กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
กุมภาพันธ์ 2567
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
2526272829 
space
space
14 กุมภาพันธ์ 2567
space
space
space

พระพุทธเจ้ามา ประกาศอิสรภาพให้แก่มนุษย์



235 พระพุทธเจ้าเสด็จมา  ประกาศอิสรภาพให้แก่มนุษย์
 

     ขอย้อนกลับมาสู่เรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือการเข้าถึงสัจธรรมความจริง ดังที่ได้เคยพูดไปแล้วว่า ในพระพุทธศาสนานี้ เราถือธรรมเป็นใหญ่

     การที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี้  ตรัสรู้อะไร  ได้บอกแล้วว่าตรัสรู้ความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดา คือธรรม ซึ่งเป็นความจริงของสิ่งทั้งหลายตามธรรมชาติเป็นกฎธรรมชาติ

     พระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้น  ความจริงของสิ่งทั้งหลายก็ดำรงอยู่อย่างนั้นเอง พระพุทธเจ้าของเรานี้  พระองค์มีปัญญา  ทรงค้นพบความจริงนั้นแล้ว  ก็มาประกาศทำให้ปรากฏขึ้น

     การค้นพบและประกาศธรรมคือความจริงนี้  ถือเป็นการปฏิวัติ  เป็นการปฏิวัติทางความคิด การปฏิวัติทางความเชื่อ หรือการปฏิวัติทางปัญญา ซึ่งเป็นการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

     ทั้งนี้เพราะว่า  โลกสมัยก่อน  ตามความเชื่อถือของคนในยุคพุทธกาล  ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นนั้น ไม่ได้ถืออย่างนี้   เขาไม่ได้ถือธรรม   เขาไม่ได้ถือว่าสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่เป็นกฎธรรมชาติตามธรรมดาของมัน  แต่เขาถือว่ามันเป็นไปตามการดลบันดาลของเทพเจ้า  มีเทพเจ้าอยู่เบื้องหลัง  มีพระพรหม  เป็นผู้สร้างผู้ปรุงแต่ง

     เรื่องการตรัสรู้นี้  ก็เลยโยงมาหาเรื่องการประสูติด้วย เรื่องการประสูติกับการตรัสรู้นี้มีความเกี่ยวเนื่องกันในตอนนี้ด้วย จึงขอพูดย้อนมาที่การประสูติอีกครั้งหนึ่ง วันนี้จะพูดโยงกันไปโยงกันมา เรื่องประสูติบ้าง เรื่องตรัสรู้บ้าง ถ้ามีเวลาก็พูดไปถึงเรื่องการประกาศปฐมเทศนาและปรินิพพาน

     เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูตินั้น  มีเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่ง  ตำนานเล่าว่า เจ้าชายสิทธัตถะองค์น้อยประสูติแล้ว ก็ดำเนินไปเจ็ดก้าวบนดอกบัว แล้วก็ได้เปล่งอาสภิวาจาว่า
 
        อคฺโคหมสฺมิ   โลกสฺส,  เชฏฺโฐหมสฺมิ   โลกสฺส,  เสฏฺโฐหมสฺมิ   โลกสฺส.
 
     แปลว่า:   เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก   เราเป็นพี่ใหญ่แห่งโลก   เราเป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งโลก
 
     อันนี้เรียกว่าวาจาอาจหาญ   ภาษาบาลีเรียกว่า   อาสภิวาจา วาจานี้ มีความหมายอย่างไร
 
     การประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ   หมายถึง   การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าที่จะมีตามมา   ถ้าไม่มีเจ้าชายสิทธัตถะเกิดขึ้น  ก็ไม่มีพระพุทธเจ้า  การเกิดขึ้นของเจ้าชายสิทธัตถะนี้คือการเกิดมาเป็นมนุษย์ และมนุษย์ผู้นี้จะได้เป็นพระพุทธเจ้า  การเปล่งอาสภิวาจานี้   มีความหมายที่ถือว่า เป็นการประกาศอิสรภาพของมนุษย์
 
     ทำไมจึงว่า  การประสูติเป็นการประกาศอิสรภาพของมนุษย์ เพราะว่าก่อนหน้านี้ มนุษย์ชาวชมพูทวีปนั้น ฝากโชคชะตาชีวิตไว้กับพระพรหม และเทพเจ้าทั้งหลาย ชาวอินเดียทั้งหลายเชื่อในพระพรหมว่า เป็นผู้สร้างโลก ปรุงแต่งทุกสิ่งทุกอย่าง
 
     ชีวิตและสังคมมนุษย์จะเป็นอย่างไร แล้วแต่พระพรหมจะบันดาล เพราะฉะนั้น คนเกิดมาก็ต้องเข้าอยู่ในวรรณะ ๔ ทันที เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้า คือพระพรหมทรงจัดสรรสังคมมนุษย์ไว้เสร็จแล้ว
 
     พระพรหมนั้น   ทรงจัดแบ่งมนุษย์ไว้เป็น  ๔  พวก  เรียกว่า วรรณะ ๔  คือ
 
     พระองค์สร้างมนุษย์จำพวกหนึ่งขึ้นมาจากพระโอษฐ์   คือปากของพระองค์   มนุษย์จำพวกนี้เกิดมา   เรียกว่า พราหมณ์
 
     แล้วพระองค์ก็สร้างมนุษย์อีกจำพวกหนึ่งขึ้นมาจากพระพาหา  คือ  แขนของพระองค์  พวกนี้เกิดมาแล้วเป็นนักรบนักปกครอง   เรียกว่า  กษัตริย์
 
     ต่อนั้น  พระองค์ก็สร้างมนุษย์อีกจำพวกหนึ่งขึ้นมาจากตะโพกของพระองค์   พวกนี้เดินทางเก่ง   มาเป็นพ่อค้าพาณิช เที่ยวนำกองเกวียนไปค้าขายในที่ต่างๆ  เรียกว่า วรรณะแพศย์
 
     ท้ายสุด   พระองค์ก็สร้างมนุษย์จำพวกที่สี่ขึ้นมาจากพระบาทของพระองค์   เกิดมาเป็นพวกรับใช้เขา   เรียกว่าวรรณะศูทร
 
     พระผู้เป็นเจ้าสร้างมาเสร็จหมด  ทรงกำหนดให้คนเกิดมาต้องอยู่ในวรรณะ  ๔ เหล่านี้ จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้  ใครเกิดมาในวรรณะไหน   ก็ต้องอยู่ในวรรณะนั้น และอยู่ใต้กฎเกณฑ์ประจำวรรณะนั้นไปตลอดชีวิต
 
     นอกจากนั้น  เมื่อเกิดมาแล้ว  ทุกคนก็ต้องอ้อนวอนเทพเจ้า  บวงสรวง  เซ่นไหว้  ขอร้อง  เอาอกเอาใจให้เทพเจ้าช่วยเหลือ  ให้พ้นภัยหรือให้ได้ลาภผลที่ต้องการ   ดังนั้น  คนทั้งหลาย ก็เอาใจเทพเจ้า ด้วยการทำพิธีบวงสรวงอ้อนวอนกันไป
 
     แต่จะทำอย่างไรให้เทพเจ้าพอใจ  มันไม่มีจุดกำหนดว่าแค่ไหนเทพเจ้าจะพอใจ  ก็เลยปรุงแต่งวิธีเอาอกเอาใจเทพเจ้ากันไปกันมา  กลายเป็นพิธีบูชายัญมากมาย และบูชากันไปกันมา พิธีบูชายัญก็ใหญ่โตขึ้นๆ
 
     พราหมณ์นี่ เขาเป็นเจ้าพิธี เขาถือว่าเขาเป็นผู้ติดต่อกับพระเจ้า เพราะว่าเป็นบุคคลพิเศษชั้นสูงสุด สร้างมาจากปากของพระพรหม  เขามีหน้าที่สื่อสารระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์และพระเจ้าก็ให้เขามีอำนาจ  ที่จะกล่าวสอนคนอื่น  แล้วพระพรหมก็ถ่ายทอดความรู้ความต้องการของพระองค์มาทางพวกพราหมณ์นี้
 
     พราหมณ์พวกนี้ก็มาเที่ยวกำหนดให้ชาวบ้านทำพิธีต่างๆ ว่าจะต้องทำพิธีบูชายัญอย่างนั้นอย่างนี้ ประดิษฐ์ประดอยพิธีบูชายัญ จนกระทั่งในที่สุดถึงกับฆ่าสัตว์ฆ่ามนุษย์บูชายัญ เอาอกเอาใจกันขนาดนั้น
 
     นี่เป็นสภาพของมนุษย์ในยุคพุทธกาล ที่เป็นไปตามอำนาจครอบงำของศาสนาพราหมณ์ซึ่งมีอิทธิพลในสังคมอินเดียมาจนกระทั่งบัดนี้
 
     อินเดียเป็นสังคมที่มอบความไว้วางใจไว้กับเทพเจ้า  ฝากความหวังไว้กับการดลบันดาลของเทพเจ้า สังคมที่หวังพึ่งเทพเจ้าจะเป็นอย่างไร  ก็ให้ดูสังคมอินเดียเป็นตัวอย่าง
 
     พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมา ทรงมองเห็นสภาพอย่างนี้   พระองค์ทรงเห็นว่า สังคมอย่างนี้ไปไม่รอด และชีวิตก็ไปไม่รอด  คือผู้คนมองออกไปแต่ข้างนอก  คิดแต่ว่า เอ ... พระเจ้าท่านจะว่าอย่างไร  เราจะเอาอกเอาใจท่านอย่างไรดี
 
     แทนที่จะคิดว่า  ตัวเราจะต้องทำอะไร และ เราจะต้องทำอะไรกับตัวเรา  สองอย่างนี้ คนไม่คิดเลย
 
     เมื่อต้องการอะไร ก็คิดแต่เพียงว่า เราจะไปหาเทพเจ้าองค์ไหน เราจะไปเอาใจพระเจ้าอย่างไร เราจะขอท่านอย่างไร
 
     เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมา  อย่างที่ได้เคยเล่าให้ฟังแล้ว  พระองค์ก็ทรงดึงจากเทพสู่ธรรม คือ ชี้ให้มนุษย์ดูว่า   นี่นะท่านทั้งหลาย   อย่ามัวไปมองข้างนอก อย่ามัวแต่มองไปที่เทพเจ้า  สิ่งทั้งหลายนั้นมันเป็นไปตามธรรมดา คือ เหตุปัจจัยของมัน  ผลเกิดจากเหตุ  ถ้าเราต้องการผลอะไร  เราก็ทำเหตุเอา  โดยศึกษาเหตุให้เข้าใจ  แล้วก็ปฏิบัติตามเหตุนั้น  ให้ดูที่ความจริง
 


Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2567
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2567 13:08:43 น. 0 comments
Counter : 238 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space