การแพทย์แบบรวมมิตรวิทยา-ตอนจบ-ทุกคนควรอ่าน

------------อยากติดตามทั้งหมด เอกสารทั้งสามชิ้น ขอให้อ่านได้ที่เว็ปญาณทิพย์--
หน้าที่ 33 เป็นต้นไปครับ
-- //www.yantip.com/board/viewthread.php?tid=9664
---------------------------------------
"ในเจ็ดวันนี้ เราขอให้ท่านส่งเจ้ากรรมนายเวร"
"ส่งเจ้ากรรมนายเวร ?"
"ใช่ ให้ท่านนั่งสมาธิเจ็ดวัน เวลาใดก็ได้ เป็นเวลานานเท่าไหร่ก็ได้ จะสิบห้านาที หรือ ครึ่งชั่วโมง แล้วแต่ท่านจะเห็นเหมาะสม แล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่เข้ามาเกาะสังขารของท่าน ให้เขาละจากกายท่าน เมื่อทำครบเจ็ดวันแล้ว วันที่แปดให้ท่านไปใส่บาตร อุทิศบุญให้เขา"
"ท่านนั่งสมาธิเป็นหรือไม่ ?"
"เป็นครับ"
"เช่นนั้น ท่านจงทำตามที่เราแนะนำตามนั้นก่อน ปัญหาเรื่องสังขารของท่านนั้น ยังมีอีกมากมาย หากท่านมิรีบแก้ไขเสียตั้งแต่ยังหนุ่ม ยามชราท่านจะลำบาก"
"สังขารของผมมีอะไรผิดปกติเหรอครับ ?"
"มี ความจริงท่านมิใช่ธาตุดิน ท่านรู้หรือไม่ ?"
"ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าผมเป็นคนธาตุอะไรครับ ? มันสำคัญกับเรื่องสุขภาพของผมหรือครับ ?"
"ใช่ เพราะท่านมีธาตุที่ไม่สมดุลในกาย เวลามีสิ่งที่ติดสังขารท่านมาจากภายนอก ร่างกายท่านจะรับไม่ได้ มันจะฝังลงในเส้นสาย และ ไขกระดูก"
"สิ่งที่ติดสังขาร ? อย่างเช่นเจ้ากรรมนายเวรใช่หรือไม่ครับ ?"
"ใช่ นั่นเป็นเพียงเรื่องหนึ่ง แต่ท่านจะเล่าให้เราฟังได้หรือไม่ว่า ปกติ ท่านดำเนินชีวิตอย่างไร เหตุใด สังขารท่านถึงรับของติดค้างมามากมายเช่นนี้ ?"
"ครับ ถ้าหมายถึงเจ้ากรรมนายเวรครั้งนี้ ผมใช้ลูกดิ่งไปตรวจสุขภาพให้คนอื่น แล้วไม่ได้ขออนุญาตเจ้ากรรมนายเวรของเค้าก่อน ก็เลยโดนเล่นงานครับ"
"ท่านใช้สิ่งใด ทำอะไร ?"
"ลูกดิ่งครับ ลูกดิ่งเป็นก้อนหินแล้วก็มีสร้อยผูกไว้ ใช้ทำนายอะไรก็ได้ครับ แต่ผมจะใช้ทำนายสุขภาพ"
"ทำนายอย่างไร ?"
"ต้องใช้จิตถามครับ แล้วลูกดิ่งจะตอบโดยการแกว่ง"
"ใช้จิตถาม ใช้พลังจิตนี่เอง"
"เพราะท่านใช้สิ่งนั้น ท่านจึงต้องรับสิ่งติดค้าง สัมภะเว ฯ เบี้ยใบ้รายทาง มาสะสมอยู่ที่เส้นเอ็น และ กระดูกของท่าน เพราะสิ่งนั้น ทำให้ท่านรู้ในสิ่งที่หมอทั่วไปไม่รู้ ใช่หรือไม่?"
"ใช่ครับ"
"สิ่งที่เจ้ากรรมนายเวรของคนป่วยบังตาหมอได้ แต่บังท่านมิได้ ถ้าท่านยังใช้วิชานี้ สังขารท่านก็จะแย่ลง พลังของท่านจะลดลงเรื่อย ๆ"
"แสดงว่า ทุกคนที่ใช้วิชาลูกดิ่งนี้ ก็จะมีสุขภาพแย่ไปด้วยทุกคนใช่มั้ยครับ ?"
"มิใช่ เราพูดถึงตัวท่านเท่านั้น เพราะธาตุในกายท่านไม่สมดุล ท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านธาตุอะไร แล้วท่านจะรู้วิธีสร้างสมดุลธาตุในกายได้อย่างไร ? เมื่อธาตุในกายท่านไม่สมดุล พลังของท่านจะน้อย สิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ จึงเข้ากายท่านได้โดยง่าย ภูมิคุ้มกันของท่านจึงต่ำ"
"พลังน้อย จะทำให้ผมใช้งานลูกดิ่งไม่แม่นยำ เกี่ยวกันมั้ยครับ ?"
"แน่นอน พลังสะสมท่านไม่มี ทุกครั้งที่ท่านใช้วิชาของท่าน มันจะดึงพลังมาจากไขกระดูกแทน ทำให้ท่านอ่อนแอ เปิดโอกาสให้สิ่งอื่นแทรกสังขารท่านได้ง่าย เช่น บังไช"
"บังไช คือ อะไรครับ ?"
"บังไช มีลักษณะเป็นละอองเล็ก ๆ เข้าทางผิวหนัง ลมหายใจ และ ปาก เข้าไปแล้วจะฟักเป็นตัวแล้วดูดพลังของท่าน สมัยปัจจุบันนี้เขาเรียกว่าอะไรรึ ? เราไม่แน่ใจ"
"ไวรัส ใช่หรือไม่ครับ ? หรือ แบคทีเรีย ?"
"มิใช่ไวรัส มันเป็นเชื้ออย่างหนึ่ง ซึ่งแพร่พันธุ์ได้เร็ว หากสังขารของท่านมีพลังสะสมที่เพียง
พอ สิ่งเหล่านี้จะแทรกเข้ากายของท่านได้ยาก"
รุ่งนึกถึงสิ่งผิดปกติจากภายนอก ที่แทรกเข้ามาในร่างกายของเขาได้อย่างง่ายดายเป็นประจำ
"พยาธิ ใช่หรือเปล่าครับ ?"
"ใช่แล้ว พยาธิ สมัยของเรานั้น เขาเรียกกันว่า บังไช เชื้อตัวนี้เมื่อแทรกเข้ากาย ก็จะไชไปในอวัยวะต่าง ๆ หากไม่รักษา ก็สามารถทำให้ถึงตายได้"
"งั้นก็ใช่เลยครับ ผมโดนเป็นประจำ น่าเบื่อมาก"
สิ่งที่เขาเพิ่งรับรู้จากพระนาง ทำให้จิตใจเป็นกังวล ความอ่อนล้าจากความเจ็บปวดที่แผ่นหลัง ทำให้ใจเริ่มท้อ ทั้งเรื่องปัญหาการงาน ปัญหาการเงิน ปัญหาสุขภาพ ดูเหมือนกับเขากำลังใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งรอบข้างที่ไม่มีอะไรเป็นใจเลยซักอย่าง
รุ่งถอนหายใจยาว ๆ อีกครั้ง
"ท่านรู้สึกเหนื่อยรึ ?"
"สงสัยช่วงนี้ดวงจะตก" เขาพูดแล้วหัวเราะเบา ๆ
"ที่ท่านพูดก็ไม่ผิด ชีวิตท่านต้องอดทนไปอีกสองปี"
"เหรอครับ อีกสองปี ? ชะตาผมจะแย่ไปกว่านี้มั้ยครับ ?"
"ตอนนี้แย่ที่สุดแล้วรึ ?"
"ในความรู้สึกผม ผมแย่กว่าคนอายุเท่ากันในทุก ๆ เรื่อง การงานก็แย่ การเงินก็แย่ สุขภาพก็แย่"
ร่างทรงนับนิ้วมือตนเอง เพื่อคำนวณชะตาจากวันเดือนปีเกิด
"สองปี ท่านจงอดทนเถิด ในยามนี้ พลังของท่านอ่อนแอ หากท่านยังฝืนใช้ชีวิตเช่นเดิม ท่านจะแย่กว่านี้"
"ใช้ชีวิตเหมือนเดิม เรื่องไหนเหรอครับ ?"
"หากท่านยังใช้วิชาของท่าน ด้วยหินนั่น ร่างกายของท่านจะแย่"
"วิชาลูกดิ่งนี่เหรอครับ ? ผมจะแย่ขนาดไหนครับ ?"
"เราบอกไม่ได้ อาการของท่านจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายในเจ็ดวัน เมื่อพ้นเจ็ดวันแล้ว ท่านฟื้นได้เท่าไหร่ ก็ได้เพียงเท่านั้น อาการที่หลงเหลือติดค้างนั้น เป็นส่วนของสังขารท่านเอง ไม่เกี่ยวกับเจ้ากรรมนายเวรใด ๆ อีกแล้ว ท่านเข้าใจที่เราพูดหรือไม่ ?"
"ครับ สมมุติว่าพ้นเจ็ดวันไปแล้ว ถ้าผมยังมีอาการอะไรเหลืออยู่ นั่นคือ ผมจะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว"
"มิใช่อย่างนั้น เราไม่ได้บอกว่าไร้ทางแก้ เราเพียงแค่บอกว่า อาการที่เหลือ ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้ากรรมนายเวรครั้งนี้แล้ว"
"ผมมีข้อสงสัยจะถามครับ ทำไมเจ้ากรรมนายเวรถึงเล่นงานผมหนักขนาดนี้ ? เพื่อนผมอีกคนนึง เค้าก็ใช้วิชาเดียวกันตรวจสุขภาพให้คนคนนั้น แต่เค้าไม่โดนเล่นงาน"
"นั่นเพราะ เจ้ากรรมนายเวรของคนคนนี้ เขามีมากมาย แต่ละราย จ้องจะทวงจากเขาอย่างเต็มที่ ท่านไปขัดขวางในขณะที่ท่านมีพลังไม่เพียงพอ สิ่งนั้นก็แทรกเข้ากายท่านได้โดยง่าย สิ่งที่ติดมานั้น มาจากทางขอม ท่านปู่จึงให้เรามารับท่านแทน ท่านรู้จักเขมนคร (อ่านว่า เข-มะ-นะ-คอน) หรือไม่ ?"
"ไม่เคยได้ยินครับ"
"เขมนคร เป็นดินแดนที่เราเคยปกครอง ปัจจุบันนี้ เป็นส่วนหนึ่งของประเทศเขมร เราจำเป็นต้องใช้ภาษาขอมในการสวดให้กับเจ้ากรรมที่ติดสังขารท่าน พวกเขาเข้าใจภาษาของเราเป็นอย่างดี แล้วได้รับบุญกุศลอย่างเต็มใจ"
"ท่านเป็นชาวขอมหรือครับ ?"
"ในอดีต เราเป็นเจ้าเมืองเขมนคร ซึ่งถือว่าเป็นชนชาติขอม"
"ถ้าเลยเจ็ดวันไปแล้ว ผมยังเดินเป็นปกติไม่ได้ วิธีแก้คืออะไรครับ ?"
"ท่านอาจจะต้องเลิกใช้วิชาของท่าน เพราะวิชาของท่านไม่เหมาะกับธาตุในตัวท่าน"
"ผมควรจะเลิกใช้ลูกดิ่งหรือครับ ? มีวิธีอื่นอีกหรือเปล่า ที่ผมจะปรับ เพื่อให้ใช้ลูกดิ่งได้ต่อไป ?"
"ด้วยธาตุของท่านไม่ใช่ธาตุดิน ไขกระดูกของท่านก็สกปรกไปด้วยของติดค้าง หากพ้นเจ็ดวันแล้ว ไขกระดูกของท่าน ยังไม่ฟื้นกลับมาเป็นปกติ แล้วท่านยังฝืนใช้วิชาของท่านต่อไป ท่านอาจจะต้องเดินเหมือนคนพิการเช่นนี้ไปตลอด มันคุ้มกับท่านหรือไม่ ? ในเมื่อตอนนี้ วิชาที่ท่านใช้อยู่ ก็หาได้มีความแม่นยำเหมือนเดิมแล้ว ท่านจะไปตรวจให้ใครได้เล่า"
"เราเข้าใจท่าน ท่านต้องการช่วยเหลือผู้อื่น ท่านลองใช้เวลาเจ็ดวันนี้ พยายามทำสมาธิฟื้นฟูสังขารของท่านให้ดีที่สุด พ้นเจ็ดวันไปแล้วค่อยมาดูอาการอีกที"
"ครับ"
"หากท่านใช้เวลาสองปีนี้ เพื่อฝึกฝน ปรับธาตุในกาย ให้มีความแข็งแรง มีพลังมากกว่าเดิม พ้นสองปีนี้ ชีวิตท่านจะค่อย ๆ ดีขึ้น ท่านจะได้งานที่ท่านรัก มีรายได้ และ ท่านจะรายล้อมไปด้วยอิสตรี อนาคต ท่านจะเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้อีกมากมาย "
"สภาพผมในวันนี้ สุนัขตัวเมียยังไม่มองเลยครับ"
"ตัวท่านเอง มีความคิดที่ไม่ถูกต้องบางส่วน ถูกต้องในบางส่วน"
"ส่วนไหนไม่ถูกต้องหรือครับ ?"
"ท่านยินดีฟังคำวิจารณ์ของเรารึ ?"
"ยินดีครับ"
"ส่วนที่ไม่ถูกต้องคือ ท่านจัดเรียงลำดับความสำคัญในชีวิตผิด หากท่านจะช่วยเหลือเรื่องสุขภาพกับผู้อื่น ท่านต้องทำให้สุขภาพท่านเองมั่นคงเป็นหลักสำคัญเสียก่อน วิชาที่ท่านใช้ ต้องสามารถทำให้ท่านมีพลังเพื่อเผื่อแผ่แก่ผู้อื่นได้ หากท่านเองยังเอาตัวไม่รอด หรือ พิการไป ท่านคิดว่าท่านจะช่วยใครได้ ? ท่านกลับต้องเป็นภาระของคนอื่น เรามิได้หมายถึงท่านต้องไม่เจ็บไม่ป่วยไม่ไข้ เพราะไม่มีใครผู้ใดหลีกเลี่ยงความป่วยไข้ไปได้ แต่หากเป็นสมัยเรานั้น หมอทุกคนจะมีความรู้ในเรื่องการปรับธาตุ และ ลมปราณของตัวเอง ทำให้เมื่อป่วย ก็จะเยียวยาตนเองได้ แต่สมัยปัจจุบันนี้ แม้แต่หมอเอง ป่วยแล้วก็ยังไม่รู้ตัวว่าป่วย ท่านว่าจริงหรือไม่ ?"
"ครับ เห็นด้วยครับ"
"ท่านจะช่วยเหลือผู้อื่นด้วยการใดก็ตาม ท่านจะต้องช่วยตัวเองในเรื่องนั้นได้เสียก่อน แต่ตอนนี้ ท่านไม่มีอะไรที่มั่นคงซักอย่าง ท่านจะช่วยใครที่ไหนได้ ? ที่เราพูด ท่านคงเข้าใจได้ไม่ยาก"
"ครับ เห็นด้วยทุกอย่าง" ความจริงในข้อนี้ทำให้เขาถอนหายใจ
"แต่ท่านก็มีความคิดที่ถูกต้องเหมือนกัน การที่ท่านคิดจะช่วยเหลือผู้อื่น นั่นเป็นความคิดที่ถูกต้องเรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งคือ ที่นี่ ได้รับผู้คนที่มีปัญหามากมาย คนในวัยเดียวกับท่านก็มาที่นี่หลายผู้คน เรื่องที่ปรึกษาไม่พ้นเรื่องความรัก เรื่องคู่ครอง ท่านเป็นคนแรกที่จัดลำดับเรื่องความรักไว้เป็นเรื่องท้ายสุด ชายวัยฉกรรจ์เช่นท่าน หาได้น้อยที่มีความคิดเช่นท่าน"
"นี่เป็นคำชมหรือเปล่าครับ ?"
"ใช่ นี่ถือเป็นคำชม ท่านเป็นคนที่มีสมาธิดีมาก ยากที่หญิงคนใดจะทำลายสมาธิของท่านได้"
"ความจริงท่านเป็นคนที่มีเสน่ห์ต่ออิสตรี แต่ด้วยอายุของท่านที่เข้าเกณฑ์อับ ถึงแม้จะมีสตรีชอบท่านมากมายเพียงใด ท่านก็ไม่สามารถจะลงเอยได้มีคู่กับใครสักคนได้ ท่านต้องอดทนอยู่ในสภาพนี้ไปอีกสองปี"
***********************
จบภาคสอง
-----------------วิธีใช้ลูกตุ้ม------------
-เจ๊เรือง9 นี่ทันสมัยมากๆเลย ทั้งๆที่ใจผมคิดว่า คงมีคนเล่นเพนดูลั่มนี่ มีไม่กี่คนในเมืองไทย-- มีสัตวแพทย์ชื่อหมออัสนี ท่านเปิดบ้าน และผลิตของแปลกๆพวกนี้ขาย ถึงเป็นศาสตร์ลี้ลับ แต่มันก็ใช้ได้ผล -คือมันเวิร์คอ่านะ

--พวกเพื่อนพี่สาวผมนี่ก็ชอบลากกันไป ทั้งไปอินเดีย เรียนหมอดู แล้วก็ความรู้แปลกๆพวกเนี้ย ---จนแม้แต่ผมก็ได้เศษๆความรู้มาบ้าง ก็ยังคิดว่า อันตัวข้าพเจ้านี้ จบไสยศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์มากันแน่

------แต่พี่ก้อยังเล่นไม่เป็นอยู่ดีอ่ะ..หาคนสอนให้หน่อยดิ..เอาแบบไม่เสียตังค์นะ...
เพราะไม่มี งบประมาณจ่ายในส่วนนี้
.......นึกขึ้นมาได้ แล้วก้อชักอยาก เอาจริง...นี่ถ้าเล่นได้ ล่ะคงจะมันส์น่าดู
วันๆคงไม่ทำรัยหรอก...เลิกเล่น ญารทิพย์ ไปคุย กะ เพนดูลัม คงสนุกกว่าเยอะ หุหุๆ
-----------
-----เท่าที่เห็นนะครับ เขาจะถามโดยคำพูด หรือกำหนดจิต ถ้า "ใช่" หรือ "ดี" "ถูกต้อง" ก็จะวนตามเข็มนาฬิกาครับ ถ้าไม่ใช่ ก็จะวนกลับทิศกัน ที่ลูกตุ้มผลึกคลิสตัลอันนั้น จะมีขนไก่ หรือขนนกเล็กๆมัดติดอยู่ด้วย เป็นการตวจทางประจุไฟฟ้า ถ้าแรง ขนนกจะตั้งขึ้นมา อันนี้เป็นความรู้ของชาวอินเดียนแดง หมอผีจะมีขนนกเต็มตัว เป็นการป้องกัน และ ขนนกเราก็รู้ว่าเป็นฉนวนทางไฟฟ้า น่าจะช่วยรับพลังจิตได้ดี-----พุดถึงพลังไฟฟ้า ท่านไสบาบาก็เคยหยอกเล่นกับนักมวยปล้ำที่จะมาอุ้มท่าน พอเขาปรี่เข้ามาจะถึงตัวท่านเก็ยกมือดีดน้ำใส่ เจ้านักมวยปล้ำก้กระเด็นไปเหมือนช้างถีบ แล้วบอกว่า--พลังไฟฟ้าท่านแรงมาก

----ทำไมฤาษีต้องนั่ง หรือนุ่งห่มหนังเสือ หนังหมี เพราะหนังที่แห้งๆ ก้เป็นฉนวนทางไฟฟ้า---เราก็เคยนึกว่า"เอาขลังๆ-มาดเข้ม" เปล่าหรอก เป็นเรื่องเทคโนโลยี่แบบลึกลับ

--ก็บอกแล้วไงครับว่า ความรู้โบราณ นั้นไม่ใช่เรื่องย่อยๆ จะมาเป็นองค์ความรู้ เหมือนห้องสมุดขนาดยักษ์เลยครับ--ยิ่งห้องสมุดโลกทิพย์ หรือที่ชาวฮินดูโบราณเรียกว่า คลัง อากาศิกส์ Akashic Records จะมีสารพัดความรู้อยู่ในนั้น การที่ดร.อาจองท่านได้เห็นวงจรไฟฟ้า(ที่คุมยานลงดาวอังคาร)มา ก็เพราะจิตได้ไปไขกุญแจคลังอากาศิกส์ โดยไม่รู้ตัวนั่นเอง---ตัวอย่างชัดๆของเรื่องฉนวนไฟฟ้า-ของประจุจิต-ปราณ เช่น มีผู้ปฏิบัติรายหนึ่งจะนั่งสมาธิบนพื้นซีเมนต์ตรงนั้นประจำ พลังที่เกิดขึ้นก็ไหลลงดินไปหมด พอมีอีกคนมานั่งสมาธิบนพื้นซีเมนต์ตรงนั้น "พลัง" ได้ย้อนกลับขึ้นมาจนคนคนนั้นถึงกับจับไข้ในทันที หลังๆ เขาจึงใช้อาสนะ หรือผ้าขาวปู อืม อาสนะพระก็เป็นสิ่งแบบนี้ เป็นพรมหนาๆ

--- เรื่องประจุไฟฟ้า คือเป็นความรู้จากท่านไส บาบา (ท่านบอกว่า นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ว่า ดวงอาทิตย์นั้นนะกลวง มีอุโมงค์มากมาย มีพายุพัดไปมาในอุโมงค์ เพื่อให้ความร้อนนั้นกระจายทั่วกัน--น่าแปลกที่ดวงอาทิตย์ของเรา ไม่มีรังสีที่ร้ายแรง(นักวิทย์บอกเป็นระเบิด แบบนิวเคลี่ยร์ฟิวชั่น--ไม่จริงครับ) จะมีบ้าง บรรยากาศของโลกก็กรองไว้ได้ น่าแปลกไหม-ก็ทุกอย่างถูกตระเตรียมไว้ให้มนุษย์เท่านั้น)---สำหรับตัวผม ก็เคยนั่งสมาธิที่แม่สาย ชาย-หญิงแยกกัน พอนั่งรู้สึกตัวหนักๆและมีพลังมาก --พอดีว่ามีผู้หญิงเดินมาผ่าน เธอก็หลบๆ แต่ชายส่าหรีมาโดนผมแว็บนึงที่หัวเข่า ท่านผู้อ่านครับ พลังผมหายหมดเลย -เหมือนคนไม่ได้นั่งสมาธิ

--เฮ้อนี่แหละที่เขาว่าชายหญิง เป็นขั้วบวก-ขั้วลบ--เซ็งเลย รอยักษ์ปากแดง รอไฟจะมาช๊อตๆ หลายสิบปีไม่มีโผล่มาเลย ใครเป็นแบบนี้บ้าง--มีแต่รบกะนางพันธุรัตที่น่ารักทุกวันทุกวัน ตะกี้ไปซื้อข้าวเหนียวผมก็แหย่ จับแขนบีบ เธอก็ด่าๆ" ไอ้ง่าว(โง่) ปะล้ำปะเหลือ(มากเกินไป)" เล่นเอาแม่ค้าหัวเราะแทบตาย (ด่าคนยังตลกเลย-แฟนผมนี่) ในชีวิตแม่ค้าคนนี้มีแต่ความเศร้า... ยังสาวอยู่แต่เป็นมะเร็ง จนผมร่วงหมดหัว ก็มีภรรยาผมนี่ทำให้เค้าหัวเราะออกมาได้

--สักสองนาทีเทพก็มาว่า "พวกมึงนี่ก็นะ- ทำให้แม่ค้าหัวเราะจนได้ ...มันไปที่ไหนมีแต่คนขำมัน" ก็โห.. รูปร่างเหมือนเด็กยังไม่พอ นิสัยยังเหมือนเด็กอีก..เสด็จแม่บางองค์ก็บอกว่า "คนแบบนี้ด่าใคร ก็ไม่น่าจะรู้สึกเจ็บนะ คงจะขำคนด่าซะมากกว่า"

--ขอบคุณที่ชีวิตนี้--โลกนี้ ที่มีเสียงหัวเราะ -ขอบคุณ คุณแม่จินตนาที่สู้ชีวิตด้วยจิตแจ่มใสและมีอารมณ์ขัน(ประทับจิต-อยู่ในใจลูกทุกๆคนตลอดไป)

------------------------------------

--เดี๋ยวจะเมล์ถามเรื่องลูกตุ้มให้เจ๊เรือง9นะครับผม

--เอกสารชิ้นที่สาม---------------------------------
คำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

… ทุกข์ คือ อาการทุรนทุราย ไม่สามารถอยู่นิ่งเฉยได้ กับสภาวะนั้น ต้องเคลื่อนจิต หรือ เคลื่อนกาย หรือ ต้องมีกิจกรรมใด ๆ เพื่อหนีให้พ้นจากสภาวะนั้น จึงสบายขึ้น สภาวะเหล่านั้น เรียกว่าทุกข์หมด…
อ้าว.. แล้วสภาะวะไหนล่ะ ที่เราอยู่เฉย ๆ ได้โดยไม่เคลื่อนไหวกายเลย ไม่เคลื่อนจิต มีด้วยเหรอ ? หายใจเข้าไปนี่ ถ้าไม่หายใจออกก็อึดอัดจะตายอยู่แล้ว
... ฉะนั้น จึงเรียกได้ว่า ทุกลมหายใจเข้าออก เป็นทุกข์ทั้งสิ้น เมื่อหายใจเข้าแล้ว ไม่หายใจออก ก็เป็นทุกข์ …เอ๊ะ… ทำไมหนังสือเขียนเหมือนรู้ว่าใจเรากำลังคิดอะไร ? ถ้าความทุกข์คืออาการทุรนทุราย ทนไม่ได้ อย่างนี้ การที่เรามีความสุขกับอะไรบางอย่าง พอเวลาผ่านไป เราเริ่มชินชากับของสิ่งเดิม ต้องหาของใหม่ที่ดีกว่า อยู่อย่างเดิมมันน่าเบื่อ อย่างนี้ก็เรียกว่าทุกข์อีกล่ะสิ ?
… ความไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี เรียกว่า ทุกข์จากวิภวตัณหา คือ การต้องดิ้นรนเพื่อจะพ้นกับสภาวะที่เป็นอยู่ ทนอยู่ในสภาวะนั้น ๆ ไม่ได้ ต้องหาสภาวะใหม่ …
เธอรู้สึกขนลุกชันขึ้นมาทันที นี่หนังสือธรรมะเล่มนี้กำลังโต้ตอบกับเธอหรือไร ?
เธอพลิกกลับไปอ่านหน้าปก เห็นรูปพระสงฆ์องค์หนึ่ง เธอเคยได้ยินชื่อนี้เหมือนกัน น่าจะเป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงมาก แต่เธอไม่เคยได้อ่าน หรือ ได้สัมผัสคำสอนของท่านมาก่อน

เธอลองพลิกไปกลาง ๆ เล่ม
…ก็คุณยังไม่เจอครูที่ปราบคุณได้ไง ใจคุณก็เหมือนม้าพยศ ใครสั่งใครสอนคุณก็ไม่เชื่อ เพราะเขาไม่ใช่คู่ปรับคุณ อย่างพระพุทธเจ้าเอง ท่านใช้สัพพัญญุตาญานรู้ว่าใครเคยเป็นครูใครมาก่อน บางคน ท่านรู้ว่าต้องให้พระโมคคัลลาน์ไปกำราบ เพราะเขาไม่เชื่อไม่ฟังพระอรหันต์ท่านอื่นเลย ท่านก็ไม่เทศน์เอง แต่ให้พระโมคคัลลาน์เทศน์ อยู่หมัดเลย เพราะเคยเป็นคู่ปรับกันมาก่อน ไม่งั้นเป็นครูเป็นศิษย์กันไม่ได้หรอก…

นี่ท่านพูดกับใครเนี่ย ? หนังสือกำลังเล่าถึงคำเทศน์ของท่านที่แสดงเทศนาที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อสามสิบปีที่แล้ว ยิ่งอ่านยิ่งเข้าตัวเอง

**********

หลวงพ่อท่าน ท่านเล่าถึงสมัยที่ท่านบวชใหม่ ๆ การเมืองไทยก็มีปัญหา แล้วทั้งฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ก็พยามอยากให้พระสงฆ์เป็นพวก ท่านก็ถามอาจารย์ของท่านว่า ควรทำตัวอย่างไร อยู่ข้างไหน พระอาจารย์ท่านก็ตอบว่า ทุกอย่างจะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หากทุกคนที่อยากจะช่วย เลิกจับผิดคนอื่น หยุด แล้วมองตัวเองว่า วันนี้เราทำดีหรือยัง เราดีพร้อมแล้วหรือ เราสำเร็จโสดาบันหรือยัง ถ้ายัง เรามีอะไรเหนือกว่าคนอื่นหรือ โสดาบันก็ยังเป็นรองพระสกิทาคามี ฉะนั้น แม้แต่โสดาบัน ก็วิจารณ์จับผิดคนอื่นไม่ได้ เพราะจะพลาดไปโดนพระสกิทาคามีเข้าโดยไม่รู้ตัว ส่วนพระสกิทาคามีก็ยังด้อยกว่าพระอนาคามี พระอนาคามี ยังด้อยกว่าพระอรหันต์ พระอรหันต์ธรรมดา ก็ด้อยกว่าพระอรหันต์วิชชาสาม พระอรหันต์วิชชาสามด้อยกว่าพระอรหันต์วิชชาหก พระอรหันต์วิชชาหกด้อยกว่าพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาน…”

“พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาน ด้อยกว่าพระอัครสาวกเบื้องซ้าย พระอัครสาวกเบื้องซ้าย ด้อยกว่าพระอัครสาวกเบื้องขวา พระอัครสาวกเบื้องขวา ด้อยกว่าพระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้าด้อยกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

“…พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ก็ยังด้อยกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม องค์แรกของโลก ฉะนั้น ถ้าใครคนหนึ่งในจักรวาลนี้ ที่จะมีสิทธิ์ตำหนิคนอื่นว่าเลว ผู้นั้นก็น่าจะเป็นสมเด็จองค์ปฐมท่านเดียวเท่านั้น”

“พอท่านได้ฟังตามนั้น ท่านก็เข้าใจเลย ต่อมาใครมาถามว่าฝ่ายไหนผิดฝ่ายไหนถูก ท่านไม่ตอบ ท่านบอกไปว่า ตัวท่านเองยังดีไม่พอ ฉะนั้น ท่านไม่มีเวลาไปสนใจคนอื่น เวลาที่มีคือ ทำตัวเองให้พ้นทุกข์ หากต้องการรู้จริงว่าใครผิดใครถูก ให้ไปถามสมเด็จองค์ปฐมกันเอง….”

(ความหัศจรรย์พลังจิต-มูลนิธิไส บาบา จัดให้มีนั่งสมาธิหมู่ที่นิวยอร์ค เพียงชั่วพริบตาคดีอาชญากรรมของนิวยอร์คลดลิ่ว คือลดลงอย่างผิดปกติ (ปกติเค้าจี้ปล้นทุกซอกตึก) และได้มีการประชุมสมาธินานาชาติที่เมืองๆหนึ่ง- ทันที่ที่เริ่มทำ (ตามแบบใครแบบมัน) สถิติอาชญากรรมดิ่งจนลดเหลือศูนย์ พอหยุดทำก็พุ่งขึ้นสูระดับเดิม--มีบันทึกไว้เป็นกราฟอย่างชัดเจน--)

มาร์ติน วีลเลอร์ ฝรั่งหัวใจไทย

//www.baanmaha.com/community/thread33748.html

วินโดวส์ล่มครับ ลงใหม่4 ครั้ง เพิ่งพอใช้ได้หละครับ
--วิธีใช้ และสร้างเพนดูลั่ม ได้มาแล้วครับ อุปกรณ์สำคัญที่สุด คือจิต--การฝึกจิต ต้องวางเป็นแนวของอุเบกขา
--แต่มีอันตรายอย่างมาก ในสิ่งที่มองไม่เห็น แล้วจะบอกวิธีแก้ให้ครับ

-เพนดูลั่ม จะใช้สิ่งใดก้ได้ เช่น คลิปหนีบกระดาษ แว่นตา ก้อนหิน หรือสร้อยล็อกเก็ต สำคัญอยู่ที่ผู้ใช้ -ต้องพยายามฝึกจิตให้ได้ดีพอ ถึงขั้นรวมจิตได้ และวางจิตไว้ในลักษณะอุเบกขา

--การใช้งาน ควรจะพูดออกมา บอกรายละเอียดว่า ถ้า"ถูกต้อง" ก็ให้วนตามเข็มนาฬิกา-- ถ้าผิดให้วนทวนเข็ม -- บอกให้ชัดเจน เพราะเราใช้จิตใต้สำนึกทำงาน

--สิ่งที่สำคัญยิ่ง ควรระวัง ในการรักษาโรคให้ผู้อื่น ส่วนใหญ่จะเป็นโรคจากกรรมเก่า หรือเวรกรรมนะแหละ ให้ท่านเตรียมใจว่า จะโดนเจ้ากรรมนายเวรมาเกาะแทน หรือท่านจะได้รับเวรกรรมแทนเขานั่นเอง ---ต้องหาวิธีป้องกัน เช่น สวดมนต์ อธิษฐาน หรือ พูดกับเจ้ากรรมเขา หรือว่าสร้างเกราะ เช่นเนรมิต(สร้างภาพในจิต)ให้เห็นพระพุทธรูปสีทองมีรัศมีสวยงาม ใหญ่กว่าร่างเราเล็กน้อย ให้พระพุทธรูปนั้นกลวง และนำมาสวมเข้ากับร่างเรา เพื่อเป็นการปกป้องพลังที่ไม่ดี

---ไม่ทราบว่าผมพูดหรือยัง เรื่องสมาชิกหรือผู้อ่านทั้งหลายที่ชอบไปสะเดาะเคราะห์ตามวัด ท่านกำลังเอากรรมเก่าไปฝากกับพระ แล้วท่านก็ได้รับในสิ่งที่ตรงข้ามกับบุญอย่างมาก---พี่สาวเล่าว่า มีคนมาสะเดาะเคราะกับหลวงปูๆ บอกลูกศิษย์ว่าให้เขากลับไป เพราะ "หลวงปู่ไม่ไหวแล้ว แก่แล้ว ไม่สามารถจะรับกรรมแทนใครได้อีกแล้ว"
นอกจากการเจริญพุทธมนต์เพื่อเป็นสิริมงคล การสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา นับว่า เป็นการแอ๊พพลาย(ประยุกต์)เอาพุทธธรรมมารับใช้ความจำเป็น--ความทุกข์ส่วนตัว ซึ่งมีมาตอนหลังๆแล้ว--เราชาวพุทธควรพิจารณาให้จงหนัก

---ตัวอย่างเช่นท่านไส บาบา มีหลายครั้งมาก ที่ช่วยลูกศิษย์ โดยต้องรับกรรมแทน (แม้จะเป็นระดับอาจารย์ใหญ่ของเทพ--หรือพระศรีอารย์) ลูกศิษย์ต้องหลั่งน้ำตา เมื่อท่านเป็นทั้งโรคหัวใจ ขาพิการ อัมพาตครึ่งซีก หน้าตาบิดเบี้ยว พร้อมกัน และเป็นอยู่หลายวัน โดยไม่ให้หมอทำการรักษาแต่อย่างใด มีครั้งหนึ่งท่านเปิดเสื้อให้ดูด้านหลัง ทุกคนก็ตกใจ เพราะมีรอยยางงรถยนต์ชัดเจน ใครทำร้ายท่าน ท่านถามว่า "ก่อนที่จะมาถึงนี่ คนขับรถได้ขับรถทับงูตัวหนึ่งใช่ไหม--ฉันได้รับความเจ็บปวดของงูนั้นมาเสียเอง" บางครอบครัวเตรียมอาหารไว้บูชาท่าน พอดีมีหมาดำมาจากไหนก็ไม่รู้มากินอาหาร พวกเขาก็ไล่ตีหมาตัวนั้นออกไป พอพบกับท่าน ท่านว่า "เธอเอาอาหารให้ฉัน ฉันก็ไปกิน เธอยังเอาไม้มาตีฉันเสียอีก" เป็นตัวอย่างว่า พระเจ้าก็อยู่ในสรรพสิ่ง ไม่ได้อยู่บนแท่นบูชาเสมอไปนะครับ

-------------------------------------------
มุมมอง จุดอ่อน – จุดแข็งของคนไทย
--จากแนวคิดของ มาร์ติน วีลเลอร์
---------จุดอ่อนของคนไทย ในความคิดของวีลเลอร์ เขามองว่าคนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เพราะเห็นฝรั่งที่ไหนก็คิดว่ารวยหมด คิดว่าการพัฒนาในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน อาจเพราะไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาระบบทุนนิยมนานแล้ว เช่น อังกฤษ, สหรัฐ ฯลฯ มีปัญหาเยอะมาก แต่คนไทยก็คิดว่าเมืองนอกดีกว่า อันนี้เป็นจุดอ่อน คือคนไทยสนใจเมืองนอก ไม่ได้สนใจประเทศไทย และที่ทุกคนฟังแนวคิดของพวกเขา เพราะเขาเป็นฝรั่ง ถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไป คนก็จะไม่สนใจ อันนี้เป็นจุดอ่อน

และปัญหาของใกล้ตัวที่เขาสัมผัสได้ จากคนอีสานนั้น คือเรื่องของการศึกษา คนอีสานส่วนมากไม่อยากให้ลูกเป็นคนอีสาน ไม่อยากให้ลูกเป็นคนบ้านนอก ไม่อยากให้ลูกพูดภาษาอีสาน ชาวบ้านส่วนมากคิดอยากให้ลูกได้ดีในชีวิต คิดว่าสิ่งที่ดีในชีวิตของลูกคือ...


1. ไม่ได้พูดอีสาน พูดแต่ภาษากลาง

2. พูดภาษาอังกฤษด้วย

3. เล่นคอมพิวเตอร์ได้

4. ไปอยู่ในเมือง

5. ไปรับจ้างเขา

6. ไปสร้าง หนี้สิน ไปซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ราคา 2-3 ล้านบาท


ที่กล่าวมานี้ คนอีสานมักคิดว่าลูกของเขาได้ดี ซึ่งในมุมของวีลเลอร์ เขากลับไม่เห็นด้วย เพราะเขาเองก็อยากให้ลูกได้ดีเหมือนกัน แต่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ปัจจัยที่จะช่วยให้เขามีชีวิตที่ดี อาจจะเอาไปแลกเงินในบางช่วงได้ แต่ชีวิตน่าจะมีไว้เพื่อหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน

"ถ้าเขาเรียนรู้เพื่ออยากจะหาเงินอย่างเดียวก็น่าเสียใจนะ เพราะความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่การเรียนรู้เป็นสิ่งที่เราต้องทำ ทุกวันตลอดชีวิต เราหยุดเรียนรู้ไม่ได้ แต่เราไม่น่าจะเรียนเพื่อเอาความรู้ เอาปริญญา ไปแลกกับเงิน ทำให้ความรู้ไม่มีคุณค่า"


จุดแข็งของคนไทย
ส่วนจุดแข็งของคนไทย คือ "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" วีลเลอร์ บอกว่าคนไทยน่าอิจฉาที่มีแผ่นดินอุดมสมบูรณ์มาก ๆ มีดินเยอะ น้ำเยอะ แสงแดดเยอะ ทำเกษตรได้สบาย และยังโชคดีมาก ๆ ที่มี ใ น ห ล ว ง เป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงานหนักมาก เพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้ จะหากษัตริย์ในประเทศอื่นไม่ค่อยมีแบบนี้
-----------------------------------
ครับเจ๊ ... ผมรีบโทรถามพี่สาวผม เมล์มันช้า ไม่ทันใจ แต่แกไม่เปิดโทรศัพท์ ปรากฏว่าไปสอนโยคะทีโรงแรมหรูในตัวเมืองพัทยา

--สอนฟรี แต่ทางโรงแรมก็ให้เรียนโยคะฟรี ก็ได้เจอพวกฝรั่งไฮโซหน่อย อาชีพจริงของเธอก็เป็น อจซมหาวิทยาลัยนานาชาติ เป็นดร.ทางเคมี เคยเป็น ผอ.สถาบันอัญญมณีศาสตร์ประเทศไทย..มีความรู้เยอะ แต่ไม่ได้เป็นบ้าเพราะ แก้ด้วยการทำสมาธิ




 

Create Date : 19 พฤศจิกายน 2554
0 comments
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2554 1:31:56 น.
Counter : 2130 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


jesdath
Location :
เชียงราย Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
19 พฤศจิกายน 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jesdath's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.