กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
กุมภาพันธ์ 2567
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
2526272829 
space
space
8 กุมภาพันธ์ 2567
space
space
space

รู้ธรรม คือรู้เรื่องธรรมดา
 
 

235 ตรัสรู้ธรรม คือรู้เรื่องธรรมดา
 

     การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น   เกิดขึ้นอย่างไร  เราก็เรียนพุทธประวัติกันมาพอสมควรแล้ว ลำดับเหตุการณ์นั้น  คงไม่จำเป็นจะต้องเล่าให้ฟังอีก   แต่มีจุดเฉพาะสำคัญๆ ที่ควรสังเกต
 
     จึงขอย้อนรำลึกไปถึงคำที่อาตมาเคยเล่าให้ฟังว่า   การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น   คือการค้นพบสัจธรรมความจริง และความจริงที่ว่านี้   เป็นสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมดา   ตามพุทธพจน์ที่ได้เคยอ้างไว้ว่า
 
        ตถาคตทั้งหลาย   จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดก็ตาม หลักความจริงก็ดำรงอยู่ตามธรรมดาของมันอยู่แล้วว่าดังนี้ๆ
 
        ตถาคต  (คือพระพุทธเจ้า)  ทั้งหลาย ได้ค้นพบความจริงนั้นแล้ว จึงนำมาเปิดเผย แสดง ชี้แจงให้เข้าใจง่ายและวางเป็นหลักลงว่า ดังนี้ๆ  (อ้างแล้ว = องฺ.ติก.๒๐/๕๗๖)
 
     นี่คือพุทธพจน์ที่ตรัสแสดงหลักความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้  ว่าเป็นเรื่องของธรรมดา  แห่งธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว
 
     เพราะฉะนั้น  เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว   พระองค์จึงได้ทรงเปล่งอุทานว่า  ยทา หเว ปาตุภวนฺติธมฺมา เป็นต้น ซึ่งมีคำแปลเริ่มต้นว่า  เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์   คำว่า  “พราหมณ์”   ในที่นี้   หมายถึง  ท่านผู้บำเพ็ญเพียรปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงจุดหมายที่ดีงามสูงสุด   คือ  เป็นคำเก่าที่เขาใช้กันสืบมา  พระองค์ทรงนำมาใช้ด้วย
 
        “เมื่อใด   ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์   ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น  ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้น  ย่อมสิ้นไป เพราะมารู้ทั่วถึงธรรมพร้อมทั้งเหตุ (ขุ.อุ.๒๕/๓๘)
 
     อันนี้เป็นพุทธพจน์ที่แสดงหลักความจริงที่ตรัสรู้ส่วนหนึ่ง คือ แสดงถึงกฎธรรมชาติแห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัย
 
     ความจริงที่บอกว่ามีอยู่ตามธรรมดา ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนี้ คืออะไร ก็คือมาค้นพบความจริงของกฎธรรมชาติแห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัย  คือ  การที่ผลเกิดจากเหตุ   และเหตุก่อให้เกิดผล   ที่เรียกกันง่ายๆว่า  กฎปฏิจจสมุปบาท หรือเรียกเต็มว่า  อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท  นั่นเอง  
 
     ต่อจากนั้น  พระองค์ก็ตรัสต่อไปเป็นคาถาที่ ๒ มีข้อความคล้ายๆ กันว่า  (ขุ.อุ.๒๕/๓๙)   
 
        “เมื่อใด  ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่   เมื่อนั้น  ความสงสัยของพราหมณ์นั้น  ย่อมหมดสิ้นไป เพราะได้รู้ธรรมอันเป็นที่สิ้นไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย
 
     อันนี้ก็คือการที่พระองค์ตรัสอ้างอิงไปถึงธรรมอันเป็นที่สิ้นเหตุปัจจัย ที่ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ ได้แก่ นิพพาน
 
     ท่อนที่ ๑ แสดงหลักปฏิจจสมุปบาทอันว่าด้วยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย
 
     ท่อนที่ ๒  แสดงถึงพระนิพพานที่เป็นธรรมพ้นจากปัจจัยปรุงแต่ง
 
     ท่อนที่ ๓  ต่อจากนั้น  เมื่อได้ตรัสรู้อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท พร้อมทั้งนิพพานแล้ว  คาถาสุดท้าย ก็แสดงถึงผลของการตรัสรู้ว่า พระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ ทำลายความมืดแห่งอวิชชาให้หมดไป เหมือนอย่างดวงอาทิตย์อุทัยขึ้นมาทอแสง  ทำให้เห็นสิ่งทั้งหลายในโลกนี้สว่างกระจ่างชัดเจน
 
        "เมื่อใด   ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์   ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่   เมื่อนั้น  พราหมณ์ย่อมกำจัดมาร และเสนามารเสียได้  ดุจดวงอาทิตย์กำจัดมืดส่องฟ้าให้สว่างเจิดจ้า(ขุ.อุ.๒๕/๔๐)
 
     สามคาถานี้คือพุทธพจน์ที่เรียกว่าเป็นปฐมพุทธพจน์ คือพระดำรัสครั้งแรกของพระพุทธเจ้า ตามที่อรรถกถาอธิบายไว้
 
     เป็นอันว่า  พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงแห่งสภาวะที่มีอยู่ตามธรรมดา คือ กฎธรรมชาติแห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัย พร้อมทั้งธรรมที่พ้นจากปัจจัยปรุงแต่ง คือ นิพพาน
 
     นี่แหละเป็นเรื่องที่ดูคล้ายว่าง่ายๆ เพราะถ้าเราจะตอบชาวบ้าน   เวลาเขาถามว่า   พระพุทธศาสนาสอนอะไร หรือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร   เราตอบในความหมายหนึ่งง่ายๆ  ก็บอกว่าตรัสรู้ธรรมดานี่เอง   เพราะว่า ตรัสรู้ธรรม ก็คือตรัสรู้ธรรมดา   แต่ว่าธรรมดานี่แหละ เป็นเรื่องที่ยากที่สุด
 
     ความจริงนั้นมีอยู่ เป็นของธรรมดา มันมีอยู่ตลอดกาล ไม่ว่าใคร จะรู้หรือไม่รู้ใครจะเห็นหรือไม่เห็น ความจริงก็มีอยู่อย่างนั้น
 
     แต่เพราะมนุษย์ไม่รู้ความจริงที่เป็นธรรมดานี่แหละ เขาจึงดำเนินชีวิตไม่ถูกต้อง แล้วก็ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ทั้งปัญหาในชีวิตของตนเอง ปัญหาในสังคม และปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม ทุกอย่างทุกประการ
 
     แต่ถ้ามนุษย์รู้ความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดานี้เมื่อใด  เมื่อนั้น  เขาก็ปฏิบัติถูกต้องต่อทุกสิ่งทุกอย่าง  เมื่อปฏิบัติถูกต้อง  ก็ไม่เกิดปัญหา ทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี  เรียบร้อย ชีวิตก็ดีงาม  ประเสริฐ มีความสุข
 
     ฉะนั้น  ปัญหาของมนุษย์นี้  ในที่สุด  เมื่อสืบสาวลึกลงไป ก็อยู่ที่การไม่รู้ไม่เข้าใจความจริงเท่านั้นเอง  แล้วจึงมาถึงขั้นปฏิบัติไม่ถูกต้อง  แล้วก็เกิดปัญหา
 
     ดังนั้น  เมื่อมองในแง่หนึ่ง  เรื่องของการตรัสรู้นี้ก็เหมือนกับว่าไม่มีอะไรมาก ก็คือการเข้าถึงธรรมดา หรือความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดา แต่ตัวความจริง  ตัวธรรม หรือธรรมดาอันนี้แหละ ที่เป็นสิ่งประเสริฐที่สุด  ถ้าเราเข้าถึงความจริงเมื่อใด ทุกอย่างก็ลงตัวเรียบร้อย
 
     แม้แต่วิทยาศาสตร์อย่างที่เรารู้จักกันนี้   ก็ไม่ได้ทำการพิเศษอะไร วิทยาศาสตร์ก็ค้นพบธรรมดานี่แหละ คือค้นพบความจริงตามธรรมดาของธรรมชาติ  พูดสั้นๆว่าค้นพบธรรม และเป็นธรรมเพียงด้านเดียว คือ วุ่นอยู่แค่รูปธรรม  แต่ก็เพียรพยายามทำกันมาเป็นกิจการใหญ่โต ลงทุน ลงแรงไปไม่รู้เท่าไร   เพื่อจะหาความจริงตามธรรมดานี่แหละ แล้วก็ค้นพบกันมาทีละน้อยๆ
 
      ไปๆ มาๆ วิทยาศาสตร์ก็ค้นพบความจริงทางด้านวัตถุด้านเดียว และก็ยังไม่ทั่วตลอด ไม่ถึงที่สุด
 
     แม้แต่ความจริงเพียงด้านวัตถุอย่างเดียว ก็ยังใช้เวลาและแรงงานกันไม่รู้ว่าเท่าไร และบัดนี้ก็ยังหาได้ถึงความจริงนั้นไม่
 
     สิ่งที่ค้นพบในทางวิทยาศาสตร์สมัยหนึ่งว่าอย่างนี้ๆ นึกว่าค้นพบความจริงแท้แล้ว แต่เวลาผ่านไปอีก ๒๐ ปี ๕๐ ปี ๑๐๐ ปี  นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังที่มีเครื่องมือทันสมัยยิ่งขึ้น และมีประสบการณ์จากคนรุ่นก่อนทำไว้ให้มากกว่า  ก็ค้นพบว่าสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนค้นพบไว้นั้นไม่จริงแท้เสียแล้ว   เพราะว่ามองความจริงไม่ทั่วถึง   มองเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์โยงกันไม่รอบด้าน ก็กลายเป็นว่า สิ่งที่ค้นพบเก่านั้น เป็นเท็จไป
 
     เมื่อค้นพบความจริงใหม่  ก็ประกาศว่า  อันนี้ถึงจะจริง  ต่อไปก็ค้นพบอีกว่า อันนั้นก็อาจจะไม่จริงอีก  ก็เป็นอย่างนี้กันเรื่อยมา
 
     จุดยอดปรารถนาหรือความต้องการสูงสุด  ก็อันเดียว  คือ  ต้องการเข้าถึงความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดานี่เอง  แต่มนุษย์ก็วนเวียนอยู่กับแง่มุมต่างๆ ของมัน
 
     สำหรับธรรมที่เปิดเผยไว้ด้วยปัญญาตรัสรู้ในพระพุทธศาสนานั้น  เรามองเห็นกันว่า เป็นความจริงที่ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง  ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนั้น  เป็นหลักการใหญ่ที่ไม่จํากัดเฉพาะด้านวัตถุอย่างเดียว และไม่จํากัดเฉพาะนามธรรม  แต่ท่านมองครอบทุกอย่าง ทั้งรูปธรรมและนามธรรม  ที่เราเรียกกันว่า นามรูป
 
     เราถือว่า ชีวิตมนุษย์นี้เป็นสุดยอดของสิ่งทั้งหลายบรรดามีในโลก  ถ้าเราไปค้นพบแต่เพียงวัตถุ เราก็ได้เพียงด้านเดียวของธรรม และเข้ามาถึงตัวเราก็แค่ด้านร่างกายเท่านั้นเอง
 
     ยิ่งกว่านั้น   ในเมื่อรูปธรรมกับนามธรรมมันอิงอาศัยกันอยู่  การรู้เพียงอย่างหนึ่งอย่างเดียว ก็ไม่ทำให้เข้าใจแม้แต่อย่างเดียวนั้นได้ถูกต้องถ่องแท้
 
     ชีวิตของมนุษย์นี้   เป็นสิ่งที่มีทุกอย่างรวมอยู่พร้อมในตัว   จะว่าทางด้านวัตถุ ก็คือส่วนที่เรียกกันง่ายๆ ว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งกลั่นกรองมาสุดยอด   จึงมาเป็นร่างกายของเรา  นอกจากร่างกายแล้ว เรายังมีส่วนจิตใจอีก ซึ่งเป็นนามธรรม  รวมเรียกว่า ขันธ์ ๕  มีรูป มีเวทนา มีสัญญา มี สังขาร มีวิญญาณ ทั้ง ๕ อย่างนี้ละ เป็นชีวิตของมนุษย์
 
     พระพุทธเจ้าทรงค้นพบธรรม ตรัสรู้ความจริงแห่งกฎธรรมชาติที่ครอบคลุมทั้งเรื่องนามธรรมและรูปธรรม   เพราะฉะนั้น   จึงเป็นความจริงที่มีความสมบูรณ์ในตัว  ไม่ใช่เป็นความจริงเฉพาะด้าน
 
      เวลานี้  การค้นคว้าทางวิชาการต่างๆ ที่ว่าเป็นวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้ามามาก แต่ไปเน้นเพียงด้านวัตถุ  ก็จึงจํากัดตัวเองให้ค้นพบความจริงไม่ทั่วถึง ยังจะต้องพิสูจน์ค้นคว้ากันต่อๆ ไป
 
     จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้ วิทยาศาสตร์เริ่มหันมาสนใจเรื่องจิตใจ  เปลี่ยนจากแต่ก่อนนี้ที่ถือว่าจิตใจเป็นเรื่องที่ไม่ชัดเจน  เป็นเรื่องที่ขึ้นต่อความรู้สึก  ไม่เกี่ยวกับความจริงในธรรมชาติ  แล้วยังแถมแยกคนออก  เป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากธรรมชาติอีกด้วย  เป็นกันมาตลอดประวัติศาสตร์อารยธรรมตะวันตก  จนกระทั่งเวลานี้จึงกลับหันมาสนใจเรื่องนามธรรม และถามเอาจริงเอาจังขึ้นมาว่า จิตใจคืออะไร
 
     ถ้ามนุษย์จะเข้าถึงความจริงแท้  เขาหนีไม่พ้นที่จะต้องเข้าใจตัวมนุษย์เอง  ถ้าเข้าใจตัวมนุษย์เองแล้ว  กล่าวได้ว่าเข้าใจหมดทุกอย่าง  เพราะว่า  ตัวมนุษย์นี้เป็นสุดยอดของสิ่งทั้งหลายบรรดามีในโลก และในสากลพิภพ  ดังนั้น  พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้เราค้นพบตัวเอง ให้รู้จักตัวเอง ให้เข้าถึงความจริงที่มีอยู่ในขันธ์ ๕ นี้
 
     เมื่อใดเข้าถึงความจริงนี้แล้ว  ก็จะทำให้เราปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายถูกต้อง ทั้งภายในและภายนอก ถ้าปฏิบัติต่อชีวิตจิตใจของตัวเองยังไม่ถูกต้อง  ก็ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายภายนอกให้ถูกต้องไม่ได้ด้วย และก็จะแก้ปัญหาไม่จบไม่สิ้น
 
     ปัญหาทุกอย่างนั้น  มันโยงกันไปหมด  มีเหตุปัจจัยถึงกันทั้งรูปธรรมและนามธรรม ในที่สุดมนุษย์จะหนีไม่พ้น ที่จะต้องทำความเข้าใจตัวมนุษย์เองให้ชัดเจน
 
     คนจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง ซึ่งประกอบด้วยทั้งกายและใจ ทั้งนามธรรมและรูปธรรม  พระพุทธเจ้าได้ทรงจับจุดของความจริงนี้  คือค้นพบความจริงของชีวิตนี้ทั้งหมด ทั้งนามธรรมและรูปธรรม  โดยมองเห็นระบบความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัยที่ครอบคลุม
 
     เพราะฉะนั้น โพธิญาณของพระองค์ จึงเป็นสิ่งที่ให้ถึงสัจจะ ไม่มีการเคลื่อนคลาดเปลี่ยนแปลง แม้เวลาจะผ่านมาสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว  ถึงปัจจุบันนี้  ก็ไม่เห็นว่าจะมีการคลาดเคลื่อนไป ยิ่งเวลาผ่านไป  เราก็ยิ่งเห็นคุณค่าแห่งพระธรรมที่พระองค์ประกาศไว้มากขึ้นทุกที
 

 



Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2567
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2567 13:37:55 น. 0 comments
Counter : 292 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space