กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
บุญ
ข้อธัมม์ที่ถาม-เถียงกันบ่อย
หลักปฏิบัติ
สภาวธรรม
ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง
ผู้พิพากษาตั้งตุลา ใ ห้ สั ง ค ม ส ม ดุ ล
คติธรรมสั้นๆ
ภาษาธรรมวันละคำ
รู้เขา รู้เรา
ปัจฉิมวาจา
ความเป็นมาของการบวช
การทำวัตรสวดมนต์
ทำยังไงจึงจะมีอายุยืนและมีความสุข
นิพพาน-อนัตตา ฉบับเพียงเพื่อไม่ประมาท
พลังดันคน
ที่ทำงานของจิต
บรรลุธรรมอะไร?
พุทธปรัชญาในสุตตันตปิฎก
ธัมมาธิบาย
สวดมนต์
ความจน เ ป็ น ทุ ก ข์ ใ น โ ล ก
เรียนบาลีเพื่อรักษาพุทธพจน์
ศีล-ธรรมไม่มาโลกาจะพินาศ
หลักธรรมสำหรับผู้ยังไม่นับถือศาสนาใดๆ
ก่อนศึกษาพุทธธรรม
ภาค ๑. มัชเฌนธรรมเทศนา
ภาค ๒. มัชฌิมาปฏิปทา
ภาค ๓. อารยธรรมวิถี
วัฒนธรรมประเพณี
จารึกธรรม
<<
กรกฏาคม 2565
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
10 กรกฏาคม 2565
สามวิธีบวช
สรณคมน์
มงคล คาถาที่ ๖-๑๐
มงคล คาถาที่ ๑-๕
สัจจะกิริยา
แทรกเสริม
แทรกเสริม
ตำนานฉัททันต์ปริตร(จบ)
ตำนานฉัททันต์ปริตร(๑๓)
ตำนานฉัททันต์ปริตร(๑๒)
ตำนานฉัททันต์ปริตร(๑๑)
ตำนานฉัททันต์ปริตร(๑๐)
ตำนานฉัททันต์ปริตร(๙)
ตำนานฉัททันต์ปริตร(๘)
ตำนานฉัททันต์ปริตร(๗)
ตำนานฉัททันต์ปริตร(๖)
ตำนานฉัททันต์ปริตร(๕)
ตำนานฉัททันต์ปริตร(๔)
ตำนานฉัททันต์ปริตร(๓)
ตำนานฉัททันต์ปริตร(๒)
ตำนานฉัททันต์ปริตร
ฉัททันตะปริตร
เกี่ยวกับพาหุง(จบ)
บทพาหุง
บทถวายพรพระ
นักขัตยักษ์
ภวตุสัพ
มงคลจักรวาลใหญ่
สักกัตวา(จบ)
สักกัตวา
ชัยปริต
เทวตาอุยโยชนคาถา
อะภะยะปริตร
แทรกเสริม
โพชฌังคะปริตร
ตำนานอังคุลิมาลปริตร
องคุลิมาลปริตร
ตำนานโมรปริต
โมรปริต
ตำนานขันธะปริตร
ขันธะปริต
แทรกเสริม
ตำนานวัฏฏกปริต
วัฏฏะกะปริตร
ตำนานกรณียเมตตสูตร
กรณียเมตตสูตร
แทรกเสริม(สวดมนต์)
ตำนานรัตนสูตร
รัตนสูตร
ตำนานมงคลสูตร
มงคลสูตร
นโมการอัฏฐกคาถา
นะมะการะสิทธิคาถา
สัมพุทเธ
สามวิธีบวช
สรณคมน์
ระเบียบในการตั้งนะโม
???
ตั้งนะโม ๓ จบเสมอ
ปย.นมัสการพระ(๔)
ปย.นมัสการพระ(๓)
ปย.นมัสการพระ(๒)
ประโยชน์นมัสการพระ
ผู้ตั้งบทนมัสการ
การเรียงลำดับพระคุณ
แทรกเสริม
ตั้งนะโม(สัมมาสัมพุทธัสส)
ตั้งนะโม(อรหโต)
ตั้งนะโม
ชุมนุมเทวดา
แทรกเสริม
ไสยศาสตร์
อานิสงส์พระปริตร
ตำนานพระปริตร
พระปริตต์
องค์ประกอบพุทธศาสนา
สวดมนต์เรื่องใหญ่สวดกันทำไมต้องรู้ให้ชัด
สามวิธีบวช
ตำนาน
ในคัมภีร์มหาขันธกะ
พระวินัยปิฎก
กล่าวไว้ว่า เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว ในตอนแรกๆมีกุลบุตรมาขอบวช พระองค์ทรงรับด้วยพระองค์เอง ด้วย
วิธี
เอหิภิกขุอุปสัมปทา
คือ ตรัสอนุญาตด้วยวาจาว่า “
เอหิ ภิกฺขุ สฺวากฺขาโต ธมฺโม จร พฺรหฺมจริยํ สมฺมาทุกฺขสฺส อนฺตกิริยาย
” แปลว่า “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด” แล้วผู้ขอบวชถือเพศตามอย่างพระองค์ก็เป็นเสร็จ
ถ้าผู้ขอบวชหลายคนขอพร้อมกัน ก็ตรัสเป็นพหูพจน์ว่า “
เอถ ภิกฺขโว สฺวากฺขาโต ธมฺโม จรถ พฺรหฺมจริยํ สมฺมาทุกฺขสฺส อนฺตกิริยาย
” ถ้าผู้ขอบวชสำเร็จพระอรหัตก่อนแล้ว ตัด “สมฺมาทุกฺขสฺส อนฺตกิริยาย” ออก เพราะพระอรหันต์เป็นผู้ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้แล้ว
ครั้นมีพระสาวกขึ้นหลายองค์ แยกย้ายกันไปประกาศพระศาสนา
เมื่อมีผู้ศรัทธาจะบวช พระสาวกผู้เป็นอาจารย์ก็ต้องพามาถวายตัวขอบวชในพุทธสำนัก บางทีมาจากถิ่นไกลกันดาร ต้องลำบากมากทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์ ทรงเห็นว่า การพระศาสนาจะแพร่ออกไปและเจริญตั้งมั่นอยู่ตลอดกาลนานนั้นจำต้องอาศัยพระสาวกทั้งหลายช่วยเผยแผ่และบริหารสืบๆกันไป จึงควรฝึกหัดพระสาวก และมอบหมายหน้าที่การงานให้จนสามารถบริหารการพระศาสนาแทนพระองค์ได้
อนึ่ง การเผยแผ่พระศาสนาที่จะให้แพร่หลายออกไปได้นั้น จะมุ่งแต่เพียงแสดงชี้แจงให้คนทั้งหลายได้ความรู้ความเข้าใจเท่านั้น ยังหาเพียงพอไม่ ต้องหาทางให้ความสะดวกที่เขาทั้งหลายจะประพฤติปฏิบัติตามได้ด้วย ไม่เช่นนั้นกุลบุตรทั้งหลายแม้มีศรัทธา ก็จะพึงนึกอิดหนาระอาใจว่า เพียงแต่จะรู้ตามก็ยากอยู่แล้ว ยังยากในอันจะประพฤติปฏิบัติตามอีกเล่า ด้วยเหตุนี้ จึงทรงอนุญาตให้พระสาวกรับกุลบุตรบวชได้ ด้วย
วิธีสรณคมนุปสัมปทา
คือ ให้ผู้ขอบวชปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสายะเข้าไปกราบเท้าภิกษุประคองอัญชลี เปล่งวาจาถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ด้วยพระบาลีว่า
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ทุติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ตติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
เท่านี้ เป็นอันสำเร็จการบวชเป็นภิกษุ
ครั้นพระศาสนาแพร่หลาย มีผู้บวชเป็นภิกษุมากขึ้น
ทรงเห็นว่าการรับกุลบุตรให้บวชเป็นการสำคัญ เพราะความเจริญ ความเสื่อมของหมู่คณะ ย่อมเนื่องด้วยสมาชิกในหมู่
หมู่คณะใดมีสมาชิกดีมากกว่าเลว หมู่คณะนั้น ก็หวังความเจริญได้
หมู่คณะใดมีสมาชิกเลวมากกว่าดี หมู่คณะนั้น ก็หมดหวังความเจริญ
การที่จะรับคนเข้าเป็นสมาชิก จึงควรได้รับการพิจารณาเลือกเฟ้นตามสมควร
การรับกุลบุตรให้บวชด้วยวิธีที่กล่าวแล้วนั้น
ยังเป็นการของเอกชนอยู่
คือ ภิกษุรูปหนึ่งรูปเดียวก็รับได้ อาจผิดพลาดได้ง่าย เพื่อให้เป็นหลักฐานมั่นคงต่อไป จึงทรงยกการรับคนเข้าบวชเป็นพระภิกษุให้เป็น
การสงฆ์
ด้วย
วิธี
ที่เรียกว่า
ญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา
ส่วน
สรณคมนุปสัมปทา
นั้น ภายหลังโปรดให้นำมาใช้เป็น
วิธีบวชสามเณร
ทั้งสองวิธีนี้คงเป็นแบบเรียบร้อยดี
ได้ปฏิบัติกันมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
มิได้เปลี่ยนแปลง และเรียกการบวชภิกษุว่า
อุปสมบท
เรียกการบวชสามเณรว่า
บรรพชา
บทสรณคมน์ ซึ่งเป็น
พุทธบัญญัติในอุปสมบท
วิธีนี้แล เป็นที่มาแห่งบทสรณคมน์ที่ใช้ในพิธีการทั่วไป รวมทั้งสวดเป็นมนต์ด้วย อยู่ในลำดับเป็นที่ ๒ ตั้ง
นะโม
เป็นปฐมแล้ว ก็ถึงบทสรณคมน์นี้
เพื่อให้เหมาะสมกับกาลสถานที่มีความคล่องตัวในการทำงาน พระพุทธเจ้าก็ปรับเปลี่ยนวิธีการบวชไปตามสถานการณ์ขณะนั้นๆ
พระองค์ก่อตั้งคณะสงฆ์ขึ้น
ถ้าเปรียบพระพุทธเจ้าก็เหมือนเจ้าของบริษัท (เจ้าของพุทธศาสนา) ก็ต้องบัญญัติจัดตั้งกฎระเบียบ (วินัย) ในการรับบุคคลจากวรรณะต่างๆเข้าหมู่ กฎระเบียบในการอยู่ร่วมกันของหมู่คณะ กฎระเบียบฝึกหัดพัฒนาตนของผู้บวชเอง กฎระเบียบเพื่อให้หมู่คณะดำรงอยู่ยั่งยืนและด้วยดี
Create Date : 10 กรกฎาคม 2565
Last Update : 11 กรกฎาคม 2565 8:52:43 น.
0 comments
Counter : 392 Pageviews.
Share
Tweet
ชื่อ :
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [
?
]
Webmaster - BlogGang
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
Bloggang.com