ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่สัตว์โลกจะหลุดพ้นจากบ่วงกามบ่องเสน่หา ตำนานพญานกยูงทอง - nokyungthong ครั้งเมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาค ทรงประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภถึงภิกษุผู้ตกอยู่ในอารมณ์กระสันรูปหนึ่ง จึงทรงตรัสพระปริตรนี้ให้แก่ภิกษุนั้นฟัง มีความว่า อดีตกาลเนิ่นนานมา มีพระราชาทรงพระนามว่าพรหมทัตต์ครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เจ้าได้บังเกิดในครรภ์นางนกยูง อาศัยอยู่ในป่าชายแดนกรุงพาราณสี เมื่อพระโพธิสัตว์ออกจากไข่แล้ว มีผิวพรรณและสีขนเป็นเงางาม เป็นสีทอง พร้อมประกอบด้วยลักษณะอันเลิศกว่านกทั้งปวง เมื่อเติบใหญ่ เจริญวัยขึ้น ก็ได้เป็นเจ้าแห่งนกยูงทั้งปวง วันหนึ่ง พญานกยูงทองได้ไปดื่มน้ำในสระแห่งหนึ่ง มองเห็นเงาของตนในน้ำ จึงได้รู้ว่าตนนี้มีรูปงามยิ่งกว่านกยูงทั้งหลาย จึงคิดว่า ถ้าเราขืนอยู่รวมกับหมู่นกยูงทั้งหลายอาจจะนำพาภัยมาถึงหมู่คณะและแก่ตัวเองได้ เห็นทีเราจะต้องหลีกออกเสียจากหมู่ไปหาที่อยู่ใหม่ คงจะต้องไปให้ไกลจนถึงป่าหิมพานต์ เราจึงจะพ้นภัย พญานกยูงทองนั้นคิดเช่นนี้แล้ว จึงออกบินไปด้วยกำลัง ไม่ช้านักก็ถึงป่าหิมพานต์นั้น เสาะแสวงหาได้ถ้ำแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสูงชัน ณ ป่าหิมพานต์นั้นเป็นที่อยู่อาศัย เป็นชัยภูมิที่เหมาะสม และปลอดภัยจากสัตว์ร้ายทั้งหลาย ครั้นรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์จึงได้ออกจากถ้ำ บินไปจับบนยอดเขา หันหน้าไปสู่ทิศบูรพา (ทิศตะวันออก) แล้วเพ่งมองดวงอาทิตย์ยามเช้า พร้อมกับสาธยายพระปริตร ซึ่งขึ้นต้นด้วยคำว่า "อุเทตะยัญ จักขุมาเอกะราชา ฯลฯ " เป็นต้น เพื่อป้องกันรักษาตนในเวลากลางวัน แล้วจึงเที่ยวออกไปแสวงหาอาหาร ครั้นถึงเวลาเย็น เมื่อจะบินกลับเข้าที่อยู่ พญานกยูงทอง ก็ไม่ลืมที่จะบินขึ้นไปจับอยู่บนยอดเขา หันหน้าสู่ทิศตะวันตก แหงนมองดวงอาทิตย์ที่กำลังอัสดงลับขอบฟ้าไป แล้วสาธยายมนต์พระปริตรขึ้นว่า "อะเปตะยัญ จักขุมา เอกะราชา ฯลฯ " เป็นต้น เพื่อป้องกันภัยและรักษาตนในเวลาตลอดราตรี แล้วจึงบินกลับเข้าไปอาศัยอยู่ในถ้ำจนตลอดรุ่ง เช้าตรู่ของวันใหม่ พญายูงทอง ก็ทำดังนี้ ทุกวันมิได้ขาด พร้อมได้สถิตสถาพรตั้งมั่นอยู่ในความสุขสำราญตลอดมา โดยมิมีทุกข์ภัยใดๆ มากล้ำกรายได้เลยกาลต่อมา มีพรานป่าผู้หนึ่งเดินหลงป่ามา ได้พบเห็นพญานกยูงทองที่เกาะอยู่บนยอดขุนเขานั้น แต่ก็มิได้ทำประการใด เพราะมัวแต่พะวงกับการหาทางออกจากป่า จนพรานผู้นั้นหาทางกลับบ้านของตนได้ แต่ก็มิได้เล่าเรื่องที่ตนได้พบเห็นพญานกยูงทองนั้นแก่ผู้ใด จวบจนเวลาที่ตนแก่ใกล้ตายจึงได้บอกเรื่องพญายูงทองให้แก่บุตรของตนได้ทราบ แล้วสั่งว่าควรนำข่าวนี้ไปแจ้งแก่พระราชาให้ทรงทราบ สั่งบุตรของตนแล้วก็สิ้นใจตาย ต่อมาภายหลัง พระมเหสีของพระราชาเจ้าเมืองพาราณสี ทรงพระสุบินนิมิตรว่า ขณะที่พระนางทรงประทับอยู่ภายในพระราชอุทยาน ณ ริมสระปทุมชาติ ได้มีนกยูงสีทองบินมาจากทิศอุดร แล้วร่อนลงจับอยู่ ณ ขอนไม้ใหญ่ท่อนหนึ่ง แล้วนกยูงทองนั้นก็ได้ปราศรัย แสดงธรรมให้แก่พระนางฟัง เมื่อพญายูงทองนั้นแสดงธรรมจบแล้ว จึงได้บินกลับสู่ทิศอุดรเช่นเดิม ในฝันพระนางได้ตะโกนร้องบอกแก่บริวารว่า ช่วยกันจับนกยูงที ช่วยกันจับนกยูงที พระนางตะโกนจนกระทั้งตื่นบรรทมนับแต่นั้นมา พระนางอาลัยปรารถนาจักได้นกยูงทองตัวนั้นมา จึงออกอุบายแสร้งทำเป็นทรงพระประชวร ด้วยอาการแพ้พระครรภ์ แล้วทูลขอพระสวามีว่า การแพ้ท้องครั้งนี้จักหายได้ ก็ต่อเมื่อหม่อมฉันได้มีโอกาสเห็นพญานกยูงทอง และได้สดับธรรมที่พญานกยูงทองนั้นแสดง พระเจ้าพรหมทัตต์ จึงทรงมีรับสั่งให้เกณฑ์เหล่าพรานไพรทั้งหลาย ที่อาศัยอยู่ในเมืองพาราณสีและรอบอาณาเขตพระนคร เมื่อบรรดาพรานไพรมาประชุมพร้อมกันแล้ว พระราชาจึงทรงตรัสถามว่า มีใครรู้จักนกยูงสีทองบ้าง ขณะนั้นพรานหนุ่มผู้ซึ่งเคยได้รับคำบอกเล่าจากบิดาว่า ได้เคยเห็นนกยูงทอง จึงลุกขึ้นกราบบังคมทูลเนื้อความนั้นแก่พระราชา พร้อมทั้งกราบทูลแจ้งที่อยู่ของพญานกยูงทองแก่พระราชาด้วย พระเจ้าพรหมทัตต์ จึงทรงมีพระบัญชาว่า ดีหล่ะในเมื่อเจ้าพอจะรู้ถึงถิ่นที่อยู่ของพญายูงทอง เราก็จะตั้งให้เจ้าเป็นพรานหลวงไปจับนกยูงทองตัวนั้นมาให้เราและพระมเหสี พรานหนุ่มรับพระบัญชาจากพระราชา แล้วออกเดินทางไปสู่ป่าหิมพานต์ เพื่อที่จะจับยูงทองตัวนั้นมาถวายพระราชาให้จงได้ จวบจนวันเวลาล่วงเลยไปหลายสิบปี พรานหนุ่มซึ่งบัดนี้แก่ชราลงแล้ว ก็ยังมิสามารถจับพญานกยูงทองนั้นได้ ครั้นจะกลับไปยังบ้านเมืองก็เกรงจะต้องอาญา จึงทนอยู่ในป่าหิมพานต์จนกระทั่งตาย ส่วนพระเทวี เมื่อเฝ้ารอพญายูงทองที่ส่งนายพรานไปจับ ก็ยังไม่เห็นมาจนกระทั่งตรอมพระทัยตายในที่สุด พระเจ้าพรหมทัตต์ทรงเสียดายอาลัยรักพระมเหสีเป็นที่ยิ่งนัก จึงทรงดำริว่า พระมเหสีของเราต้องมาตายโดยยังมิถึงวัยอันควร เหตุน่าจะมาจากพญานกยูงทองตัวนั้นเป็นแน่ บัดนี้เราก็แก่ชราลงมากแล้ว คงจะไม่มีโอกาสเห็นนายพรานคนใดจับนกยูงทองตัวนั้นได้เป็นแน่ ดีหละถ้าเช่นนั้นเราจะผูกเวรแก่นกยูงตัวนี้ ทรงดำริดังนั้นแล้ว จึงมีรับสั่งให้นายช่างทองสลักข้อความว่า หากผู้ใดได้กินเนื้อของพญานกยูงทอง ที่อาศัยอยู่ ณ ป่าหิมพานต์ จักมีอายุยืนยาวไม่แก่ ไม่ตาย ลงในแผ่นทอง แล้วเก็บรักษาไว้ในท้องพระคลัง ต่อมาไม่นาน พระเจ้าพรหมทัตต์ก็ถึงกาลทิวงคตลง แผ่นทองจารึกนั้นตกถึงมือของยุวกษัตริย์องค์ต่อมา เมื่อทรงรู้ข้อความในแผ่นทองจารึกนั้นก็หลงเชื่อ มีรับสั่งให้พรานป่าออกไปตามจับพญานกยูงทองมาถวาย และแล้วพรานไพรนั้นก็ต้องไปตายเสียในป่าอีก เหตุการณ์ได้ดำเนินไปเช่นนี้ จนสิ้นเวลาไป ๖๙๓ ปี พระราชาในราชวงศ์นี้ทิวงคตไป ๖ พระองค์แม้ว่าจะสิ้นพรานป่าไป ๖ คน พระราชาทิวงคตไป ๖ พระองค์ ก็ยังหามีผู้ใดมีความสามารถจับพญายูงทองโพธิสัตว์ได้ไม่ จวบจนถึงรัชสมัยพระราชาองค์ที่ ๗ ผู้ครองกรุงพาราณสี ได้คัดสรรจัดหาพรานป่าผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เป็นคนละเอียดรู้จักสังเกต รู้กลอุบาย นายพรานคนที่ ๗ เมื่อได้รับพระบัญชาจากพระราชาให้ออกไปจับนกยูงทอง ณ ป่าหิมพานต์ ก็จัดเตรียมอุปกรณ์พร้อมบ่วงบาศเพื่อจะไปดักจับพญายูงทอง พรานนั้นใช้เวลาในการดักจับพญายูงทองสิ้นเวลาไป ๗ ปี พญายูงทองก็หาได้ติดบ่วงของนายพรานไม่นายพรานจึงมาใคร่ครวญดูว่าทำไมบ่วงของเราจึงไม่รูดติดข้อเท้าของพญายูงทอง แต่ก็หาคำตอบได้ไม่ พรานนั้นก็มิได้ละความพยายาม เฝ้าสังเกตกิริยา และกิจวัตรประจำวันของพญายูงทอง จึงได้รู้ว่าทุกเช้า และทุกเย็นพญานกยูงทอง จักเจริญมนต์พระปริตร โดยช่วงเช้าบ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออกมองพระอาทิตย์ ตอนเย็นหันหน้าไปทางทิศตะวันตกมองพระอาทิตย์ แล้วสาธยายมนต์ พรานนั้นสังเกตต่อไปว่า ในที่นี้หาได้มีนกยูงตัวอื่นอยู่ไม่ แสดงว่าพญานกยูงนี้ยังรักษาพรหมจรรย์อยู่ คงด้วยอำนาจของการรักษาพรหมจรรย์และมนต์พระปริตร ทำให้บ่วงของเราไม่ติดเท้านกยูงทอง ครั้นนายพรานได้รู้มูลเหตุดังนั้นแล้ว จึงคิดจะขจัดเครื่องคุ้มครองของพญานกยูงทองเสีย นายพรานนั้นจึงเดินทางกลับสู่บ้านของตน แล้วออกไปดักนกยูงตัวเมียที่มีลักษณะดีในป่าใกล้บ้าน ได้มาหนึ่งตัว แล้วจึงทำการฝึกหัดให้นางนกนั้น รู้จักอาณัติสัญญา เช่น ถ้านายพรานดีดนิ้วมือ นางนกยูงก็จะต้องร้องขึ้น ถ้าปรบมือนางนกยูงก็จะทำการฟ้อนรำขึ้น เมื่อฝึกสอนนางนกยูงจนชำนิชำนาญดีแล้ว พรานนั้นก็พานางนกยูงเดินทางไปยังที่ที่พญานกยูงทองอาศัยอยู่ แล้วทำการวางบ่วงดักเอาไว้ ก่อนที่พญายูงทองจะเจริญมนต์พระปริตร พรานได้วางนางนกยูงลงใกล้ๆ กับที่ดักบ่วง แล้วดีดนิ้วมือ นางนกยูงก็ส่งเสียงร้องด้วยสำเนียงอันไพเราะจับใจ จนได้ยินไปถึงหูของพญายูงทองโพธิสัตว์