 |
|
|
|
 |
|
ปฏิบัติธรรมก้าวหน้าไป นามกายเจริญเอง |
|
ปฏิบัติธรรมก้าวหน้าไป ธรรมกายเจริญเอง
แม้พระวรกาย หรือ ที่บาลีเรียกว่า รูปกายของพระพุทธเจ้าจะจากไปแล้ว แต่นามกายของพระองค์ในส่วนที่เรียกว่า ธรรมกาย ก็ยังคงอยู่
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ มีใจความว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา; แต่ผู้ใดใจมากด้วยกิเลส ไม่เห็นธรรม แม้จะเกาะชายสังฆาฏิติดตามเราไปตลอดเวลา ผู้นั้นกับเราก็ชื่อว่าอยู่ห่างไกลกัน (สํ.ข.๑๗/๒๑๖; ขุ.สุ.๒๕/๒๗๒)
เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะเห็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริง เราก็ต้องเข้าถึงธรรม แม้เราจะมาถึงสถานที่นี้ เราก็มาในแง่ของสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับรูปกายของพระพุทธเจ้า
พูดมาถึงตอนนี้ก็เลยมีกาย ๒ อย่าง ดังที่บอกว่ารูปกายของพระพุทธเจ้าจากไปแล้ว แต่ธรรมกายหาจากไปไม่
เราเห็นพระรูปกายของพระองค์ ด้วยดวงตาเนื้อ แต่เราจะสามารถเห็นพระองค์ที่แท้จริง คือพระธรรมกาย ด้วยดวงตาปัญญา
รูปกายของพระองค์นั้น เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง แตกสลายไปเป็นธรรมดา เพราะเป็นรูปธรรม แต่ธรรมกายนั้นคงอยู่ ถึงแม้รูปกายของพระองค์จะแตกสลายแล้ว ธรรมกายก็ยังหาแตกสลายไปด้วยไม่
ชาวพุทธ เมื่อได้มาเรียนรู้พุทธประวัติ รําลึกถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับพระองค์แล้ว เราก็เห็นความเป็นไปเกี่ยวกับพระรูปกายที่มาจบสิ้น ณ สถานที่ปรินิพพาน แล้วมาถูกพระเพลิงเผาผลาญที่มกุฏพันธนเจดีย์ ที่เรานั่งกันอยู่คือที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระนี้
พระรูปกายของพระองค์กลายเป็นเถ้าเป็นอัฐิไปแล้ว แต่พระธรรมกายยังคงอยู่ พระองค์ได้สอนเราไว้แล้วว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา”
หมายความว่า ถึงแม้ใครจะเกาะชายพระสังฆาฏิติดตามพระองค์ไป ก็เห็นแค่รูปกาย เราจะต้องมองเห็นธรรม จึงจะเห็นธรรมกายของพระองค์
แต่คําว่า รูปกาย และ ธรรมกาย นั้น จะต้องทําความเข้าใจกันให้ชัดเจน
คําว่า กาย แปลว่า กอง คือที่ชุมนุม หรือที่ประชุม หมายความว่า เป็นที่มารวมกันของสิ่งต่างๆ เช่น รถกาย คือ กองรถ พลกาย คือ กองพล หรือกองทหาร เป็นต้น
เพราะฉะนั้น รูปธรรมทั้งหลาย มีธาตุต่างๆ อย่างที่เรียกกันว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประชุมกันเข้า ก็รวมเป็นกาย เรียกว่ารูปกาย
รูปกาย ก็คือ กองแห่งรูป หรือที่ประชุมแห่งรูปธรรม มีดิน น้ํา ลม ไฟ เป็นต้น มารวมกันอยู่
ส่วนธรรมกาย ก็คือ กองแห่งธรรม หรือ ชุมนุมแห่งธรรม หรือ ประชุมแห่งธรรม หรือที่มารวมกันของธรรมทั้งหลาย
พระพุทธเจ้านั้น ด้วยพระรูปกาย คือ พระวรกายของพระองค์ที่ ปรากฏอยู่คนทั้งหลายก็ได้เข้าไปเฝ้า ได้เข้าไปพบเห็น ได้ดูได้ฟัง
ส่วนพระธรรมกายของพระองค์ ก็หมายความว่า พระพุทธเจ้า เมื่อตรัสรู้แล้ว พระองค์ได้ค้นพบธรรมแล้ว พระองค์ก็กลายเป็นที่ประชุมแห่งธรรม หรือที่ชุมนุมของธรรม เป็นที่ที่ธรรมทั้งหลายมากมายมารวมกันอยู่
เมื่อพระองค์แสดงธรรมที่ตรัสรู้นั้นออกไป พระองค์ก็กลายเป็นแหล่ง ที่เปล่ง ที่หลั่งไหล ที่เผยแพร่ออกไปแห่งธรรมทั้งหลาย พระพุทธเจ้าก็จึงเป็นพระธรรมกาย ดังที่พระองค์ตรัสว่า
"ดูกรวาเสฏฐะ และภารัทวาช เธอทั้งหลาย มีชาติ-ชื่อ-โคตร-ตระกูล ต่างๆ กัน ออกจากเรือนบวชเป็นอนาคาริก ... เป็นสมณศากยบุตรเสมอกัน, ผู๋ใด มีศรัทธาที่ปลูกฝังลงแล้วในตถาคต ... ก็สามารถกล่าวได้ว่า เราเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดจากพระโอษฐ์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม อันธรรมนิรมิต เป็นธรรมทายาท ข้อนั้น เพราะอะไร ? ก็เพราะว่า คําว่า ธรรมกาย ก็ดี พรหมกาย ก็ดี ธรรมภูต ก็ดี พรหมภูต ก็ดี นี้เป็นชื่อของตถาคต" (ที. ปา.๑๑/๕๕)
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดแม้จะเกาะมุมผ้าสังฆาฏิของพระองค์ ติดตามพระองค์ไปตลอดเวลา แต่จิตใจถูกกิเลสครอบงํา ก็ไม่ชื่อว่าเห็นพระองค์ ส่วนผู้ใด เห็นธรรม ผู้นั้น ชื่อว่าเห็นพระองค์
เมื่อพระอรรถกถาจารย์จะอธิบายพุทธพจน์นี้ ก็ต้องใช้คําว่า รูปกาย กับ ธรรมกาย มาเทียบกัน คือ
> เมื่อตามเสด็จเฝ้าดูองค์พระพุทธเจ้า ก็หมายถึงตามดูพระรูปกายของพระองค์ ด้วยตาเนื้อธรรมดา > เมื่อมองเห็นคือเข้าใจธรรมที่พระองค์ตรัสสอน ก็เท่ากับเห็นธรรมกาย ของพระองค์ด้วย ตาปัญญา
การมองเห็นธรรมกายด้วยตาปัญญา ก็มีความหมายทํานองเดียว กับ คําว่าได้ดวงตาเห็นธรรม หรือธรรมจักษุนั้นเอง
“ธรรมจักษุ” หรือดวงตาเห็นธรรมนั้น ก็คือการเห็นอริยสัจ ซึ่งโดยทั่วไปหมายถึงบรรลุโสดาปัตติมรรค แต่กว้างออกไปหมายถึงมรรคทั้ง ๓ ระดับใดระดับหนึ่ง ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค ไปจนถึงอนาคามิมรรค แต่บางแห่งหมายถึงมรรค ๔ ผล ๔ ได้ทั้งหมด คือตั้งแต่โสดาปัตติมรรค ถึงอรหัตตผล (เช่น ม.อ.๔/๒๕๐; สํ.อ.๓/๔๓; วินย.ฎีกา๔/๗๖)
การเห็นธรรมกายในกรณีอย่างนี้ ก็คือการบรรลุโลกุตตรธรรม ๙ ขั้นใดขั้นหนึ่ง หมายความว่า เห็นธรรมกาย คือโลกุตตรธรรม ๙ (สํ.อ. ๒/๓๔๓) ด้วยตาปัญญา ที่เห็นอริยสัจนั่นเอง (อุ.อ.๓๓๓; วินย.ฎีกา๔/๒๔๖)
ธรรมกาย ไม่ใช่ศัพท์จําเพาะที่มีความหมายเจาะจง แต่เป็นคําสําหรับใช้อธิบายความหมายพิเศษในบางกรณี ดังที่ตัวศัพท์เองก็มีความหมายกว้างว่า กองธรรม หรือชุมนุมธรรม อาจจะเป็นโสดาปัตติมรรคก็ได้ หรือขั้นหนึ่งขั้นใดในโลกุตตรธรรม ๙ ก็ได้ ตลอดจนถึงนิพพาน
บางแห่งใช้ในความหมายกว้างมาก ตรงตามศัพท์ที่แปลว่า “กองธรรม” เช่น หมายถึง ธรรมขันธ์ (แปลว่า กองธรรมเหมือนกัน) คือ ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ เป็นต้น (เถร.อ.๑/๑๖๗)
แต่รวมแล้วก็คือว่า ธรรมกาย เป็นคําศัพท์ที่ใช้บ้างเพียงน้อยแห่ง (ในพระไตรปิฎกมีใช้เพียง ๔ แห่งเท่านั้น) เพราะจะใช้ต่อเมื่อต้องการความหมายเชิงเปรียบเทียบบางอย่าง โดยเฉพาะในกรณีที่เทียบคู่กับรูปกาย
เหมือนอย่างที่เรามาพูดกันในการจาริกนมัสการสังเวชนียสถาน ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกี่ยวกับเหตุการณ์ในพระประวัติของพระองค์ เราก็พูดถึงพระรูปกายที่เสด็จจาริกไป โยงมายังพระธรรมกาย ที่ตรัสสอนให้พวกเราเข้าใจ เพื่อจะได้เข้าถึงพระองค์
อนึ่ง ธรรมกาย ในพระไตรปิฎกที่ว่ามีใช้ ๔ ครั้งนั้น
> ใช้ในพุทธพจน์ที่ตรัสว่าเป็นพระนามหนึ่งของพระองค์ เป็นความร้อยแก้วครั้งเดียว (ที่ยกมากล่าวแล้วข้างต้น)
> นอกนั้นใช้ในคําประพันธ์ร้อยกรอง คือ เป็นคาถาพรรณนาคุณความดี (อยู่ในคัมภีร์อปทาน ทั้งหมด) ดังนี้
- แห่งหนึ่ง กล่าวถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้มีจีตเป็นอิสระ มีธรรมกายมากมาย (คือมีสภาวะแห่งธรรมอเนกประการ เป็นดังเรือนร่าง - ขุ.อป ๓๒/๒; อป.อ.๑/๒๔๕)
- อีกแห่งหนึ่ง เป็นคำพรรณนาคุณของพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ เช่นว่า ทรงเป็นแหล่งแห่งรัตนะและทรงแสดงธรรมกาย ฯลฯ (ขุ.อป. ๓๒/๑๓๙)
- อีกแห่งหนึ่ง เป็นดํารัสของพระนางมหาปชาบดีโคตมีที่จะพูดถึงต่อไป
ต่อมาหลังพุทธกาลหลายร้อยปี พุทธศาสนามหายานได้ตั้งหลัก เรื่องตรีกาย (กาย ๓) ขึ้นมา ว่าพระพุทธเจ้าทรงมีพระกาย ๓ อย่าง คือ
๑) ธรรมกาย ได้แก่ กายธรรม หรือตัวธรรม หรือตัวความจริงแท้ที่เป็นสภาวะ อันเป็นสาระแห่งสรรพสิ่งทั่วสากล (ที่จริงก็คือ ธรรมดา หรือธรรมธาตุ หรือตถตา เป็นต้น นั่นเอง)
๒) สัมโภคกาย ได้แก่ กายเสวยสุข หมายถึงพระกายอันประณีตในพุทธเกษตร ที่แผ่ธรรมแก่พระโพธิสัตว์และ
๓) นิรมานกาย ได้แก่ กายนิรมิต ที่เป็นกายหยาบ กายเนื้อ มีการ เกิด แก่ เจ็บ ตายได้อันปรากฏในโลกมนุษย์ เพื่อสั่งสอนธรรมแก่ชาวโลก ดังเช่นพระพุทธเจ้าศากยมุนีนี้
หลักตรีกายนี้ ปรากฏในพระสูตรต่างๆ ของมหายาน เช่น ลังกาวตารสูตร เป็นต้น ซึ่งปราชญ์มหายานทราบกันดีว่าเป็นพระสูตรที่แต่งขึ้นภายหลัง (Christmas Humphreys นายกพุทธสมาคมลอนดอน ผู้ ล่วงลับ เขียนไว้ใน Dictionary ของเขา ใช้คําว่า “จับใส่พระโอฐ”) และการอธิบายความหมายของกายทั้ง ๓ นี้ ก็ยังแปลกกันไปตามทัศนะของนิกายย่อยต่างๆ ของมหายานเอง
แต่เรื่องนี้เอามาเล่าเป็นความรู้ไว้เท่านั้น
ธรรมกาย (ตามความหมายเดิม) คือ กองธรรม หรือชุมนุมแห่งธรรมนี้ ย่อมเกิดแก่บุคคลทุกคนที่ปฏิบัติตามคําสั่งสอนของพระพุทธองค์ จนกระทั่งตนเอง เป็นที่ชุมนุมแห่งธรรมต่างๆ
หมายความว่า ธรรมทั้งหลาย คือมรรค ผล นิพพาน มาประชุม หรือชุมนุมกันในผู้ใด ด้วยดวงตาปัญญาที่มองเห็นอริยสัจ ก็เกิดเป็นธรรมกายขึ้นในผู้นั้น เหมือนอย่างที่พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ตรัสกะพระพุทธเจ้า เมื่อทูลลาจะปรินิพพานว่า
"พระรูปกายของพระองค์นี้ หม่อมฉันได้เลี้ยงดู ให้เจริญเติบโตมา ส่วนธรรมกายของหม่อมฉันนี้ พระองค์ก็ได้ช่วยให้เจริญเติบโตขึ้นแล้ว (ขุ.อป.๓๓/๑๕๗)
เป็นอันว่า ธรรมกายนั้นเข้าถึงได้ ด้วยปัญญาที่มองเห็นธรรม แล้วก็ถึงตัวธรรม ธรรมที่รู้ที่บรรลุแล้วก็เหมือนดังมาประชุมกันอยู่ ก็เป็นธรรมกายขึ้นมา ก็เท่านั้นเอง
แต่ว่าเท่านั้นเองนี่แหละ ยากนักหนา แม้กระนั้นก็ไม่ยากเกินไปสําหรับผู้มีศรัทธา และตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
ถ้าเราประพฤติปฏิบัติจนเกิดปัญญาเห็นธรรมขึ้นมา เราก็เข้าถึง ธรรมกาย เราปฏิบัติธรรมก้าวหน้าไป ธรรมต่างๆ เกิดมีเพิ่มขึ้นๆ ธรรมกายก็เจริญเติบใหญ่ขึ้นในเรา
เมื่อเราเห็นความจริงแห่งธรรมทั้งหลาย ล่วงทะลุผ่านประดารูปธรรมที่เป็นรูปกาย ก็คือ “เห็นธรรมกาย” พูดสั้นๆว่า “เห็นธรรม”
เพราะฉะนั้น จึงกล่าวว่า เมื่อเราเห็นธรรม ก็คือ เห็นองค์แท้ของพระพุทธเจ้า ตามคําตรัสที่ว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา”
เราชาวพุทธศาสนิกชน ได้มีศรัทธาจาริกกันมา จนกระทั่งถึงสังเวชนียสถานอันดับสุดท้ายในลําดับของพุทธประวัติแล้ว และก็ได้มาถึงที่เป็นที่สิ้นสุดแห่งพระรูปกายของพระพุทธเจ้า
แต่เราก็ระลึกได้ว่า พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้แล้วว่า ธรรมนั้น ไม่สูญสลายไปด้วยกับพระรูปกายของพระองค์
เมื่อเราได้เจริญศรัทธามาเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่นี้ อันเป็นที่เคยรองรับรูปกายของพระองค์ที่มาในพุทธประวัติแล้ว ก็ขอให้เป็นเครื่องเตือนใจเรา เพื่อให้น้อมเอาธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอน เรียกว่า “หลั่งไหล ออกจากธรรมกาย” ของพระองค์นี้มาประพฤติปฏิบัติให้ก่อขึ้น ให้มาชุมนุมขึ้น เป็นธรรมกายที่งอกงามเติบใหญ่ขึ้นในตัวเราสืบต่อไป
อนึ่ง ธรรมที่กล่าวอ้างอิงในวันนี้ ก็หวังว่าจะได้ยกขึ้นเป็นข้อที่จะได้นํามาอธิบายให้ฟังต่อไปในโอกาสข้างหน้า โดยเฉพาะเรื่องความไม่ประมาท ที่เป็นพุทธโอวาท เรียกว่าปัจฉิมวาจา พร้อมทั้งหลักธรรมอื่นๆ
โดยเฉพาะอีกข้อหนึ่ง คือธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ที่เป็นปฐมเทศนา แสดงเรื่องมัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง นั้น ก็เป็นหลักสําคัญเหมือนกัน
ดังนั้น ถ้ามีโอกาส อย่างน้อยก็จะได้แสดง ๒ เรื่องนี้ คือ
• เรื่องทางสายกลาง ที่ทรงแสดง ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน และ
• หลักความไม่ประมาท ที่ตรัส ณ สถานที่ปรินิพพานนี้
เราก็จะได้ธรรมที่นับว่า เป็นหลักการใหญ่ๆ สำคัญ ซึ่งเนื่องด้วยสถานที่ที่เรียกว่า สังเวชนียสถาน ๔
เราได้เดินทางมาถึงสังเวชนียสถานสำคัญ อันเป็นลําดับที่ ๔ ในพุทธประวัติและเป็นลําดับที่ ๓ ในการเดินทาง เป็นสถานที่จบสิ้นของพุทธกิจในพระชนมชีพของพระพุทธเจ้า
แต่พระพุทธศาสนาไม่ได้จบสิ้นที่นี่ พระพุทธศาสนาได้เจริญแพร่หลายมั่นคงต่อไป จนกระทั่งมาถึงพวกเราในปัจจุบันนี้ ที่ประเทศไทย เป็นต้น และทั่วโลก เราจึงได้รับความร่มเย็นจากร่มพระธรรมของพระองค์
ฯลฯ
Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2567 |
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2567 18:20:45 น. |
|
0 comments
|
Counter : 246 Pageviews. |
 |
|
|
|
|
 |
|
|
|