กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
กุมภาพันธ์ 2567
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
2526272829 
space
space
3 กุมภาพันธ์ 2567
space
space
space

ธรรมเป็นอิสระจากคน คนถึงธรรมเป็นอิสระจากสังขาร



235 ธรรม เป็นอิสระจากคน คนถึงธรรม เป็นอิสระจากสังขาร


     ธรรมอย่างหนึ่งที่พระองค์ตรัสไว้  ที่พึงระลึกในเวลานี้ ก็คือ  ธรรมในแง่ความจริงของสิ่งทั้งหลาย โดยเฉพาะความไม่เที่ยง คือภาวะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป  การที่เรามา ณ สถานที่นี้มองในแง่หนึ่งก็เป็นเครื่องเตือนใจของเราให้ระลึกถึงความจริงข้อนี้

    จะเห็นว่า สถานที่นี้ ซึ่งเคยเป็นที่ประทับขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บัดนี้เหลือแต่ซากเพียงนิดเดียวเท่านั้น และแม้แต่ซากเท่าที่มองเห็น เหล่านี้ก็ยังต้องอาศัยการขุดการแต่งจึงปรากฏได้ เพราะผ่านกาลเวลายาว นานตั้ง ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว  สถานที่นี้ก็ทรุดโทรมแตกหักปรักพังไป ความ เป็นอนิจจังก็เข้ามาครอบงําสิ่งที่เป็นสังขารทั้งหลาย

    ไม่เฉพาะแต่พระคันธกุฎีเท่านั้น  พระพุทธเจ้าเองก็ทรงล่วงลับดับขันธปรินิพพานไปแล้ว มองกว้างออกไป ที่ตั้งของพระคันธกุฎีนี้คือเมืองราชคฤห์ทั้งหมด ที่เคยเป็นเมืองหลวง เป็นราชธานีของมหาอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ คือ แคว้นมคธเคยเต็มไปด้วยผู้คนประชาชนพลเมืองมากมาย บัดนี้ก็ไม่มีอะไรเหลือเป็นร่องรอย  ราชคฤห์ได้กลายเป็นที่รกร้างถิ่นห่างไกลอยู่ในชนบท เป็นบ้านนอกไป

     นี้คือความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเราจะเห็นได้ในเรื่องของความเสื่อม และความเจริญของสังคม ของประเทศชาติตลอดจนอารยธรรมทั้งหลาย  ดังที่ สังคมอินเดียที่เป็นชมพูทวีปได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

     ประเทศอินเดียนี้ เคยเป็นดินแดนแห่งอารยธรรม มีความเจริญก้าวหน้า เป็นศูนย์กลางทางความคิด สติปัญญา และวิทยาการต่างๆ มากมาย แต่บัดนี้ อินเดียก็เสื่อมลงไป อารยธรรมก็จบสิ้นสลายลงไปเป็นยุคๆ จน กล่าวได้ว่า อินเดียที่เคยเป็นอู่เป็นแหล่งที่เกิดและที่ดํารงอยู่ของอารยธรรม ต่อมาก็ได้กลายเป็นสุสานของอารยธรรม

     เวลานี้อินเดียกลายเป็นตู้โชว์ของอดีต คือไม่มีอะไรที่ดีงามยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน มีแต่เรื่องของความรุ่งเรืองในอดีต

     เวลาเรามาอินเดีย ก็มาชมสิ่งที่เป็นหลักฐานแสดงความเจริญในอดีตเท่านั้น ส่วนในปัจจุบันเราจะได้เห็นแต่สภาพที่น่าสลดหดหู่ใจ  ถ้าเราทำใจไม่ถูกก็จะมีแต่ความหดหู่เศร้าหมองขุ่นมัว หรือบางที ก็รำคาญหงุดหงิดด้วย จึงต้องเตือน กันอยู่เสมอว่า ถ้ามาอินเดียแล้วต้องทําใจให้ถูก

     อันนี้จึงเป็นคติเตือนใจ ให้มองเห็นความหมายหลายอย่าง นอกจากให้คติในอนิจจังความไม่เที่ยงของสังขารทั้งหลายแล้ว ยังทําให้เรามองตามหลักคําสอนของพระพุทธศาสนา ถึงเรื่องความเป็นไปตามเหตุปัจจัย และได้ความรู้จากการศึกษาสังคมของคนอินเดียด้วย

     ในสมัยพุทธกาล  พระพุทธศาสนาเคยเจริญ ผู้คนก็มีความศรัทธา เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา

     ต่อมา ถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระพุทธศาสนาเจริญยิ่งขึ้น แผ่ไพศาล ประชาชนก็มีความเจริญทั้งด้านวัตถุและจิตใจ

     ครั้นมาถึง บัดนี้ ประเทศอินเดียเป็นอย่างไร สภาพที่เราเห็นมีแต่ความยากจนข้นแค้น สกปรกรกรุงรัง  ญาติโยมหลายคนอาจมีความไม่สบายใจ  ถ้าเราไม่ได้ทําใจตามคําสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะสงสัยข้องใจว่ามันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร  อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความเสื่อมความเจริญ เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะน้อมนํามาพิจารณาให้เกิดประโยชน์  เป็นเรื่องทางสติปัญญาทั้งสิ้น

     ดูอย่างง่ายๆ ว่า สิ่งทั้งหลายที่เกิดมีขึ้นมาอันเกี่ยวข้องกับสถานที่นี้ จะเป็นพระคันธกุฎีบนเขาคิชฌกูฏนี้ก็ดี หรือกว้างออกไปข้างล่าง คือ เมืองราชคฤห์ตลอดจนดินแดนที่เราผ่านมา คือมหาอาณาจักรมคธทั้งหมดที่เป็นชมพูทวีป มีเมืองปาฏลีบุตรของพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าที่เมืองราชคฤห์นี้ เพราะในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น ชมพูทวีปแห่งแคว้นมคธนี้แผ่ไพศาล  จนได้กล่าวแล้วว่าใหญ่กว่าประเทศอินเดียในปัจจุบัน หรือในยุคใดๆ ก็ตามของชมพูทวีป

     ปัจจุบันนี้ไม่ว่าเมืองราชคฤห์หรือปาฏลีบุตร หรือปัฏนา ก็มีแต่ความเสื่อมโทรมทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่แสดงถึงความเจริญ  ถ้าไม่มีประวัติศาสตร์ ไม่มีนักค้นคว้า ไม่มีนักโบราณคดีมาเล่าขานบรรยายแสดงหลักฐาน คนก็ไม่รู้ว่า เมืองราชคฤห์อยู่ที่ไหน ปาฏลีบุตรอยู่ที่ไหน สิ่งเหล่านี้สูญหาย ปรักหักพัง ทลายไป หายไป พร้อมกับกาลเวลา แม้แต่มหาอาณาจักรต่างๆ ก็หมดไปได้

     พระพุทธเจ้าทรงเตือนเรา สอนเราไว้แต่พุทธกาล ดังที่จารึกไว้ในพระไตรปิฎก ตรัสเล่าเรื่องราวของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในอดีต บางพระสูตรก็ตรัส ถึงเมืองใหญ่ๆ เช่นในมหาสุทัสสนสูตร พระองค์ได้ตรัสแสดงเรื่องของเมืองกุสาวดีอันยิ่งใหญ่ในอดีต  ตรัสพรรณนาถึงความรุ่งเรืองงดงามความใหญ่โต ของสิ่งก่อสร้างในพระราชวังต่างๆ แล้วท้ายที่สุดพระองค์ก็ตรัสว่า บัดนี้สิ่ง เหล่านั้นทั้งหมดได้สูญสลายสิ้นไปกับกาลเวลาแล้ว นี่แหละคือความเป็นอนิจจัง

     บางแห่งก็ตรัสถึงความเป็นไปในพระชนมชีพของพระองค์เองว่า พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระมหาสาวกและพระสาวกมากมายแวดล้อมเป็นบริวาร  พระวรกายของพระองค์ก็สง่างาม มีฉัพพรรณรังสีเป็นที่ชื่นชม เสด็จไปทรงบําเพ็ญพุทธกิจในที่ต่างๆ ปรากฏเป็นเหตุการณ์อันตื่นตาตื่นใจมากมาย

     พระองค์ตรัสถึงความรุ่งเรืองและความสําเร็จในพระชนมชีพของพระองค์ แล้วลงท้ายก็ตรัสว่า ในที่สุดพระองค์ก็ต้องจากไป  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสังขาร มีความไม่เที่ยง  จะต้องสูญสิ้น หรือแตกดับไปเป็นธรรมดา  ทั้งหมดนั้นคือการที่พระองค์ตรัสเตือนเราให้น้อมรําลึกถึงธรรม อันเป็นความจริงของสิ่งทั้งหลาย

     ฉะนั้น เมื่อเราได้มายังสถานที่ที่เกี่ยวกับพระพุทธองค์อย่างนี้แล้ว ในแง่หนึ่งก็ให้มีความเจริญศรัทธาว่า เราได้มาเฝ้าถึงที่ประทับของพระองค์แล้ว ด้วยความเลื่อมใสที่มีต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

     แต่พร้อมกันนั้น ศรัทธาของชาวพุทธก็ไม่ตันอยู่แค่นั้น แต่จะนําไปสู่ปัญญาขั้นที่หนึ่ง คือทําให้ระลึกถึงคําสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสแสดงไว้แล้วนํามาประพฤติปฏิบัติ


     เมื่อเราต้องการแสดงศรัทธาด้วยการบูชาพระพุทธเจ้า และนําเอาดอกไม้ธูปเทียนมากราบไหว้ พระองค์ก็ตรัสเตือนว่า  การบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนที่เป็นอามิสบูชานี้  ยังไม่ใช่เป็นการบูชาที่มีผลมากอย่างแท้จริง  ถ้าจะบูชาให้ได้ผลอย่างแท้จริง ก็ต้องบูชาด้วยการปฏิบัติคือนําเอาธรรมของพระองค์มาใช้ประโยชน์ ให้เกิดผลในชีวิตของเราอย่างแท้จริง

     ฉะนั้น ปฏิบัติบูชา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธรรมบูชา คือ การบูชาด้วยธรรม ซึ่งตรงกับการปฏิบัติธรรมนั่นเอง  ถ้าเราทําได้สําเร็จ ก็จะทําให้การมานมัสการสถานที่สําคัญ มีสังเวชนียสถาน เป็นต้น เกิดผลเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง

     นอกจากนั้น ก็น้อมนําจิตใจมาระลึกนึกถึงธรรมในความหมาย อย่างที่กล่าวเมื่อกี้ คือการระลึกถึงความจริงของสังขารทั้งหลายที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วจะได้ไม่ฝากชีวิตเอาไว้กับของที่ไม่เที่ยง แท้แน่นอนเหล่านั้น

     สิ่งเหล่านี้ล่วงลับไป แตกดับไป ก็เห็นๆกันอยู่ มองลงมาตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพานสิ้นไป มหาสาวกทั้งหลาย ๘๐ องค์ หรือพระสาวกกี่องค์ก็ตาม ก็ปรินิพพานหมด อาณาจักรมคธในสมัยราชคฤห์ ก็สลายไป อาณาจักรมคธในสมัยปาฏลีบุตรก็สลายไป

     แต่ อ้อ! ยังมีสิ่งที่คงอยู่ นั่นดูสิแม้อาณาจักรเหล่านี้จะสิ้นไป สังคมจะสลายไป ผู้คนจะหมดไป แต่ภูเขายังอยู่ ดินยังอยู่ ฟ้ายังอยู่ สิ่งที่เห็นอยู่คือสิ่งเหล่านี้ดิน น้ำ ลม ไฟ ภูเขา ทะเล ยังมีในทะเลก็ยังมีคลื่นซัดฝั่งอยู่ตลอดเวลา

     แม้อาณาจักรทั้งหลายจะผ่านพ้นล่มสลายลงไป สิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ จะหมดสิ้นไป แต่ธรรมชาติก็ยังทําหน้าที่ของมันต่อไป เช่น เราไปยืนอยู่ริมฝั่งทะเล จะเห็นคลื่นซัดฝั่ง ทําหน้าที่ของมันตลอดเวลา สองพันปีสามพันปี มันเคยทําอย่างไร มันก็ทําของมันอยู่อย่างนั้น

     กาลเวลาผ่านไป มนุษย์ล่วงลับไป อาณาจักรล่มสลายไป อารยธรรมต่างๆ สูญสิ้นไป คลื่นทะเลก็ยังซัดฝั่งอยู่ตามเดิม เหมือนดังว่าธรรมชาตินี่แหละยืนยงคงอยู่แท้จริง

     แต่มองไปอีกทีหนึ่ง แม้แต่ธรรมชาติเหล่านี้ก็มีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อย่างเช่น ภูเขา ดิน น้ำ ลม ไฟ มันก็ไม่ได้คงสภาพอยู่ ภูเขาก็เปลี่ยนแปลงไป แต่อาศัยกาลเวลายาวนาน

     ดังจะเห็นได้ง่าย   ตามทางที่เราจะเดินทางต่อไปอีก ยังสถานที่อีก มากมายในไม่ช้า เช่น สถานที่ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้  ที่แม่น้ำเนรัญชรา   เมื่อไปเห็นที่นั่น เราก็จะได้คติธรรมที่ยิ่งชัดขึ้นมาว่า ที่นั่น ณ ริมฝั่งแม่น้ำที่พระพุทธเจ้าเคยประทับ แน่นอนตัวสถานที่และบริเวณพร้อมทั้งสิ่ง แวดล้อมย่อมเปลี่ยนไป แต่คงจะมีดิน มีน้ำ  มีแม่น้ำอยู่ตรงนั้น กล่าวคือ แม่น้ำเนรัญชรา

     อยางไรก็ตาม  หาเป็นเช่นนั้นไม่ แม่น้ำเนรัญชราปัจจุบัน ก็ไม่เหมือนอย่างเก่า บัดนี้ มันไม่เป็นแม่น้ำแล้ว  แต่เป็นแม่ทราย คือ น้ำไม่เหลืออยู่ในสภาพที่จะให้เราได้เห็น เราจะเห็นแต่ทราย เมื่อเดินลงไป เราสามารถเดินข้ามแม่น้ำได้ เพราะมีแต่ทรายทั้งนั้น

     นั่นคือความเปลี่ยนแปลงของสังขาร  แม้แต่ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็เปลี่ยนแปรสภาพของมันไปในรูปต่างๆ

     ฉะนั้น ไม่ว่าจะมองอะไร ก็เป็นอนิจจังทั้งสิ้น มีแต่ความเปลี่ยนแปลงไป คติเหล่านี้ก็มาสอนใจของเราว่า อย่าเอาชีวิต และความสุขของเราไปฝากไว้กับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เราต้องเร่งสร้างความดีงาม สิ่งที่ประเสริฐให้เกิดขึ้นแก่ชีวิตของเราด้วยการปฏิบัติธรรม ธรรมเท่านั้นที่จะทําให้เราเข้าถึงสิ่งที่ดีงาม มีชีวิตที่ประเสริฐ

     ถ้ามัวแต่เอาชีวิตของเราไปฝากไว้กับสิ่งภายนอก เช่น ทรัพย์สินเงินทอง ก็จะไม่ได้สาระที่แท้จริง เพราะสิ่งเหล่านี้จะล่วงลับดับสลายไปสิ้น ทําอย่างไรเราจึงจะประสบสาระที่แท้จริงได้ธรรมคือความจริงเท่านั้นที่จะทําให้เราเข้าถึงสาระอันนี้

     พระพุทธองค์ก็ทรงนําไว้เป็นแบบอย่างแล้ว โดยที่พระองค์ได้ทรงเข้าถึงธรรมคือความจริง ที่ทําให้พระองค์ซึ่งเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งเปลี่ยนเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงสั่งสอน ตรัสเตือนเราอยู่เสมอ ตามคติในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหลักการสําคัญที่เราสวดกันอยู่ แม้แต่ญาติโยมก็ได้ยิน พระสงฆ์สวดอยู่บ่อยๆ เมื่อไปในงานพิธีที่วัด

     ดังความในพระสูตรหนึ่งที่ตรัสว่า อุปฺปาทา วา ภิกฺขเว ตถาคตานํ เป็นต้น (องฺ.ติก.๒๐/๕๗๖) ซึ่งมีใจความว่า พระตถาคตหรือพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ความจริงที่เป็นภาวะตามธรรมดา ก็คงอยู่ ของมันอย่างนั้น  พระพุทธเจ้าทรงค้นพบความจริง คือหลักที่เป็นธรรมนิยามนั้น  แล้วก็ทรงนำมาแสดงชี้แจงทำใหํเข้าใจได้ง่าย 

     อันนี้แหละ คือตัวความจริง  ที่พระพุทธเจ้าทรงเพียรพยายามบําเพ็ญพุทธกิจสั่งสอนเรา เพื่อให้เราเข้าใจ และเข้าถึง  ไม่ใช่จะอยู่แค่ติดตามไปดูเห็นใกล้ชิดพระองค์เท่านั้น

     การที่มีพระพุทธเจ้านั้น ความมุ่งหมายและประโยชน์ของพระองค์ที่แท้ก็คือ การที่พระองค์เป็นผู้ที่จะนําเราในการพัฒนาตนให้เข้าถึงความจริงนั้น


     ธรรม คือความจริงนั้นก็มีอยู่  เป็นอยู่  ปรากฏอยู่ตลอดเวลา  ตามธรรมดาของมัน แต่เราไม่มีดวงตาปัญญาที่จะมองเห็น  พระองค์มีปัญญามาค้นพบธรรม และนําธรรมนั้นมาแสดง เราได้ฟังคําสอนของพระองค์ และ มองตามที่พระองค์ทรงชี้บอกเปิดเผยให้ แล้วเราก็สามารถเข้าถึงความจริง นั้นได้

     เมื่อเข้าถึงความจริงแล้ว เราก็เห็นธรรมอันเดียวกับที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นนั่นเอง เมื่อเห็นธรรมและเข้าถึงธรรมที่พระองค์เห็นแล้ว  เราก็จะมีชีวิตที่ดีงาม ประเสริฐ เข้าถึงสิ่งที่สูงสุดเช่นเดียวกับพระองค์ แล้วเราก็จะมีความสุขเป็นอิสระแท้จริง

     พระพุทธเจ้าทรงมีหลักการสําคัญว่า ไม่ต้องการให้สาวกหรือผู้ใดมาติดยึดขึ้นต่อพระองค์ ความสัมพันธ์กับพระองค์มีเพียงแค่ว่า อาศัยพระองค์เป็นสื่อที่ช่วยชักนําไปสู่สิ่งดีงาม คือเข้าถึงธรรมนั่นเอง

     พระพุทธเจ้าทรงย้ำนัก ในเรื่องความสัมพันธ์ของเราที่มีต่อพระองค์ เริ่มต้นด้วยศรัทธา เมื่อเรามีศรัทธาในพระพุทธองค์  ก็ทำให้เราเข้ามาหาและฟังคําสอนของพระองค์ จากการฟังคําสอนของพระองค์  ก็ทําให้เราพัฒนาปัญญาขึ้นมาเพื่อเข้าถึงความจริงตามที่พระองค์ทรงเข้าถึงมาแล้ว ด้วยปัญญาของเราเอง  เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงเข้าถึงแล้ว

     เพราะฉะนั้น ศรัทธาจึงนําไปสู่ปัญญา และการพึ่งพาอาศัยก็เพื่อนําไป สู่อิสรภาพ นี้คือประโยชน์ที่แท้จริงของการนับถือพระพุทธศาสนา

     ฉะนั้น  เมื่อเราได้เดินทางมาถึงสถานที่นี้และได้เจริญศรัทธา จึงเป็นประโยชน์มาก เมื่อศรัทธามีกําลังแรงกล้าขึ้น ก็จะทําให้เรามีกําลังใจเข้มแข็ง ในการที่จะเล่าเรียนศึกษาประพฤติปฏิบัติตามคําสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทําให้การปฏิบัติของเราหนักแน่นจริงจัง
 



 



Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2567
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2567 12:51:53 น. 0 comments
Counter : 160 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space