|
|
|
|
|
|
|
ที่ว่า เพื่อทำชีวิตให้มีสาระนั้น มีอธิบายว่า ชีวิตของคนเรานั้น มีวันที่จะมอดม้วยหมดไป เหมือนดวงเทียนที่จุด มีแต่จะมอดหมดไป ฉะนั้น การที่มีชีวิตมาครั้งหนึ่ง ก็เปรียบเหมือนได้ถือดวงเทียนมาดวงหนึ่ง และดวงเทียน กล่าวคือชีวิตนี้ จะอยู่ท่ามกลางกระแสลม กล่าวคือ อันตรายรอบด้าน เพราะเหตุที่จะทำให้สิ้นชีวิตนั้นมีมากกมายเหลือเกิน ไม่มีกาลเวลา ไม่มีนิมิตอะไรบอกให้รู้ล่วงหน้า ทั้งไม่เลือกสถานที่อีกด้วย ชีวิตช่างลำเค็ญเป็นสุดแสน เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว ร่างกายก็ปราศจากความเคลื่อนไหว นอนทอดเหมือนขอนไม้ ถึงภาวะที่มิควรจะเอาไว้ในเหย้าเรือน ยามเป็น อยู่ตึกตระหง่านโอ่โถง มีห้องนอน ห้องนั่งเล่น ฯลฯ แต่พอตายแล้ว เขาให้อยู่ห้องเดียวแคบๆ แล้วก็นำออกจากบ้าน หลุมฝังหรือเชิงตะกอนเป็นที่สุดท้าย คติของชีวิตมีดังนี้ https://www.facebook.com/onenews31/photos/a.1122306951191112/5638942066194222/
แสดงว่า ไม่มีสาระอะไรแน่นอน ผู้มีชีวิตจึงไม่ควรประมาท ควรแสวงหาสาระให้แก่ชีวิต ทำชีวิตนั้นให้มีสาระ ชีวิตที่เต็มไปด้วยความคิดช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ในยามทุกข์ยามยาก เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีช่องที่จะตำหนิได้ ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ เต็มไปด้วยความรู้ความฉลาด สามารถในการดำรงตนอยู่ในโลกด้วยสวัสดี ปราศจากทุกข์ภัย ชีวิตอย่างนี้ เป็นชีวิตที่ประเสริฐ ไม่เปล่า ไม่ปราศจากสาระ
แม้ชีวิตจะสิ้นไป คุณความดีก็ยังเหลือตรึงตราอยู่ การเปล่งวาจา หรือน้อมนึกนมัสการพระพุทธเจ้าเป็นการน้อมชีวิตโผเข้าไปเกาะอยู่กับพระคุณ คือ พระกรุณา พระบริสุทธิ์ และพระปัญญา ซึ่งเป็นภาวะอันยั่งยืน ชีวิตก็จะพลอยได้รับสาระคุณนั้นบรรจุเข้าไว้ การน้อมชีวิตโผเข้าหาพระคุณทั้งนี้ เป็นเหมือนสร้างเจดีย์เข้าไว้ในตนองค์หนึ่ง ภายในบรรจุด้วยคุณของพระพุทธเจ้า ควรแก่การคารวะของตน แม้จะเป็นการชั่วครู่ ก็ยังดีกว่าชีวิตที่ไม่มีพระคุณเช่นนั้นบรรจุไว้เลย เพราะฉะนั้น พุทธศาสนิกชนจึงเปล่งวาจา หรือน้อมนึกนมัสการพระคุณของพระพุทธเจ้า เป็นต้น ในการประกอบกิจกรรมทางพระศาสนา ด้วยบทนมัสการ คือ นะโม ฯลฯ
Create Date : 08 กรกฎาคม 2565 |
Last Update : 9 กรกฎาคม 2565 9:20:38 น. |
|
0 comments
|
Counter : 303 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
BlogGang Popular Award#20
|
|
|