อิสลามรวมอาหรับ
ศาสนาอิสลามเกิดในดินแดนที่เป็นประเทศซาอุดีอาระเบียในปัจจุบัน ศาสนิกคือผู้นับถือศาสนาอิสลามนั้น เรียกว่ามุสลิม
พระศาสดาของศาสนาอิสลามมีพระนามว่ามุฮัมมัด (มุฮำมัด ก็ว่า) คำว่าพระศาสดาในที่นี้ ชาวมุสลิมใช้คำเรียกว่า “นบี” [Nabi]
พระนบีมุฮัมมัดประสูติที่เมืองมักกะฮ์ [Mecca] ที่มักเรียกกันว่าเมกกะ เมื่อประมาณ ค.ศ.570 คือ พ.ศ.๑๑๑๓ (ไม่ได้ตัวเลขที่แน่นอน) ในยุคที่ดินแดนอาหรับมีชนเผ่าต่างๆ แบ่งแยกกันค่อนข้างมาก
ท่านกำพร้าบิดาตั้งแต่ยังไม่ประสูติ และกำพร้ามารดาเมื่อชนมายุ ๖ พรรษา ท่านปู่ดูแลท่านมาจนประมาณชนมายุ ๘ พรรษา ต่อนั้นมาท่านอยู่ในความดูแลของท่านลุง นามว่าอาบูตาลิบ ซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าฮะชิม
ครั้นชนมายุ ๒๕ พรรษา ท่านได้ทำงานเป็นผู้ดูแลกิจการค้าขายของเศรษฐินีหม้ายนามว่าขะติยะฮ์ [Khadijah เนื่องจากหาสมุดจดวิชาไม่พบ การเขียนสะกดตัวอักษรอาจจะไม่แม่นยำนัก ต้องพึ่งตำราฝรั่ง]
ต่อมา เมื่อท่านได้สมรสกับท่านขะติยะฮ์แล้ว และมีเวลาหาความสงบมากขึ้น ประมาณ ค.ศ. ๖๑๐/พ.ศ.๑๑๕๓ เมื่อชนมายุ ๔๐ พรรษา มีเรื่องว่า ขณะไปหาความสงบในถ้ำ ท่านได้มองเห็นว่าพระอัลเลาะฮฺเจ้าได้มอบพระโองการให้ท่านสั่งสอน
ต่อแต่นี้ ท่านได้รับพระวิวรณพจน์เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ อันรวมกันเป็นพระคัมภีร์ "อัล-กุรอ่าน” ซึ่งมีหลักการสูงสุดว่า มีพระเจ้าพระองค์เดียวคืออัลเลาะฮฺ [Allah] และพระมุฮัมมัด เป็นนบี คือศาสดาผู้ประกาศพระวจนะของพระองค์ (ฝรั่งว่า prophet)
เมื่อพระนบีมุฮัมมัดเผยแพร่คำสอนในเมืองมักกะฮ์ ได้มีผู้ไม่พอใจเป็นปฏิปักษ์มุ่งร้าย แต่ท่านลุงผู้เป็นหัวหน้าเผ่าได้ช่วยคุ้มครองท่านจนกระทั่งถึงประมาณ ค.ศ.๖๑๙/พ.ศ.๑๑๖๒ ท่านลุงถึงมรณกรรม และในเวลาใกล้กันนั้น ท่านเศรษฐินีขะติยะฮ์ผู้ภรรยาก็ถึงมรณกรรม ท่านจึงขาดผู้คุ้มครอง
ท่านมองเห็นภัยจากการที่จะถูกบีบคั้นและห้ามสั่งสอน จึงพร้อมด้วยสาวกเวลานั้นประมาณ ๗๐ คน ตกลงตัดความสัมพันธ์สายเลือดกับเผ่าในเมืองมักกะฮ์ และในปี ๖๒๒/๑๑๖๕ ได้พากันอพยพออกจากเมือง มักกะฮ์ ไปอยู่ที่เมืองยาธริบ [Yathrib] ที่บัดนี้ เรียกว่า มะดีนะฮ์ [Medina] ห่างขึ้นไปทางเหนือประมาณ ๔๐๐ กม.
เหตุการณ์สำคัญนี้ ถือเป็นการเริ่มต้นแห่งศักราชของศาสนาอิสลาม ที่เรียกว่า “ฮิจเราะฮ์” (hegira, hijrah,หรือ hijra เป็นคำอาหรับ แปลว่า อพยพ และศักราชของอิสลามจึงเท่ากับ พ.ศ. ๑๑๖๕)
ในเมืองมะดีนะฮ์ ก็มีปัญหาความขัดแย้งระหว่างเผ่าต่างๆ มาก รวมทั้งพวกยิว พระนบีต้องสู้รบทั้งกับชาวเมืองมักกะฮ์ และขยายวงสัมพันธ์ในเมืองมะดีนะฮ์
กองคาราวานการค้าของชาวเมืองมักกะฮ์ ต้องผ่านทางมะดีนะฮ์ พระนบีมุฮัมมัดได้ยกกำลังไปซุ่มและรบตัดกำลังพวกมักกะฮ์ ทำให้พวกนั้นอ่อนกำลังลง และทางมะดีนะฮ์มีกำลังเพิ่มขึ้น พระนบีมุฮัมมัดมีชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ในปี ๖๒๔/๑๑๖๗ แม้ว่าปีต่อมาจะพ่ายแพ้
พวกมักกะฮ์ยกกำลังใหญ่ มีกำลัง ๑๐,๐๐๐ มาล้อมตีเมืองมะดีนะฮ์ ในปี ๖๒๗/๑๑๗๐ แต่ท่านรบชนะทำให้พวกมักกะฮ์แตกพ่ายกลับไป
ในเมืองมะดีนะฮ์เอง พระนบีก็ต้องใช้เวลาในการผนึกกำลัง มีการปราบพวกที่แข็งข้อ หรือไปเข้ากับพวกมักกะฮ์ โดยเฉพาะมีพวกยิวอยู่ ๓ เผ่า ซึ่งท่านได้ปราบปรามสำเร็จ เฉพาะอย่างยิ่งมียิวเผ่าหนึ่ง (Banu Qurayza) ที่กล่าวกันว่าคิดการร้ายต่อท่านระหว่างที่พวกมักกะฮ์มาล้อมตี ท่านจึงต้องปราบใหญ่โดยสังหารผู้ชายทั้งหมด และขายผู้หญิง และเด็กเป็นทาสออกพ้นไปจากมะดีนะฮ์
ครั้นถึงเดือนมกราคม ปี ๖๓๐/๑๑๗๓ เมื่อทางมักกะฮ์อ่อนกำลังตีมะดีนะฮ์ไม่สำเร็จ และทางเศรษฐกิจก็เปลี้ย เพราะเส้นทางคาราวานถูกตัด พระนบีมุฮัมมัดจึงยกกำลังพล ๑๐,๐๐๐ ไปยังมักกะฮ์ และฝ่ายเมืองนั้นเปิดเมืองรับ ยอมอ่อนน้อมโดยดี ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ฝ่ายศัตรูถูกสังหารเพียง ๒๘ คน และฝ่ายมุสลิมเสียชีวิตเพียง ๒ คน
พระนบีมุฮัมมัดใช้เวลา ๑๕-๒๐ วัน จัดการวางระบบบริหารปกครองเมืองมักกะฮ์ โดยเฉพาะได้ทำลายรูปเคารพ (idols) ให้หมดจากมหาวิหารกะบะฮ์ (บางทีใช้เขียนเป็น กะอุ บะฮุ Kabah ฝรั่งมักเขียน kaaba) และศาสนสถานใกล้เคียง แล้วกลับสู่มะดีนะฮ์
ในช่วงนี้ พระนบีต้องออกรบกับชนเผ่าอื่นๆ ที่เข้มแข็ง เมื่อท่านชนะ ต่อมาก็มีชนเผ่าต่างๆ ส่วนมากมาขอเข้าด้วย จนกระทั่งก่อนที่พระนบีเสด็จสวรรค์ในวันที่ ๘ มิถุนายน ปี ๖๓๒/๑๑๗๕ ท่านไม่เพียงเป็นผู้ปกครองอาระเบียทั้งหมดเท่านั้น แต่ได้เคยยาตรทัพ ๓๐,๐๐๐ ไปกำราบชายแดนซีเรียแล้วด้วย
Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2567 |
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2567 11:30:24 น. |
|
0 comments
|
Counter : 149 Pageviews. |
 |
|
|
|
|
 |
|