เรื่องราวของทันตแพทย์หญิงท่านหนึ่ง ที่ป่วยด้วยโรคร้ายตั้งแต่อายุยังน้อย ผ่านระยะเวลาการรักษา จนเข้าสู่ระยะสุดท้ายก่อนจากไปอย่างสงบ
โดยพี่ชายคุณหมออร ได้เขียนรำลึกถึงการจากไปไว้อย่างมีแง่คิด โดยระบุว่า....”
ตอนอรรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งที่ปอด หมอบอกว่าจะอยู่ได้อีกแค่ 6 เดือน แต่อรก็สู้รักษาตัวอยู่มาได้นี่ก็ย่างเข้าปีที่สามแล้ว ทำให้อรมีเวลาเตรียมตัวทั้งเรื่องพินัยกรรม ทั้งเรื่องการเขียนสมุดเบาใจสั่งเสียร่ำลา ทั้งการเลือกแบบโลงศพ ทั้งการฝึกปฏิบัติภาวนา ทั้งการขออโหสิ และให้อภัยคนที่เคยขุ่นเคือง เจอหน้ากันเดือนก่อน อรบอกว่าพร้อมไปละ แต่นั่นแหละ … สมองกับจิตมันคนละส่วนกัน สมองอาจคิดได้แต่จิตจะเชื่อหรือเปล่าเป็นอีกเรื่องนึง
สองสัปดาห์ก่อน อรถูกส่งเข้า ICU มะเร็งลามไปทั่วตัว หมอเจาะใส่สายทั่วร่างกาย มะเร็งเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวดมากขนาดมอร์ฟีนก็เอาไม่อยู่ อรหายใจลำบากเพราะมะเร็งกินปอดเกือบหมด หมอต้องให้ออกซิเจน แต่ที่แย่คือร่างกายมันไม่หลับ ยานอนหลับเอาไม่อยู่ อรมีสติรับรู้เกือบตลอดเวลายังคุยได้แบบเบลอๆ วันก่อนหมอให้ตามญาติมาเพื่อสั่งเสีย เพราะอรพร้อมไปตลอดเวลา จากนั้นหมอแนะนำว่าควรให้คนไข้ Drip ยาเพื่อค่อยๆหลับและจากไปจะได้ไม่ทรมาน
การ Drip ยานอนหลับหรือยาระงับประสาท เป็นการไปกดประสาทเพื่อให้คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บจะได้หลับและจากไปอย่างสงบ เราไม่ได้ไปหยุดหรือแทรกแซงกระบวนการทำงานของร่างกาย มันหยุดของมันเอง ไม่ถือเป็นการฆ่าตัวตายหรือการุณยฆาต ต่างจากการุณยฆาต ที่ระบบร่างกายยังไม่ล้มเหลว แต่เจ้าตัวไม่อยากทนอีกต่อไป หมอจะฉีดยาให้หัวใจหยุดเต้นเพื่อให้หลับไป ซึ่งในทางพุทธถือเป็นการฆ่าตัวตายและเมืองไทยกฏหมายยังไม่ยอมรับ ยังไม่สามารถทำได้
คำถาม … ถึงตอนนั้นถ้าเราเป็นผู้ป่วยและยังมีสติรู้ตัว เราจะยอม Drip ยามั๊ย จำได้มั๊ยว่าก่อนหน้านี้อรบอกว่าอรพร้อมที่จะไป อีกอย่างอรเป็นหมอฟัน อรเข้าใจขั้นตอนทางการแพทย์ดีแสดงว่าอรก็น่าจะยอมรับได้ อย่างที่บอก … สมองกับจิตมันคนละส่วนกัน เพราะพออรรู้ว่าหมอแนะนำให้ Drip ยา อรกลับร้องไห้ไม่อยากทำ อรยังไม่อยากไป อรขอเวลาทำใจ คิดดูทั้งๆที่เจ็บทรมานขนาดนี้สลึมสลือตลอดเวลา แต่จิตข้างในมันก็ยังไม่ยอม มันยึด มันหวงกาย เพราะเป็นธรรมชาติของจิตมนุษย์ทุกคนที่ต้องหวงกายเพื่อดำรงเผ่าพันธ์ ตอนกลางคืนชั่วขณะนึงผมมีโอกาสอยู่กับน้องอรสองคนในห้อง ICU อรถามเศร้าๆว่า “อรจะอยู่บนโลกนี้วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วเหรอพี่ทอม … พรุ่งนี้อรค่อยให้คำตอบได้มั๊ยอะ
ในทางพุทธศาสนา เราเชื่อกันว่าจิตสุดท้ายก่อนตายเป็นสิ่งสำคัญมาก ตอนอรฝึกภาวนาใหม่ๆผมกับอ้นก็บอกว่า ครูบาอาจารย์ท่านบอกฝึกไว้เพื่อจะได้เอาไว้ใช้ก่อนตาย เพราะตอนร่างกายจะแตกดับ เวทนาความเจ็บปวดจะแรงกล้ามาก ไหนจะเจ็บปวด ไหนจะคนมารุมล้อม ไหนจะห่วงนู่นนี่นั่นสารพัด จิตก็จะฟุ้งไม่สงบและเศร้าหมอง จะดีกว่ามั๊ยหากเราฝึกวางได้เหมือนซ้อมก่อนตาย เพราะเมื่อต้องตายจริงๆจิตจะได้วางได้
อรฝึกภาวนาฝึกซ้อมก่อนตายมาเป็นปี ถึงเวลาจริงๆอรยังบอกผมว่า เอาเข้าจริงมันยากมากๆเลยนะพี่ทอมที่จะมีสติบอกว่าวาง … มันเจ็บ ครูบาอาจารย์บอกว่า การมีสติสัมปชัญญะพร้อมตายนั่นแหละดีที่สุดจะไปภูมิที่ดี คนเราไม่ได้ตายจริงแค่เปลี่ยนร่างเฉยๆ จิตไม่ตาย แต่จะไปตามอุปทานจิตก่อนตาย ถ้าจิตใจสบายไม่วิตกกังวลก็ไปสุคติภูมิ ถ้าวิตกกังวลมากก็ไปภูมิต่ำ การมีสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่กังวล อยู่กับลมหายใจเข้าออกเพื่อให้ไม่วิตกกังวล จิตก็จะแจ่มใสไม่เศร้าหมอง … ก็จะไปสุคติภูมิ
วันรุ่งขึ้นอรยอมรับ แต่ขอไม่ใช่ที่ห้อง ICU อรขอ 3 ข้อ ข้อแรก : ขอเป็นห้อง VIP ที่มีส่วนแยกระหว่างห้องผู้ป่วยกับห้องรับแขก ข้อสอง : ขอเพื่อนฝูง-ญาติพี่น้องให้อยู่แต่ในห้องรับแขก และปิดประตูห้ามร้องไห้ให้ได้ยิน ข้อสาม : ขออรอยู่กับหมอเพียงสองคน ห้ามมีคนมาจับมือ ห้ามมีคนมารุมล้อมหรือมีคนมาพูดคุยสั่งเสียอะไรอีก อรอยากจากไปอย่างสงบเงียบๆคนเดียว
ตลอดเวลาตั้งแต่ห้อง ICU ย้ายลงมาห้อง VIP แม้นจะสลึมสลือเพราะฤทธิ์ยาแต่อรยังคุยรู้เรื่องยังคงครองสติได้ดีและมีกำลังใจที่ดี การ Drip ยามี 3 steps หมอจะให้ทางสายยาง ปกติผู้ป่วยส่วนใหญ่ให้แค่ Step 1 ก็จะหลับไม่รู้ตัวแล้วก็จากไป แต่อาจเพราะอรสติดีมากยังรู้ตัว ผ่านไปหนึ่งคืนหมอเลยให้ Step2
แต่สุดท้ายอรขอให้พี่เหลียงสามีมายืนข้างเตียงคนเดียว และขอให้จับมือเป็นเพื่อนไปเรื่อยๆ ส่วนเรอิลูกสาว อรขอให้มาหลังอรจากไปแล้ว เพราะกลัวเรอิร้องไห้ อรไม่อยากพะว้าพะวัง
ฝนตกหนักตั้งแต่เมื่อวาน ต้นหางนกยูงฝรั่งเริ่มแตกดอกส้ม-เหลือง-แดง ตามริมทาง ที่โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต วันเสาร์ที่ 14 พย. 2564 เวลา16.47 น. น้องหมออรก็ได้ออกเดินทางไกล และจากไปอย่างสงบในวัย 42 ปี
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1741643226039279&set=a.127522034118081
สติ ความระลึกได้, นึกได้, ความไม่เผลอ, การคุมใจไว้กับกิจ หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่ทำ, จำการที่ทำและคำที่พูดแล้วแม้นานได้
สัมปชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อม, ความรู้ตระหนัก, ความรู้ชัดเข้าใจชัด ซึ่งสิ่งที่นึกได้, มักมาคู่กับสติ สัมปชัญญะ ๔ ได้แก่
๑. สาตถกสัมปชัญญะ รู้ชัดว่ามีประโยชน์ หรือตระหนักว่าตรงตามจุดหมาย
๒. สัปปายสัมปชัญญะ รู้ชัดว่าเป็นสัปปายะ หรือตระหนักว่าเกื้อกูลเหมาะกัน
๓. โคจรสัมปชัญญะ รู้ชัดว่าเป็นโคจร หรือตระหนักในแดนงานของตน
๔. อสัมโมหสัมปชัญญะ รู้ชัดว่าไม่หลง หรือตระหนักในตัวสภาวะ ไม่หลงใหล ไม่สับสนฟั่นเฟือน
Create Date : 13 ธันวาคม 2564 |
|
0 comments |
Last Update : 16 มกราคม 2567 16:43:03 น. |
Counter : 522 Pageviews. |
|
|
|