|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
มรณัสสติ นึกถึงความตายที่จะมีแก่ตน เรื่องตายไม่น่ากลัว เรื่องเกิดสิน่ากลัว เพราะตายแล้วก็แล้วกัน แต่เรื่องเกิดต้องอยู่อีกหลายปี เรื่องตายจึงเป็นเรื่องธรรมดา มันเดินทางมาด้วยกัน กับ ความเกิด พอเกิดมามันก็เดินทางมาด้วย ทั้งตายทั้งเกิด แล้วอยู่คู่กันตลอดเวลา ไอ้ร่างกายเราเวลานี้มันก็กำลังเกิด แล้วกำลังตายเหมือนกัน เกิด ตาย เกิด ตาย เพราะในพุทธศาสนาถือว่าเป็น ขณิกวาท เป็นของชั่วขณะ ไม่เป็นกลุ่มก้อน แต่เกิด ดับ เกิด ดับ ทุกเวลา แต่ไม่ตายเด็ดขาด เพราะยังมีสิ่งสืบต่อชดเชย
ถ้าหากหมดสิ่งชดเชย เมื่อนั้นก็เรียกว่าตายจริงๆ ร่างกายดับจริงๆ การตายไม่ได้เจ็บปวดอะไร ไอ้เจ็บปวดมันเรื่องความเจ็บกาย ความตาย พอหลับตาก็ตายไป ไม่เห็นจะทุกข์ร้อนอะไร ความจริงมันไม่น่ากลัว ตายแล้วก็จบฉากไป
แต่ตอนเป็นซิน่ากลัว เดี๋ยวข้าวสารแพง ไอ้นั่นแพง ไอ้นี่แพง กลัวบ้านเมืองจะวุ่นวาย พอตายแล้วมันไม่น่ากลัว ลองไปถามไอ้พวกนอนอยู่ในโลง ถ้ามันตอบได้มันก็จะบอกว่า ข้าไม่รู้ไม่ชี้ มนุษย์นี่ยุ่งจริงๆเว้ย คนกลัวตายนี่ตายวันละหลายหน
แต่คนไม่กลัวตายก็เป็นคนไม่ตาย ถ้าเราไม่กลัวตาย เมื่อไรก็ได้ จะมาหาฉันเมื่อไรก็ได้ ความตายเอ้ย จึงต้องนึกถึงความตายไว้บ้าง
อีกอย่างหนึ่ง ความตายมันดี คือว่าคนรักจะรักเรามาก คนเกลียดจะได้สบายใจ รักน่ะต้องคิดถึงเรามาก ถ้าเราตาย ส่วนคนที่เกลียดเราก็สบายใจ เออ มันตายไปเสียทีก็ดี ไม่ขาดทุน ไม่สูญหาย เราจึงไม่ควรจะไปกลัวตาย ถ้าไม่กลัวตายก็ไม่ต้องมีเครื่องรางของขลัง ไอ้คนที่แขวนเครื่องรางของขลังมากๆ นะมันกลัวตาย ไม่เจริญมรณัสสติเสียบ้าง
เมื่อสมัยสงครามญี่ปุ่น ผมอยู่กรุงเทพ ฯ วัดสามพระยา ระเบิดตกที่เทเวศร์ราบไปเลย ผมเลยชวนพระด้วยกันไปดู ปรากฏว่าวังทั้งหลายหายไปเลย เลยนึกกลัว ไม่นอนวัดสามพระยาในคืนนั้น เลยไปนอนฝั่งธน ฯ วัดวิเศษการ เหมือนหนีเสือปะจระเข้ คืนนั้นมันไปทิ้งบางกอกน้อย แล้วก็ทิ้งระเบิดทำลายบ้านแถวนั้นราบพังไปหมดเลย
พวกเราเป็นพระไปหลบอยู่ในคู ซึ่งคูนั้น กลางวันนอนไม่ลงละ น้ำมันสกปรก พอตกใจระเบิดลงนอนเฉยเลยในบ่อน้ำ เอามือจับบ่อไว้
มีพระองค์หนึ่ง วิ่งเตลิดไปในสวน พอเจอโยมก็บอกว่า โยมช่วยด้วย
โยมบอกว่า ผมซิจะบอกให้พระช่วย เรื่องอะไรพระจะให้ผมช่วยละ ก็เลยนึกได้ว่าตัวเองเป็นพระเลยเดินกลับวัด พอตอนเช้าขาลายเลย ส่วนผมนอนอยู่ในร่อง คิดว่า ถ้าไม่ลงมาโดนข้าก็ไม่ตาย เลยนอนเฉย ไม่กลัว ยอมแล้ว แล้วว่าถ้าไม่ลงบนหัวก็รอดต่อไป เหตุที่เฉยก็เพราะยอมแล้วนั่นเอง ไม่กลัวตายเลยไม่เป็นไร
อีกทีหนึ่ง ไปพักที่วัดสงขลา ยิ่งกว่ากรุงเทพฯ อีก กรุงเทพฯ มันกว้าง ทิ้งบางรัก ทิ้งเทเวศน์ ไม่เป็นไร ทิ้งบางรัก บางขุนพรหมไม่เป็นไร สงขลาเมืองนิดเดียว มันบินวนอยู่บนหัว ไม่วนเปล่า ยิงปืนกลกราดด้วย ผมก็ลงไปอยู่ในป่ากับเพื่อน เดินๆ ไปเพื่อนหายไปเฉยๆ คนที่หายไปน่ะ เดินบุกไป ๙ กิโลเมตร ด้วยความตกใจโผล่ที่บางกระดาน แต่เดินทางลัดไปถึง ๙ กิโลเมตร หนามเป้งชายทะเลตำเต็มเท้า เป็นหนามทั้งนั้น กลับมาเลยว่าทำไมถึงทิ้งเพื่อนไปได้ เขาบอกว่ามันนึกไม่ออก ก็มันร่อนอยู่บนหัว เลยหนีไปเลย ผมเองนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ นั่งนึกว่า ถ้ามันจะตายก็ให้มันตายไป ถ้ามันยิงถูกกูตาย ไม่ถูกกูอยู่ต่อไป ภาวนาพุทโธๆๆ ไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าไม่เป็นไร แล้วก็ไม่กลัว ไม่กลัวก็ตรงที่ยอมมันนั่นเอง เลยนึกว่าตายก็ตาย เลยไม่กลัวมัน
ในเมื่อผจญกับสิ่งที่เป็นอันตราย อย่าไปกลัวมัน ยอมมันเลย ตายก็ตายวะ เราก็ไม่กลัวเองแหละ อย่างเราเป็นทหารออกรบ เวลาออกไปตระเวนหาข้าศึก ก็นึกว่ามันยิงโดนกูก่อน กูตาย ถ้ากูเห็นก่อนกูก็ยิงละวะ มันก็ไปได้ด้วยความกล้าหาญ เพราะเรายอมแล้วก็ไม่กลัวตายเอง
พวกเราเวลานอนก็หัดตายเสียบ้าง เอามือวางท่าถือดอกไม้ หลับตาคิดว่ากูนี่ ถ้าไม่หายใจออกก็ตาย ถ้าหายใจเข้า แล้วไม่หายใจออกก็ตาย นอนไปหัวใจหยุดเต้นก็ตาย
ถ้าคืนนี้เกิดตายไปจะมีอะไร สมบัติทั้งหลายไม่ใช่ของเรา เราเกิดมาอาศัยโลกชั่วคราว ของในห้องนี้ไม่ใช่ของเรา ถ้าเราอยู่ก็ใช้มันไป
ถ้าตายไปก็เป็นของคนอื่นต่อไป จะไปยึดถือมันทำไม ไม่ใช่ของเที่ยงแท้อะไร ถ้าจะแตกดับไปคืนนั้น ช่างเป็นไร ถ้าตายคืนนั้นก็ตายดี
แต่ถ้านึกว่าขโมยจะเข้ามาเลยนอนไม่หลับ เรายอมมันเสียก็หมดเรื่อง อย่างนี้เรียกว่า เจริญมรณัสสติ นึกถึงความตายบ่อยๆ
คนขับรถก็ควรนึกถึงความตายบ่อยๆ ว่าเวลานี้กูขับรถ ถ้ากูประมาท กูตายแน่ ก็ไม่ประมาท เอาตัวรอดได้
คนไม่เจริญมรณัสสติก็จะตายง่าย เพราะประมาท เราจึงต้องหมั่นคิดไว้บ่อยๆ วันหนึ่งต้องคิดถึงความตายสักครั้ง อย่างน้อยก่อนนอนก็ต้องนึกถึงความตาย ไปไหนก็นึกว่าชีวิตมันไม่เที่ยง
ทีนี้ เมื่อนึกถึงความตายแล้ว มืออ่อนตีนอ่อนไปเลย ไม่ต้องทำอะไร ถามว่าทำไม บอกว่า ทำไปทำไม อีกไม่กี่วันก็จะตายแล้ว ถ้าอย่างนี้ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงเป้าหมายที่พระพุทธเจ้าต้องการ
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เจริญมรณัสสติ เพื่อให้รู้ว่าเราจะต้องตาย เราหนีความตายไม่พ้น แล้วจะได้ไม่ประมาท ให้รีบเร่งใช้ชีวิตที่จะต้องตายนี้ให้เป็นประโยชน์ ให้เร่งทำประโยชน์ ให้เร่งเล่าเรียน ให้เร่งศึกษา เป็นนักเรียนรีบเรียนเข้า เดี๋ยวพ่อแม่ตายไม่ทันได้ฉลองปริญญา ไม่ได้ชื่นอกชื่นใจ รีบเรียนหน่อย อย่าเรียนเถลไถล ทำอะไรก็รีบทำ มีหน้าที่อันใดก็รีบทำเข้าไป ตามสมควรแก่หน้าที่
บางคน คิดว่าทำไปทำไม ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ คิดผิด
เราไม่ได้ทำเพื่อจะเอาไป ก็เราไม่ได้เอาอะไรมา แล้วจะเอาไปอย่างไร เวลาเกิดมาเอาอะไรมาบ้าง มาตัวเปล่าทั้งนั้น ไม่ได้ถืออะไรมา มือไม้ไม่มีอะไร ตายก็ต้องไปมือเปล่า จะเอาอะไร คิดผิดที่ว่าไอ้นั่นของกู ไอ้นี่ของกู เรียกว่าตู่ธรรมชาติ เราก็ควรจะคิดว่า เราเกิดมาไม่ได้เอาอะไรมา เวลาไปก็จะเอาอะไรไปเล่า ที่เราทำๆ เราทำไว้ในโลกนี้ เราทำตามหน้าที่ในฐานะเป็นลูกหนี้ธรรมชาติ ลูกหนี้คุณแม่ แม่ธรณี เป็นหนี้ท่าน ท่านไม่คิดดอกเบี้ยอะไรดอก เราเอามากินมาใช้ตามชอบใจ เราก็ต้องเปลื้องหนี้เสียบ้าง ด้วยการทำอะไรๆ ให้เป็นประโยชน์ ชีวิตนี้จะมีค่าตรงที่เราใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ จะมีค่าที่ตรงไหน ต้องคิดอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น เมื่อเราคิดถึงความตายก็ต้องคิดว่า ชีวิตนี้เปลี่ยนแปลงไปสู่ความแตกดับทุกลมหายใจเข้า-ออก ถ้าเราไม่ใช้ให้มันเป็นประโยชน์ แล้วจะมีค่าได้อย่างไร เมื่อนึกถึงความตายก็ต้องรีบทำงานตามหน้าที่ ใครมีหน้าที่อันใดต้องลุกขึ้นว่องไวก้าวหน้าเพื่อปฏิบัติหน้าที่ เดี๋ยวจะตายเสียก่อน แล้วจะไม่ได้ทำสิ่งนั้น ไม่ได้ทำสิ่งนี้ ต้องรีบทำจึงจะดี
คนที่นึกถึงความตายถูกทาง จะเป็นคนที่ว่องไวก้าวหน้า แล้วปฏิบัติหน้าที่ได้เรียบร้อยสมบูรณ์ทุกประการ ประโยชน์มีอย่างนี้ เราจึงควรจะได้คิดไว้บ้าง เตือนใจไว้บ้าง
มรณัสสติ เตือนใจว่าชีวิตเป็นของไม่แน่ เราอาจจะตายลงไปเมื่อใดก็ได้ แล้วจะได้รีบใช้ชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์ ในการประกอบกิจหน้าที่ต่อไป.
Create Date : 02 สิงหาคม 2565 |
|
2 comments |
Last Update : 2 สิงหาคม 2565 8:56:45 น. |
Counter : 531 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เขียนเล่าได้สนึกมากๆชอบๆ
จริงๆความตายมันไม่น่ากลัว
แต่ทำไมจึงกลัวมันก็ไม่รู้
ผมกลัวจริงๆครับว่าหากคน
ข้างๆตายไปแล้วเราจะอยู่กับใคร
อยากตายตามไปด้วยฮ่าๆ