กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
 
ธันวาคม 2564
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
space
space
12 ธันวาคม 2564
space
space
space

พุทโธวาทก่อนปรินิพพาน (๙)


    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คฤหัสถ์ผู้ยังบริโภคกาม   เกียจคร้านหนึ่ง   พระราชาประกอบกรณียกิจ โดยมิได้พิจารณาโดยรอบคอบถี่ถ้วนก่อนหนึ่ง   บรรพชิตไม่สำรวมหนึ่ง   ผู้อ้างตนว่าเป็นบัณฑิตแต่มักโกรธหนึ่ง   สี่จำพวกนี้ไม่ดีเลย   ภิกษุทั้งหลาย   กรรมอันใดที่ทำไปแล้ว  ต้องเดือดร้อนใจภายหลัง  ต้องมีหน้าชุ่มด้วยน้ำตา  เสวยผลแห่งกรรมนั้น  ตถาคตกล่าวว่า กรรมนั้นไม่ดี  ควรเว้นเสีย"


    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย   เมื่อเราอยู่ในวัยหนุ่ม  มีเกศายังดำสนิท  ถูกแวดล้อมด้วยสตรีล้วนแต่สะคราญตา  เป็นที่น่าปรารถนาของบุรุษเพศผู้ยังตัดอาลัยในบ่วงกามมิได้  แต่เราเบื่อหน่ายในโลกียวิสัย จึงสละสมบัติบรมจักรและนางผู้จำเริญตา  ออกแสวงหาโมกขธรรมแต่เดียวดาย  เที่ยวไปอย่างไม่มีอาลัย  ปลอดโปร่งเหมือนบุคคลที่เป็นหนี้แล้วพ้นจากหนี้  เคยถูกคุมขังแล้วพ้นจากที่คุมขัง  เคยเป็นโรคแล้วหายจากโรค  หลังจากท่องเที่ยวอยู่เดียวดาย  และทำความเพียรอย่างเข้มงวด  ไม่มีใครจะทำได้ยิ่งไปกว่าอยู่เป็นเวลาหกปี  เราก็ได้ประสบชัยชนะอย่างใหญ่หลวงในชีวิต ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณสงบเยือกเย็นถึงที่สุด  ล่วงพ้นบ่วงแห่งมารทั้งปวงทั้งที่เป็นทิพย์และเป็นของมนุษย์  มารและธิดามาร  คือ  นางตัณหา  (ตัณหา)  นางราคะ (ราคะ) และนางอรดี  (ความยินดี)  ได้พยายามยั่วยวนเราด้วยวิธีต่างๆ  เพื่อให้เราตกยู่ในอำนาจ  แต่เราก็หาสนใจใยดีไม่  ในที่สุด  พวกนางก็ถอยหนีไปเอง  เราชนะมารอย่างเด็ดขาด  จนมีนามก้องโลกว่า “ผู้พิชิตมาร”


    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ชีวิตนี้  เริ่มต้นด้วยเรื่องน่าละอาย  ทรงตัวอยู่ด้วยเรื่องที่ยุ่งยากสับสนและจบลงด้วยเรื่องเศร้า  อนึ่ง  ชีวิตนี้  เริ่มต้นและจบลงด้วยเสียงคร่ำครวญ  เมื่อลืมตาขึ้นดูโลกเป็นครั้งแรก  เราก็ร้องไห้ และเมื่อจะหลับตาลาโลก  เราก็ร้องไห้อีก หรืออย่างน้อย  ก็เป็นสาเหตุให้คนอื่นหลั่งน้ำตา  เด็กร้องไห้พร้อมด้วยกำมือแน่น   เป็นสัญลักษณ์ว่า  เขาเกิดมาเพื่อจะหน่วงเหนี่ยวยึดถือ  แต่เมื่อจะหลับตาลาโลกนั้น  ทุกคนแบมือออก  เหมือนจะเตือนให้ผู้อยู่เบื้องหลังสำนึก  และเป็นพยานว่า  เขามิได้เอาอะไรไปด้วยเลย"


    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจนั้น เป็นเรื่องทรมานยิ่ง และเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพราก ก็เป็นสิ่งสุดวิสัย ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง"


   "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรักเป็นความร้าย ความรักเป็นสิ่งทารุณ และเป็นเครื่องทำลายความสุขของปวงชน ทุกคนต้องการความสมหวังในชีวิตรัก แต่ความรักไม่เคยให้ความสมหวังแก่ใครถึงครึ่งหนึ่งแห่งความต้องการ ยิ่งความรักที่ฉาบทาด้วยความเสน่หาด้วยแล้ว ก็เป็นพิษแก่จิตใจ ทำให้ทุรนทุรายดิ้นรนไม่รู้จักจบสิ้น ความสุขที่เกิดจากความรักนั้นเหมือนความสบายของคนป่วยที่ได้กินของแสลง เธอทั้งหลายอย่าพอใจในความรักเลย เมื่อจิตใจยึดไว้ด้วยความรัก จิตใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิดจ้า แต่ทุกครั้งที่เราหวัง ความผิดหวังก็จะรอเราอยู่"


   "ดูกรภิกษุทั้งหลาย   อย่าหวังอะไรให้มากนัก   จงมองดูชีวิตอย่างผู้ช่ำชอง อย่าวิตกกังวลอะไรล่วงหน้า   ชีวิตนี้เหมือนเกลียวคลื่น   ซึ่งก่อตัวขึ้นแล้วม้วนเข้าหาฝั่ง และแตกกระจายเป็นฟองฝอย จงยืนมองดูชีวิตเหมือนคนผู้ยืนอยู่บนฝั่ง   มองดูเกลียวคลื่นในมหาสมุทร ฉะนั้น"
 
 
 



Create Date : 12 ธันวาคม 2564
Last Update : 31 สิงหาคม 2567 21:17:00 น. 0 comments
Counter : 479 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space