อยภรรยาหลวงนั้น ถ้าอยู่บ้านเดียวกันหรือแม้แต่อยู่คนละบ้าน ก็จะมีปัญหายุ่งยากมาก ขอให้รอไปอีกสักหน่อยอาจจะมีลูกได้ ลองปรึกษาแพทย์เขาดูว่ามีโอกาสไหม ใครเป็นหมันกันแน่ หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อาจจะยังไม่สมบูรณ์พอก็เป็นได้
ครูพนม :คืออย่างนี้ครับ ผมยังไม่ได้พูดคุยกับภรรยาเลยในเรื่องนี้ ถ้าผมไม่หาภรรยาใหม่ ก็อยากจะให้กามหมดไปเลยจากจิตจากใจ จะได้ไม่ยุ่งยาก
หลวงพ่อแช่ม :อ๋อ... ปัญหามันอยู่ตรงนี้เองหรือ อาตมาเข้าใจแล้ว แต่ครูยังไม่รู้ว่าตัวเองไม่เข้าใจเรื่องกาม จะทิ้งกามหนีกามทันทีคงจะไม่ได้ ต้องมาปฎิบัติธรรมถึงขั้นที่ละ สักกายทิฎฐิ (ละตัวตน ทิ้งกายได้เพราะเห็นว่ากายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา) ได้ก่อน แล้วจึงจะละความสงสัยในตัวตน (วิจิกิจฉา) และไม่หลงปฎิบัติตนตามที่เคยปฎิบัติมาอย่างผิดๆ และงมงายมาก่อน (สีลัพพตปรามาส) ต่อไปจึงจะไปถึงขั้นละ กามราคะ และออกจากกามได้
ครูพนม :แล้วผมจะปฏิบัติตัวอย่างไรครับ หลวงพ่อ
หลวงพ่อแช่ม :ปฏิบัติตามปกติอย่างที่เป็นอยู่นั่นแหละ มีภรรยาก็ทำหน้าที่สามีไปให้ถูกต้องตามสมมุติ ซึ่งแปลว่าไม่จริงไงล่ะ โดยไม่ทำให้ธรรมชาติข้างในเดือดร้อน
ครูพนม :หมายความว่าอย่างไรครับหลวงพ่อ ทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าถูกต้อง?
หลวงพ่อแช่ม :มันจะยากอะไรล่ะ ครูพนม ครูและภรรยาต่างก็เป็นสมมุติที่ครอบธรรมชาติจริงๆ ซึ่งอยู่ข้างใน การแสวงหากามเป็นเรื่องของธรรมชาติที่มีตามเหตุตามปัจจัยของเขาโดย สัญชาตญาณ เราจะบังคับหรือห้ามเขาไม่ได้ เมื่อถึงเวลาเขาจะหยุดเอง แต่หมายความว่าต้องไม่มีเหตุอย่างอื่นนอกเหนือจากธรรมชาติเดิมๆ เข้าไปปรุงแต่งให้เป็น กามตัณหา หรือ กามราคะ ถ้าเป็นแบบนี้ย่อมเดือดร้อนแน่นอน
ขอให้ครูคิดเสียว่าครูมีจานข้าวพิเศษอยู่หนึ่งใบ สำหรับไว้ใส่อาหารธรรมชาติที่ปรุงขึ้นมาชั่วครั้งชั่วคราวโดยธรรมชาติ แล้วรับประทานร่วมกันกับภรรยาเป็นเสมือนยาชูกำลังขนานหนึ่ง พออิ่มแล้ว ก็จัดการล้างจานเก็บไว้ให้เรียบร้อย และถ้ามีการปรุงใหม่ก็นำจานมาใช้ใหม่ รับประทานร่วมกันใหม่ในเวลาอันสมควรตามเรื่องธรรมชาติ ก็จะหมดปัญหา อย่าคิดหาใบใหม่จนกว่าใบเก่าจะแตก หรือหากเลิกลิ้มรสอาหารชนิดนั้นได้ก็ไม่ต้องหาใหม่เลย
ครูพนม :ผมพอจะเข้าใจแล้วครับ เพียงใช้ตามที่ธรรมชาติเรียกร้องเองใช่ไหมครับ?
หลวงพ่อแช่ม :ใช่แล้ว ถ้าจะให้ออกจากกามหรือเลิกใช้จานใบนั้น ต้องเข้าใจรสของอาหารและความรู้สึกในรส (เวทนาพอใจ-ไม่พอใจ หรืออาการดูด-ผลัก) ให้ได้เสียก่อนว่ามีไม่จริง เวทนาโดยธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่งด้วยสัญญาโมหะ หรือสัญญาอุปาทานจะเป็นกลางๆ ไม่เดือดร้อนหรือยินดียินร้าย แต่ถ้าใส่สัญญาพอใจปรุงเข้าไปในรสนั้น จะทำให้เกิดอัตตา (ตัวตน) พอใจ และเกิดตัณหา (ความอยาก) จึงเป็นเหตุให้แสวงหาไม่หยุดหย่อน กลายเป็น กามราคะ เป็นเหตุให้คนเกิดๆ ตายๆ กันอยู่เรื่อยๆ เพราะโหยไห้ในกามเกินขอบเขตและใช้จานผิดกาละเทศะ
ผู้ใหญ่มา :ทำอย่างไรจึงจะหมดเวทนา ดูด-ผลักครับหลวงพ่อ ผมกำลังสนใจและปฏิบัติในขั้นนี้อยู่
หลวงพ่อแช่ม :ใช่แล้ว โยมผู้ใหญ่ออกจากกายได้แล้ว เพราะเห็นว่ากายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่กาย และไม่มีเราในกาย ต่อมาหลวงพ่อก็พูดให้ฟังว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ไม่ใช่เรา ฝ่ายใจทั้งหมดไม่ใช่เรา-ไม่ใช่ของเราเช่นเดียวกัน ต้องปฏิบัติให้เห็นว่ามันเป็นสักแต่ว่าเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และมันเป็นของมันทั้งหมด
ผู้ใหญ่มา :ก็เข้าใจละครับว่ามันเป็นมัน แต่เวลาข้องแวะกามอยู่เราจะทำอย่างไรกับมันละครับ?
หลวงพ่อแช่ม :ก็มันเป็นมันไม่ใช่หรือ? กายเป็นธาตุ อาหารก็เป็นธาตุ อารมณ์ทั้งหลายก็เป็นธาตุ ธาตุต่อธาตุกระทบกัน ล้วนเป็นไปตามธรรมชาติของเขา ไม่ใช่กายของเรา ไม่ใช่ใจของเรา เราไม่มีในกาย เราไม่มีในใจ ที่กระทำต่อกัน สัมผัสกัน เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นเอง เพียงแต่มีสติกำหนดรู้ และดูให้รู้เห็นการทำหน้าที่ของธรรมชาติก็แล้วกัน มันจะมีปฏิกิริยาเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะดูดหรือผลัก “อย่ามีเราเข้าไปในเวทนานั้นๆ”
ธรรมชาติแท้ๆ เขาไม่รู้ว่าอย่างไรพอใจ อย่างไรไม่พอใจ มีแต่อาการซึ่งเป็นอย่างนั้น แต่ถ้ามีเราเข้าไปในความรู้สึกนั้น ไปใส่สัญญาพอใจหรือไม่พอใจให้เขารู้จักและยึดถือ ธรรมชาติจึงรู้สึกพอใจไม่พอใจขึ้นมาตามสัญญาที่ใส่ให้ ส่งให้นั้นเอง เมื่อมีเราเข้าไปในความรู้สึกและยึดถือด้วย จึงมีเราพอใจ-ไม่พอใจขึ้นมา
ผู้ใหญ่มา :อ๋อ... ผมเข้าใจแล้วครับ การออกจากกามเป็นอย่างนี้เอง ต้องเข้าไปดู รู้ เห็นความจริงของเหตุปัจจัยที่ส่งมาให้เกิดเวทนา เมื่อรู้จักเหตุ เห็นเหตุว่าคือสัญญาที่คนตั้งเอายึดถือเอา เลยกลายเป็นเราเข้าไปอยู่ในเวทนาของธรรมชาติ มีเราดูด-ผลักอยู่เรื่อย ทั้งๆ ที่เราและสัญญาสมมุติต่างๆ ก็มีไม่จริง ในที่สุดก็ไม่ยอมออกจากมัน แต่ไปหลงยึดว่ามันเป็นเรา-เป็นของเรามานานแล้ว จึงออกจากมันได้ยาก ถ้าไม่ยึดเหตุว่าเป็นจริง ก็จะออกจากกามราคะได้ เป็นอันว่าหมดเราในกาม
หลวงพ่อแช่ม :เรื่องกามไม่ได้หมายถึงกามทางเพศเท่านั้นนะ กามคุณทั้งหลายทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไปยึดว่าเป็นเรามีกาม อยากได้กาม ก็จะพากันยึดติดกามมาเป็นของเรา และถอนออกจากมันได้ยาก จะต้องเห็นแจ้งแบบกามราคะทางเพศนั่นแหละ จึงจะออกจากกามได้หมด เรียกว่าหมดกามราคะ ครูพนมเข้าใจไหม? การจะทิ้งกามหนีกามไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นา
ครูพนม :แล้วผมจะทำอย่างไรละครับหลวงพ่อ?
หลวงพ่อแช่ม :ครูยังไม่ได้เริ่มต้นเรียนรู้อะไรเลย จะปฏิบัติขั้นนี้เลย คือออกจากกามราคะยังไม่ได้ ต้องใจเย็นๆ เรียนรู้ขันธ์ห้าเสียก่อน ให้รู้ว่ากายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย ไม่มีเราในกาย ไม่มีกายในเรา ให้รู้จักทิ้งตัวตนออกจากกายให้ได้เสียก่อนแล้วจะรู้ เห็น และเข้าใจธรรมขึ้นเรื่อยๆ
ครูพนม :เอาละครับหลวงพ่อ ผมขอกราบขอบพระคุณอย่างยิ่ง แค่นี้ผมก็เริ่มจะมี หู ตา สว่างขึ้นแล้ว ผมสัญญาว่าจะมาเรียนธรรมกับหลวงพ่อต่อไป และจะปฏิบัติหน้าที่ของสามีโดยสมมุติให้ถูกต้อง เหมือนกับการบริโภคอาหารที่หลวงพ่อสอน โดยใช้จานธรรมชาตินี้อย่างถูกต้องเหมาะสม พอเหมาะ พอควร ตามธรรมชาติ และไม่คิดจะหาจานใหม่มาสำรองไว้ในบ้านให้ยุ่งยากอีก ทั้งไม่ยึดจานใบเก่าและอาหารในจานว่ามีตัวตน-เป็นของตนด้วย แต่ผมต้องปฏิบัติจริงๆ ให้ได้จากใจใช่ไหมครับ? จึงจะรู้ว่าออกจากกาม เอาชนะกาม และไปอยู่เหนือกามได้
หลวงพ่อแช่ม :อือ... ดีแล้ว ที่ครูพนมฟังรู้เรื่องและเข้าใจ ถ้าสนใจจะปฏิบัติให้เห็นธรรมแจ้งชัดจากใจตามความเป็นจริง ขอให้มาพบหลวงพ่ออีกจะได้คุยกันใหม่
ผู้ใหญ่มาและครูพนม :ผมกราบลาละครับหลวงพ่อ ขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูง
หลวงพ่อแช่ม :สาธุ จำเริญๆ เถิด
-------------------



Create Date : 20 สิงหาคม 2554
Last Update : 20 สิงหาคม 2554 2:21:43 น. 1 comments
Counter : 1927 Pageviews.

 


โดย: amulet108 วันที่: 15 พฤษภาคม 2555 เวลา:6:42:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jesdath
Location :
เชียงราย Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
20 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jesdath's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.