ความกล้าหาญในทางสันติ
เรื่องไม่จบแค่นั้น ยังต้องย้อนกลับไปท้วงติงมติของผู้รู้ทั้งฝรั่ง และอินเดียเพิ่มอีกแง่หนึ่ง คือที่ผู้รู้เหล่านั้นบอกว่า พระเจ้าอโศกสอนธรรมที่เป็นกลาง ซึ่งทุกศาสนายอมรับได้นั้น จริงหรือ
ในการพิจารณาแนวพระราชดําริของพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น นอกจากข้อสําคัญที่ ๑ คือสถานะแห่งความเป็นผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่แล้ว ข้อที่ ๒ ก็สําคัญไม่น้อยกว่ากัน โดยเฉพาะในแง่ที่เป็นตัวกําหนดทิศทาง
ข้อที่ ๒ นั้น ก็คือ จุดเปลี่ยนในพระชนมชีพของพระองค์ เมื่อสงครามพิชิตแคว้นกลิงคะ ทําให้ทรงสลดพระทัยต่อความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชนนั้น มันไม่เพียงทําให้ทรงละเลิกการรุกรานทําสงครามเท่านั้น แต่กลายเป็นแรงเหวี่ยงพระองค์ไปในทางตรงข้ามแทบจะสุดทาง คือทำใหํทรงละเลิกการเบียดเบียนทุกอย่าง แม้กระทั่งการทำลายชีวิตสัตว์เล็กสัตว์น้อย และหันมามุ่งในการช่วยเหลือเอื้อประโยชน์
ข้อที่ ๒ นี้กลายเป็นตัวกํากับข้อที่ ๑ ด้วย โดยทําให้หลักการปกครองอาณาจักร (หรือเรียกให้ เข้ากับคำฝรั่ง คือ Empire ว่าจักรวรรดิ) เปลี่ยนจากอรรถศาสตร์ของพราหมณ์จาณักยะ ที่นําทางนโยบายของพระอัยกาจันทรคุปต์มาสู่จักกวัตติสูตร เป็นต้น ของพระพุทธเจ้า
จากวิชัยที่เป็นการชนะด้วยสงคราม ซึ่งอย่างดีที่สุด คือ ธรรมวิชัย ตามความหมายของอรรถศาสตร์อันหมายถึงการรบชนะอย่างมีธรรม ที่เมื่อชนะแล้วไม่ทําการทารุณโหดร้าย เพียงให้ยอมอยู่ใต้อํานาจ พระเจ้าอโศกเปลี่ยนมาหาธรรมวิชัย ตามความหมายของจักกวัตติสูตร อันหมายถึงชัยชนะด้วยธรรม คือการทําความดีสร้างสรรค์ประโยชน์สุข
อย่างไรก็ดี แม้ว่านโยบายธรรมวิชัย จะนําทางการปกครองอย่างครอบคลุม แต่เห็นได้ว่ามีจุดเน้นอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึง ต้องถามว่าหลักการใดนําทางการปกครองภายในของพระเจ้าอโศก
ไม่ต้องพูดถึงหลักการและประเพณีต่างๆ จนแม้กระทั่งเรื่องปลีกย่อยที่พระเจ้าอโศกทรงเลิกและเปลียนจากหลักในอรรถศาสตร์ เช่น
จากวิหารยาตรา ที่ราชาเสด็จไปทรงพักผ่อนหาความสนุกสําราญ และล่าสัตว์ เปลี่ยนมาเป็นธรรมยาตรา ที่องค์ราชาเสด็จไปทรงนมัสการพระสงฆ์ ถวายทาน เยี่ยมเยียนท่านผู้เฒ่าชราและราษฎรในชนบท สั่งสอนสนทนาธรรม พร้อมทั้งพระราชทานความช่วยเหลือ
จากสมาช* ที่เป็นงานชุมนุมของราษฎรเพื่อความสนุกสนานด้วยการเสพสุรายาเมา เอาสัตว์ต่างๆ มาแข่งขันและต่อสู้กัน เป็นต้น เปลียนมาเป็น วิมานทรรศน์ เป็นต้น คือนืทรรศการสิ่งที่ดี งามสวยงามงดงามประณีต มีศิลปะที่ชักนําจิตใจในทางแห่งคุณธรรมและเจริญจิตเจริญปัญญา
จากพิธีมงคล มาเป็นธรรมมงคล จากเภรีโฆษ คือเสียงกลองศึก มาเป็นธรรมโฆษ คือเสียงนัดหมายเชิญชวนมาฟังธรรมหรือทํากิจกรรมที่ดีงาม พระเจ้าอโศกทรงดำเนินไปไกลที่จะไม่ให้มีการเบียดเบียนชีวิตใดๆเลย ถึงกับทรงทำเป็นตัวอย่างในการเลิกเสวยเนื้อสัตว์ อันอาจเป็นที่มาของอาหารมังสวิรัติของคนรุ่นหลัง ดังความในจารึกศิลา ฉบับที่ ๑ ว่า
ธรรมโองการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศีผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ ได้โปรดให้จารึกไว้
ณ ถิ่นนี้บุคคลไม่พึงฆ่าสัตว์มีชีวิตใดๆ เพื่อการบูชายัญ ไม่พึงจัดงานชุมนุมเพื่อการเลี้ยงรื่นเริง (สมาช) ใดๆ เพราะว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศีผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ ทรงมองเห็นโทษเป็นอันมากในการชุมนุมเช่นนั้น ก็แลการชุมนุมบางอย่างที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศีผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ ทรงเห็นชอบว่าเป็นสิ่งที่ดี มีอยู่อีกส่วนหนึ่ง (ต่างหาก)
แต่ก่อนนี้ ในโรงครัวหลวงของพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ สัตว์ได้ ถูกฆ่าเพื่อทําเป็นอาหาร วันละหลายแสนตัว ครั้นมาในบัดนี้ เมื่อธรรมโองการนี้อันพระองค์โปรดให้จารึกแล้ว สัตว์เพียง ๓ ตัวเท่านั้นที่ถูกฆ่า คือ นกยูง ๒ ตัว และเนื้อ ๑ ตัว ถึงแม้เนื้อนั้นก็มิได้ ถูกฆ่าเป็นประจํา ก็แลสัต์ทั้งสามนี้ (ในกาลภายหน้า) ก็จักไม่ถูกฆ่าอีกเลย
ในที่นี้ จะไม่พูดถึงเรื่องซึ่งในระดับการแผ่นดินถือได้ว่าเป็นข้อ ปลีกย่อยหรือเฉพาะอย่าง ที่ได้เอ่ยอ้างมาเหล่านี้
แต่พอดีว่า หลักการสําคัญที่นําทางการปกครองภายในของพระเจ้าอโศก ก็ปรากฏอยู่ในจารึกศิลา ฉบับที่ ๑ นี้ด้วย
เรื่องนี้คนทั่วไปอาจจะนึกไม่ถึง นั่นก์ค็อเรื่องการบูชายัญ
ที่ท่านผู้รู้หลายท่าน ทั้งฝรั้งและอินเดียบอกว่า พระเจ้าอโศกสอนธรรมที่เป็นกลาง ซึ่งทุกศาสนายอมรับได้นั้น ที่จริงก็รู้กันอยู่ว่า ในชมพูทวีป ตั้งแต่ก่อนมานานจนบัดนั้น ถึงจะมีศาสดาเจ้าลัทธิมากมาย แต่ศาสนาที่ครอบงําสังคมอินเดีย ด้วยระบบวรรณะ และการบูชายัญเซ่นสรวงแด่มวลเทพ ตามกําหนดแห่งพระเวท เป็นใหญ่อยู่ ก็คือศาสนาพราหมณ์ (ไม่ต้องพูดว่าทุกศาสนายอมรับได้ แต่ควรจะถามว่าพราหมณ์รับได้ไหม)
สิ่งที่พระเจ้าอโศกทําอย่างสําคัญ ก็คือ การห้ามฆ่าสัตว์บูชายัญ แล้วอย่างนี้ศาสนาพราหมณ์จะยอมรับได้อย่างไร การห้ามฆ่าสัตว์บูชายัญ นี้อโศกมหาราชทรงสอนและประกาศไว้ ในศิลาจารึกหลายวาระหลายฉบับ (เช่น จารึกศิลา ฉบับที่ ๑ ที่ ๔ และที่ ๑๑) เป็นหลักการใหญ่ของพระองค์ พูดได้ว่าทรงเอาจริง เพราะเป็นจุดเปลี่ยนของพระองค์เองที่จะเน้น
นี่คือการตีแสกหน้าของพราหมณ์ เป็นการหักล้างไม่เพียงลัทธิ ความเชื่อของเขาเท่านั้น แต่สั่นสะเทือนสถานะและทําลายผลประโยชน์ ของพราหมณ์โดยตรง ดังที่พวกพราหมณ์ได้เก็บอัดความคั่งแค้นไว้
ในที่สุด พราหมณ์ปุษยมิตรก็โค่นราชวงศ์โมริยะลง ตั้งราชวงศ์ศุงคะของพราหมณ์ขึ้นแทน แล้วที่ชัดก็คือพราหมณ์ปุษยมิตรที่ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรกของราชวงศ์พราหมณ์นั้น นอกจากห่ำหั่นบีฑาชาวพุทธแล้ว ก็ได้รื้อฟื้นพิธีบูชายัญอันยิ่งใหญ่คืออัศวเมธขึ้นมาเพื่อประกาศศักดานุภาพ การบูชายัญที่เงียบหายไปหลายร้อยปีก็กลับเฟื่องฟูขึ้นอีก
ดังเป็นที่ทราบกันดีว่า ก่อนที่ฝรั่งอังกฤษผู้เข้ามายึดอินเดียเป็นอาณานิคมปกครองไว้จะเปิดเผยเรื่องพระเจ้อโศกขึ้นมานั้น คนอินเดียไม่รู้จักพระเจ้าอโศกเลย แม้แต่พระนามก็ไม่เคยได้ยิน พระเจ้าอโศกถูกอินเดียลืมสนิท เรื่องพระเจ้าอโศกเหลืออยู่เพียงในคัมภีร์พุทธศาสนา
การที่เรื่องพระเจ้าอโศกหายไปนั้น คงไม่ใช่เพียงเพราะการรุกรานทําลายของกองทัพมุสลิมเท่านั้น แต่ได้ถูกพราหมณ์พยายามทําให้สลายมาก่อน
ทั้งที่พระเจ้าอโศกไม่เพียงยกย่องพราหมณ์ให้รับราชการ มีตําแหน่งสําคัญในการแผ่นดินเท่านั้น แต่ยังได้เน้นไว้เสมอในศิลาจารึก ให้ปฏิบัติชอบและถวายทานแก่สมณพราหมณ์ เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก แต่พราหมณ์ก็อดเคียดแค้นไม่ได้ในเมื่อพระเจ้าอโศกไม่ยอมรับอภิสิทธิ์ของพราหมณ์ตามระบบวรรณะ และที่สําคัญที่สุดคือได้ทรงห้ามฆ่าสัตว์บูชายัญ (เท่ากับเลิกล้มพิธีบูชายัญ)
ดังนั้น เรื่องจึงเป็นมาอย่างที่ท่านผู้รู้ของอินเดียเองเขียนไว้ (R.K.Mookerjee, Asoka, 105, 108-9) ว่า แม้แต่พระนาม “เทวานามปริยะ” ก็ได้ถูกนักไวยากรณ์พราหมณ์ในสมัยต่อมา พยายามอธิบายให้มีความหมายเป็นคนโง่เขลา เนื่องจากอคติของพราหมณ์ต่อพระมหากษัตริย์ชาวพุทธที่โดดเด่นที่สุด
เสมือนว่า พราหมณไม่เพียงขุดโค่นพระเจ้าอโศกเท่านั้น แต่อินเดียได้ขุดหลุมฝังพระเจ้าอโศกและกลบให้ลับหายสนิท จนกระทั่งอังกฤษขุดคุ้ยหลุมนั้นออกให้เห็นพระเจ้าอโศกในเวลาประมาณ ๑,๕๐๐ ปีต่อมา
จึงกลายเป็นว่า ปฏิบัติการที่เป็นความกล้าหาญในทางสันติของพระเจ้าอโศกดังว่ามานี้เป็นสิ่งที่ยากจะรักษาไว้ให้คงอยู่ได้ยั่งยืน
* นี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของคำและความที่ควรเทียบ: “สมาช” ตรงกับที่ในพระไตรปิฎกใช้ว่า “สมัชชา” ในคําว่า สมัชชาภิจรณะ ซึ่งแปลกันมาว่า “เที่ยวดูการเล่น” อันเป็นข้อที่ ๓ แห่งอบายมุข ๖ ในสิงคาลกสูตร อันเป็นวินัยของคฤหัสถ์ (ที.ปา.๑๑/๑๘๑) และทรงแสดงตัวอย่างไว้ดังที่ท่าน แปลให้เข้ากับเรื่องของไทยว่า ฟ้อนรํา ขับร้อง ดนตรี เสภา เพลง เถิดเทิง (เวลานี้ อาจจะต้องแปลใหม่ให้เข้ากับสภาพปัจจุบัน)
พึงสังเกตว่า รามายณะ ก็ดีอรรถศาสตร์ก็ดีให้ส่งเสริม สมาช นี้แก่ราษฎร โดยถือว่า จะช่วยให้ราษฎรเกิดความนิยมชมชอบต่อรัฐ (ทําให้พลเมืองของรัฐที่แพ้หันมาชอบผู้ชนะ) พูดง่ายๆ ว่าใช้เป็นสิ่งกล่อม แต่พระเจ้าอโศกไม่เห็นแก่ประโยชน์ตนแบบนี้กลับให้เลิกเสีย
Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2567 |
|
0 comments |
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2567 19:30:57 น. |
Counter : 693 Pageviews. |
|
 |
|