กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
บุญ
ข้อธัมม์ที่ถาม-เถียงกันบ่อย
หลักปฏิบัติ
สภาวธรรม
ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง
ผู้พิพากษาตั้งตุลา ใ ห้ สั ง ค ม ส ม ดุ ล
คติธรรมสั้นๆ
ภาษาธรรมวันละคำ
รู้เขา รู้เรา
ปัจฉิมวาจา
ความเป็นมาของการบวช
การทำวัตรสวดมนต์
ทำยังไงจึงจะมีอายุยืนและมีความสุข
นิพพาน-อนัตตา ฉบับเพียงเพื่อไม่ประมาท
พลังดันคน
ที่ทำงานของจิต
บรรลุธรรมอะไร?
พุทธปรัชญาในสุตตันตปิฎก
ธัมมาธิบาย
สวดมนต์
ความจน เ ป็ น ทุ ก ข์ ใ น โ ล ก
เรียนบาลีเพื่อรักษาพุทธพจน์
ศีล-ธรรมไม่มาโลกาจะพินาศ
หลักธรรมสำหรับผู้ยังไม่นับถือศาสนาใดๆ
ก่อนศึกษาพุทธธรรม
ภาค ๑. มัชเฌนธรรมเทศนา
ภาค ๒. มัชฌิมาปฏิปทา
ภาค ๓. อารยธรรมวิถี
วัฒนธรรมประเพณี
จารึกธรรม
<<
กุมภาพันธ์ 2567
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
19 กุมภาพันธ์ 2567
ความประมาท ความไม่ประมาท เป็นไฉน
ผู้ไม่ประมาทใช้ประโยชน์จากอนิจจัง
มนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญต่อความเสื่อมความเจริญ
???
ดินแดนที่ตกอยู่ในความวุ่นวาย
หมายเหตุ
ทีนี้ มองดูเกาะใหญ่ ถัดลงไปทางใต้
มะละกาลับหาย สุมาตรา-ชวา เฟื่องฟูขึ้นมาใหม่
มะละกา ที่แดนมาเลเซียขึ้นมาเป็นใหญ่เหนือ ชวา
???
ชวา ขึ้นมาล้ำ สุมาตรา
มลายู ขยายจากสุมาตรา ขึ้นยังมาเลเซีย
อิสลาม เริ่มเข้าที่ สุมาตรา
อินโดนีเซีย: ที่สุมาตรา ย้อนไปถึง ศรีวิชัย
???
อินโดจีน ส่วนล่างกับอดีตเด่นดังที่ ลังกาสุกะ
อินโดจีน ย้อนอดีตถึง ทวารวดี
จีน- อินเดีย แล้วเกิดมี อินโดจีน - อินโดนีเซีย
ภาคผนวก
คู่ต่างคู่เติม เสริมความรู้ธรรมให้เต็ม
พุทธในอินเดียแต่ละยุคๆ
ทัพมุสลิมเตอร์ก เก็บฉาก
ปุษยมิตร - มิหิรกุละ - ศาศางกะ ทำลายพุทธในระหว่าง
ศิวะอวตาร
นารายณ์อวตารเป็นพระพุทธเจ้า
เรื่องเกี่ยวกับโพธิสัตว์
ต้นโพธิ์ พระสถูป พระพุทธรูป
ย้ำอีกที
พระรัตนตรัย:สื่อเชื่อมต่อ และส่งเข้าสู่ทาง
ดูข้างเคียงให้ทั่ว จะเห็นของตัวว่าเป็นอย่างไร
ย้ำ
วัดถ้ำ: พุทธ เชน ฮินดู เปลือกดูคล้าย
เค้าอวสานแห่งพุทธศาสนา
ฮินดูฟื้น พุทธศาสนาสลบ
พุทธศาสนาประกาศอิสรภาพให้แก่มนุษย์
วัดกับถ้ำ
หลังพุทธกาล คามวาสี-อรัญญวาสี จึงมี
ถ้ำกับชีวิตของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
อชันตา เอลโลรา
???
ระบบสัมพันธ์ของธรรม
รู้ทุกข์จึงดับทุกข์ได้ไม่ใช่รู้ทุกข์ไป แล้วกลายเป็นทุกข์
เศรษฐกิจจะพอดี เมื่อมันทำหน้าที่เป็นปัจจัย
ปัญญา
สัญญา
ผู้ปล่อยวางได้ แต่ไม่ปล่อยปละละเลย
ความไม่ยึดมั่นถือมั่นที่แท้ อีกที
ความไม่ยึดมั่นที่แท้ ต้องดูจากคติพระอรหันต์
สมมุติ,บัญญัติ
ธรรมกับวินัยเสริมกัน
วินัยเป็นบรรทัดฐานแห่งพฤติกรรมที่ถูกต้องตามธรรม
วินัย
ดูหัวข้อนี้ให้ชัด
ธรรมที่ตรัสไว้ต่างชุด ดุจเครื่องมือที่ใช้กับต่างงาน
ดุลยภาพในระบบความสัมพันธ์ของธรรม
ความเชื่ออีกแนวหนึ่ง
ความไม่ประมาท ช่วยปรับให้พอดี จึงเป็นทางสายกลาง
สติมา ปัญญาเกิด
มองอินเดียกับฝรั่ง ให้เห็นความแตกต่างที่เป็นคติแก่ไทย
บทบาทหน้าที่ของสติ กับ ปัญญา
ระบบทุกข์ภัยประดิษฐ์ ดีกว่าปล่อยให้มักง่าย
เรียบง่าย แต่ระวัง อย่าให้กลายเป็นมักง่าย
ความประมาท ความไม่ประมาท เป็นไฉน
ผู้ไม่ประมาทใช้ประโยชน์จากอนิจจัง
มนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญต่อความเสื่อมความเจริญ
ความไม่ประมาท คือความสามารถที่จะไม่เสื่อม
ถิ่นปิยชนผู้เปี่ยมด้วยศรัทธา
???
ธรรมานุธรรมปฏิบัติ
สันโดษ ไม่สันโดษ ดีไม่ดี
ได้ดุลพอดี ที่เป็นลักษณะทางสายกลาง
ปัญญา ชี้นำเข้ามาและเดินหน้าในทางสายกลาง
อธิษฐานจิต
ใช้เวลาสักนิด กับ เรื่องภวังคจิต
สายมู
???
สมาธิมีประโยชน์มากมาย ต้องใช้ให้คุ้มและให้ครบ
อย่าทิ้งความคิดปรุงแต่งทันที ปรุงแต่งดีได้ถึงฌานสมาบัติ
พระพุทธเจ้ากับเพลง
จะอาศัยสิ่งกล่อมหรือจะใช้วิริยะและปัญญา
อิสรภาพของมนุษย์ จะได้ด้วยการศึกษาที่ถึงธรรม
พระพุทธเจ้ามา ประกาศอิสรภาพให้แก่มนุษย์
ความรักต้องคู่กับความรู้
คิดปรุงแต่ง กับ คิดวิปัสสนา
พระพุทธเจ้าตรัสรู้เพราะโยนิโสมนสิการ
มีโยนิโสมนสิการ เรื่องร้ายก็กลายเป็นดี
รูปกาย ธรรมกาย
ที่ประกาศอิสรภาพของมนุษย์
มุสลีมะอินโด ฯ
ปฏิบัติธรรมก้าวหน้าไป นามกายเจริญเอง
โปรยธรรมบนเส้นทางสู่ที่ปรินิพพาน
เส้นทางพุทธกิจ: พุทธคยา ถึง กุสินารา
ถ้าสังเวชเป็น ก็จะได้เห็นธรรมกาย
มุสลิมเตอร์ก มุสลิมมองโกล รุ่งแล้วเลือนลับ
จากยุคมุสลิมอาหรับ เข้าสู่ยุคมุสลิมเตอร์ก
สุหนี่นำอิสลามครองสะเปน จ่อแดนจีน
ชีอะฮ์แยกออกมา
อิสลามแผ่ไพศาล
อิสลามรวมอาหรับ
เมตตาที่มีปัญญา จึงพาโลกสู่สันติสุขได้
???
รักษาแผ่นดินไทย ให้เป็นแผ่นดินธรรม
จุดเริ่มของแผ่นดินธรรม
ถ้าคนประสานกับธรรม ก็มีทางแก้ปัญหาชีวิตและสังคม
พุทธะโยงเราเข้าถึงธรรม
พระรัตนตรัย ต้องรู้จักใช้ให้เป็นสรณะ
มนุษย์ประเสริฐเพราะเป็นสัตว์ที่ฝึกได้
จากเทพสู่ธรรม จากธรรมสู่กรรม
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว จะประกาศธรรมแสนยาก
ย้ำ
รู้ธรรม คือรู้เรื่องธรรมดา
โพธิพฤกษ์ โพธิญาณ
มหาวิทยาลัยสงฆ์มีไว้ทำไม
???
๕ แคว้น ที่ยิ่งใหญ่
ย้ำอุเบกขา
มาฆบูชา พัฒนาความรักแห่งวาเลนไทน์
ให้รักกับรู้ มาเข้าคู่ดูแลกัน
มนุษย์กับมนุษย์รักกัน แต่มนุษย์ทุกคน
ถึงความรักจะดี ก็ไม่พอ
มาฆบูชา กับ วาเลนไทน์
ละชั่ว ทําดียังไม่พอ ต้องต่อด้วย
หัวใจเดียว แต่มีสี่ห้อง
มาฆบูชาขึ้นมาเป็นวันสําคัญในพระพุทธศาสนา
สาระของโอวาทปาติโมกข์
มาฆบูชา กับ หัวใจพระพุทธศาสนา
ราชคฤห์ ศูนย์อํานาจการเมือง
หัวใจธรรม จากจุดศูนย์กลาง
พระพุทธศาสนาในมือของพุทธบริษัท
ร่องรอยที่เหลือ และเค้าการฟื้นฟูหลังหมดสิ้น
อวสานมาถึง เมื่อทัพมุสลิมเตอร์กลงดาบสุดท้าย
เทียบ ปทท.
นาลันทากับความเสื่อมสูญของพระพุทธศาสนา
วัดพุทธ ต้นกําเนิดมหาวิทยาลัยของโลก
พระพุทธศาสนาเกิดขึ้น ก็เกิดการศึกษาแก่มวลชน
ฟูจิ
เอาธรรมไปเป็นหลักประกันชีวิตและสังคมไว้
ธรรมเป็นอิสระจากคน คนถึงธรรมเป็นอิสระจากสังขาร
ศรัทธากับปัญญา นำเข้าเฝ้าพระพุทธเจ่า
ศูนย์กลางเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ราชสังคหวัตถุ ๔
หลักธรรมที่อโศกราชาใช้ปกครองบ้านเมือง
อโศกราชากล้าหาญในทางสันติ
เทียบกันแล้ว สรุปได้
ดูพุทธพจน์แล้ว อ่านธรรมโองการเทียบ
อโศกธรรม หรือ คหัฐวินัย
ธรรมวิชัย:หลักการใหญ่ที่นําเข้าสู่พุทธธรรม
อโศกมหาราช อโศกธรรม
ศิลาจารึกอโศก เป็นของพระเจ้าอโศกมหาราชแน่หรือ
ทรัพย์และอํานาจ สู่ความหมายและคุณค่าใหม่
ธรรมวิชัย
ไม่ประมาท ก็ไม่เสื่อม
วัดพระราม
ชมพูทวีปในพุทธกาล
สังเวชนียสถาน ๔
ย้อนทางเข้าสู่แดนพุทธภูมิ
มนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญต่อความเสื่อมความเจริญ
จะเจริญอย่างเดียวไม่เสื่อมก็ได้ ปัจจัยสำคัญที่สุดคือตัวมนุษย์ และ
ในตัวมนุษย์ ปัจจัยสำคัญที่สุด คือกรรมแห่งความไม่ประมาท
บัดนี้ เราก็ได้เดินทางมาจนกระทั่ง
ครบพุทธสังเวชนียสถาน ทั้ง ๔ แห่ง
และยังผนวกเอาสถานที่สำคัญที่พระพุทธเจ้าเคยประทับอย่างที่สาวัตถีนี้เข้าไปด้วย
เมื่อเดินทางครบถ้วนอย่างนี้แล้ว เราก็ควรนำเอาธรรมที่พระองค์ ได้ตรัสครั้งสุดท้าย เมื่อจบพุทธกิจทั้งหมดนี้ มาสนทนากัน
เรื่อง
อัปปมาทธรรม
คือความไม่ประมาทนี้ ที่จริงพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสเฉพาะเป็น
ปัจฉิมวาจา
เท่านั้น ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถีนี้ ก็เคยตรัสกับ
พระเจ้าปเสนทิโกศล
คราวนั้น ตรัสถึงความเจริญงอกงามและความมั่นคงของแว่นแคว้น ซึ่งเป็นเรื่องของฝ่ายบ้านเมืองว่า การที่บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรือง มั่นคงอยู่ได้ ต้องอาศัยพระราชา ซึ่งต้องมีกัลยาณมิตร เช่น มีมหาอำมาตย์ มีข้าราชบริพาร ที่มีความสามารถ มีสติปัญญา เปี่ยมด้วยคุณธรรม ความซื่อสัตย์และต้องมีความไม่ประมาท
พระพุทธองค์ตรัสกับพระเจ้าปเสนทิโกศล โดยทรงเน้นหลักความไม่ประมาท
(สํ.ส.๑๕/๓๘๔)
นอกจากนั้น ในที่อี่นๆ พระองค์ยังได้ตรัสอีกว่า ความไม่ประมาทนั้น เป็นดุจรอยเท้าช้าง กล่าวคือรอยเท้าสัตว์บกทั้งหลาย ไม่มีรอยเท้าใดใหญ่เกินรอยเท้าช้าง รอยเท้าทุกอย่างลงในรอยเท้าช้างได้ทั้งหมด ฉันใด ธรรมทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสก็รวมลงในความไม่ประมาทได้ทั้งสิ้น ฉันนั้น
(สํ.ม.๑๙/๒๕๓)
ทำไมพระพุทธเจ้าทรงย้ำนักหนาในเรื่องความไม่ประมาท อยากจะเอามาพูดกัน ใน
แง่หนึ่ง
เท่ากับเป็นการสรุปรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปด้วย เพราะว่า
ธรรมทุกข้อรวมลงได้ในความไม่ประมาท
และเรื่องความไม่ประมาทก็มีพุทธพจน์ที่ตรัสที่เมืองสาวัตถีด้วย
ขอให้พิจารณาถึงความเป็นไปของสิ่งทั้งหลาย ที่เราบอกว่ามีความไม่เที่ยง มีการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป
ในเรื่องของความ
ไม่เที่ยงเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป
นี้ ก็
รวมถึงสังคมมนุษย์ด้วย
สังคมมนุษย์ของเรา แม้แต่สังคมที่เล็กที่สุดคือครอบครัว วงศ์ตระกูล ขยายไปจนกระทั่งเป็นชุมชน ถิ่นฐาน แว่นแคว้น ประเทศชาติและอารยธรรมของมนุษย์ทั้งหมด เราจะเห็นว่าล้วนตกอยู่ในคตินี้ คือเจริญขึ้น แล้วก็เสื่อมลง เป็นอย่างนี้กันมาเรื่อยตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม ความเจริญและความเสื่อม ที่เป็นเรื่องของความไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงเหล่านี้นั้น เราก็เห็นได้ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่า
มันไม่ใช่เป็นไปอย่างเลื่อนลอย แต่มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย
เหตุปัจจัยแห่งความเสื่อมและความเจริญเหล่านั้น ส่วนหนึ่งซึ่งสำคัญที่สุด ก็คือ
การกระทำของมนุษย์เอง
หมายความว่า มนุษย์นี้เป็นเหตุปัจจัยอย่างหนึ่ง ในบรรดาเหตุปัจจัยทั้งหลาย
แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
ขยายความว่า ที่จะเจริญและจะเสื่อมไปนั้น เหตุปัจจัยอย่างอื่นก็มี แต่เหตุปัจจัยที่สำคัญยิ่ง ก็คือตัวมนุษย์เอง ซึ่ง
ได้แก่การกระทำของมนุษย์นั้น
การกระทำของมนุษย์เป็นปัจจัยที่สำคัญมาก คือกรรมที่จะทำให้เกิดความเสื่อมและความเจริญ
ปัจจัยในส่วนของมนุษย์ คือกรรมของมนุษย์นั้น เป็นปัจจัยใหญ่ที่จะไปจัดการกับเหตุปัจจัยอื่นได้ด้วย รวมทั้งจัดการกับเหตุปัจจัยในธรรมชาติ สิ่งทั้งหลายจะเป็นอย่างไร เป็นเพราะมนุษย์ไปจัดไปทำนั้นมากมาย
อย่างเรื่องธรรมชาติแวดล้อมที่เปลี่ยนไปในทางเสื่อมก็ดี ทางเจริญก็ดี มนุษย์ทำได้มาก เช่นต้นไม้ มนุษย์จะไปปลูกก็ได้ จะไปตัดไปโค่นก็ได้ ป่าไม้ที่หมดไปในยุคนี้ ส่วนใหญ่ก็เกิดจากมนุษย์เป็นผู้ทำลาย
ด้วยเหตุนี้ ปัจจัยในส่วนของมนุษย์จึงมีความหมายไม่เฉพาะการกระทำที่ตัวมนุษย์เอง หรือในส่วนของ
มนุษย์ กับ มนุษย์
ด้วยกันเองเท่านั้น แต่รวมถึง
แรงผลักดันที่มนุษย์
ไปจัดการสิ่งอื่นๆ ทั่วไปด้วย เช่น ต่อ
ธรรมชาติแวดล้อม
เป็นต้น เพราะฉะนั้น เราจะต้องให้ความสำคัญแก่เหตุปัจจัยในส่วนของมนุษย์ให้มาก
ทีนี้เรามามองด้านสังคมว่า สังคมมนุษย์มีความเสื่อมความเจริญ และความเสื่อมความเจริญนี้ เป็นไปตามเหตุปัจจัย และเหตุปัจจัยที่สำคัญก็คือตัวมนุษย์เอง
ตัวมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความเสื่อมความเจริญ เพราะฉะนั้น ถ้าจะดูว่าสังคมหรือโลกจะเสื่อมหรือเจริญ ก็ต้อง
ดูที่ตัวมนุษย์เป็นสำคัญ
เราก็คอยตรวจดูว่าตัวมนุษย์เวลานี้เป็นอย่างไร เป็นมนุษย์ที่จะทำให้เสื่อมหรือทำให้เจริญ
ที่ว่า
จะเจริญหรือเสื่อมอยู่ที่มนุษย์
เช่นว่า ถ้า
สมัยใดมนุษย์มีความเข้มแข็ง
มีความเอาใจใส่ ใช้สติปัญญา ตั้งใจทำการงาน มีความเพียรพยายาม ตั้งใจเรียนรู้และสร้างสรรค์ สังคมตั้งแต่ครอบครัวขึ้นไปจนถึงประเทศชาติก็เจริญมั่นคง
แต่สมัยใดมนุษย์เกียจคร้าน
ไร้ความเพียร มีแต่ความหลงมัวเมา ฝากชีวิตและความสุขไว้กับการเสพบริโภค ไม่ใฝ่รู้และคิดถึงจุดหมายอะไรที่ดีงามสูงขึ้นไป
เมื่อนั้น สังคมก็เสื่อม
จะเห็นว่า
อารยธรรมต่างๆ ได้เป็นมาอย่างนี้
อารยธรรมหลายอารยธรรมที่เจริญขึ้นมานั้น สมัยก่อนก็ยังไม่มีความเจริญ คนอยู่กันลำบากยากแค้น ต้องเร่ร่อนหาที่ทำกิน แต่ปรากฏว่าบรรพบุรุษมีความขยันหมั่นเพียร ตั้งใจสร้างสรรค์ความเจริญ อารยธรรมนั้นๆ ก็รุ่งเรืองขึ้นมา
แต่พอเจริญรุ่งเรืองแล้ว ถึงยุคที่มีความสุขสำราญ พรั่งพร้อมทุกอย่าง คนในยุคนั้นก็เริ่มหลงมัวเมาติดเพลินในความสุข ไม่ขยันหมั่นเพียร ไม่ตั้งใจทำกิจหน้าที่ สังคมก็กลับเสื่อมลงไป
พอเสื่อมแล้ว เจอความทุกข์ ก็กลับดิ้นรนขวนขวาย แล้วก็เจริญขึ้นมาใหม่ เป็นอย่างนี้สลับกันไป (แต่บางสังคมหรือบางอารยธรรมก็เสื่อมสิ้นหรือสูญไปเลย)
เราเลยได้เห็นวงจรแห่งความเจริญและความเสื่อมของสังคมมนุษย์ เข้าหลักที่ว่า มนุษย์เมื่อถูกทุกข์บีบคั้นภัยคุกคาม ก็จะกระตือรือร้นขวนขวาย แล้วก็เจริญขึ้นมา แต่เมื่อไรมีความสุขสบาย ก็มีความโน้มเอียงไปในทางที่จะเพลิดเพลิน ลุ่มหลง มัวเมา เกียจคร้าน เฉื่อยชา แล้วก็กลับเสื่อมโทรมลงไป
พูดสั้นๆว่า เมื่อถูกทุกข์บีบคั้น ถูกภัยคุกคาม ก็ลุกขึ้นดิ้นรน ขวนขวาย เมื่อสุขสบาย ก็หลงละเริงมัวเมา นอนเสพหาความสุข
Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2567
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2567 7:55:36 น.
0 comments
Counter : 164 Pageviews.
(โหวต blog นี้)
Share
Tweet
ชื่อ :
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [
?
]
Webmaster - BlogGang
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
Bloggang.com