กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
กุมภาพันธ์ 2567
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
2526272829 
space
space
9 กุมภาพันธ์ 2567
space
space
space

มนุษย์ประเสริฐเพราะเป็นสัตว์ที่ฝึกได้



235 มนุษย์ประเสริฐเพราะเป็นสัตว์ที่ฝึกได้


     หลักการใหญ่ของพระพุทธศาสนาที่ว่าด้วยธรรมก็เท่านี้แหละ แต่ขยายไปสู่หลักปลีกย่อยต่างๆ จนละเอียดยิบ แล้วหลักปลีกย่อยเหล่านั้น ก็โยงถึงกันหมดทุกอย่าง

     ข้อสําคัญ  พระพุทธเจ้าไม่ได้แสดงแต่หลักเท่านั้น  แต่ทรงให้กําลังใจพวกเราด้วยว่า “มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกฝนพัฒนาได้นะ”   อันนี้แหละเป็นสิ่งสําคัญที่สุด   พร้อมกันนั้น   มองอีกด้านหนึ่ง พระองค์บอกว่า  “มนุษย์ เป็นสัตว์ที่ต้องฝึก”

     คำว่า  “ฝึกได้  นี้   ทำให้เกิดกำลังใจ  แต่คำว่า   “ต้องฝึก” ทำให้สำนึกในหน้าที่ ว่าเราเป็นคน จะต้องฝึกตน จะอยู่อย่างสัตว์ทั้งหลายอื่นไม่ได้

     จึงต้องย้ำอีกทีหนึ่ง ถึงความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์อื่นทั้งหลายว่า มนุษย์เป็นสัตว์พิเศษที่ว่ามีการฝึกฝนพัฒนาได้เท่านั้นเอง   ส่วนสัตว์ชนิดอื่น มันฝึกฝนพัฒนาไม่ได้  ข้อแตกต่างมีอยู่ดังนี้

     สัตว์ทั้งหลายอื่นที่เราเรียกว่าเดรัจฉานนั้น  มันอยู่ด้วยสัญชาตญาณเป็นหลัก ในแง่สัญชาตญาณแล้วสัตว์เหล่านั้นเก่งกว่าเรา   เราอย่าไปเทียบเลยในเรื่องสัญชาตญาณ

     มนุษย์เกิดมานี่อาศัยสัญชาตญาณได้น้อย  ไม่ค่อยมีความสามารถอะไรติดตัวมา  มีแต่ศักยภาพรอไว้ที่จะพัฒนาได้มากมายด้วยการฝึก

     ลองพิสูจน์ก็ได้ว่าเราแพ้สัตว์อื่นทั้งหลายในเรื่องสัญชาตญาณ  สัตว์อย่างอื่นนั้นเกิดมา  พอออกจากท้องพ่อท้องแม่  ก็มีชีวิตอยู่ได้ช่วยตัวเองได้แทบจะทันที  หลายชนิดทีเดียวเดินได้เลย  ว่ายน้ำได้  หากินได้

     แต่มนุษย์นี้อ่อนแอมาก พอคลอดออกมาแล้ว ถ้าไม่มีใครเลี้ยงดู ประคบประหงม ก็ไม่สามารถมีชีวีตอยู่ได้  ต้องมีคนเลี้ยงดูจนกระทั่งแม้แต่อยู่มาได้ปีหนึ่งแล้ว ก็ยังช่วยตัวเองไม่ได้ถ้าใครทิ้งก็ตาย ต้องเลี้ยงกันอีก   หลายปีอาจเป็นสิบๆ ปีมนุษย์จึงจะอยู่รอด สามารถดําเนินชีวิตได้

     การที่จะดำเนินชีวิตได้ก็คือระหวางที่เขาเลี้ยงตัวเองก็เรียน คือ เรียนรู้ฝึกหัด พัฒนาตนไป จนกระทั่งสามารถดําเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง

     เป็นอันว่า โดยสัญชาตญาณ มนุษย์เป็นสัตว์ที่อ่อนแอ  ไร้ความสามารถที่สุด แต่มีข้อดีพิเศษก็คือ ฝึกได้  เรียนรู้ได้

     มนุษย์มีการเรียนรู้  คือการศึกษานั่นเอง  เมื่อมีการเรียนรู้  คือมีการศึกษา ก็ทําให้สามารถทําอะไรต่ออะไรขยายออกไปได้  สามารถรับถ่ายทอดความรู้จากคนรุ่นเก่า  เช่น  พ่อแม่บอก ครูอาจารย์บอก  คนแวดล้อมบอก  ได้ความรู้เพิ่มขึ้นๆ สามารถเอาความรู้ที่สะสมมาเป็นเวลาพันๆ ปี มาอยู่ในคนเดียวได้  อันนี้เป็นข้อประเสริฐพิเศษของมนุษย์  ไม่เหมือนสัตว์ทั้งหลายอื่น

     สัตว์ทั้งหลายอื่นสะสมถ่ายทอดความรู้มาโดยทางสัญชาตญาณ แต่มนุษย์สะสมถ่ายทอดความรู้ด้วยวิธีเรียนรู้ได้ด้วย   ใครรู้จักเพียรเรียนรู้  ก็ยิ่งรู้ยิ่งพัฒนา  ใครไม่เพียรไม่รู้จักเรียนรู้  ก็ไม่ได้ความรู้ และพัฒนาตัวไม่ได้

     ความพิเศษของมนุษย์นั้น  อยู่ที่การเรียนรู้อย่างที่ว่าแล้ว  การเรียนรู้นี้ก็คือการศึกษา  การศึกษาเป็นเรื่องของการฝึกฝนพัฒนาคน และองค์ธรรมสําคัญในการศึกษาก็คือปัญญานั่นเอง ปัญญาทําให้รู้ ทําให้คิด-พูด ทําได้ผล ทําให้ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายได้ถูกต้อง แก้ปัญหาและทําการทั้งหลายได้สำเร็จ

     ส่วนสัตว์ทั้งหลายอื่นอยู่ด้วยสัญชาตญาณ เคยอยู่มาอย่างไรก็อยู่ไปอย่างนั้นตลอดชีวิต เกิดมาอย่างไรก็ตายไปอย่างนั้น

     ส่วนมนุษย์นี้เกิดมาโดยไร้ความสามารถ  แต่เมื่อได้เรียนรู้ก็ฝึกฝนพัฒนาตนไปจนกระทั่งมีความสามารถพิเศษอย่างแทบจะไม่มีที่สิ้นสุด  ในทางกาย  คนเกิดมาอย่างไร  ก็ตายไปอย่างนั้น  มาแต่ตัวก็ไปแต่ตัว  แต่ในทางจิตใจและปัญญา  เกิดมาแล้วกว่าจะตาย ถ้าได้เรียนรู้ฝึก ฝนพัฒนา ก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลิศประเสริฐอย่างมากมาย 

     การที่เรามีพระพุทธเจ้าไว้นี้ เป็นประจักษ์พยานของการพัฒนามนุษย์  ให้เห็นว่ามนุษย์นี้สามารถพัฒนาได้สูงสุดจนเป็นพุทธะ

     พุทธะ นั้นคือ การที่ธรรมแสดงภาวะที่พัฒนาสูงสุดของมนุษย์ว่า  มนุษย์นั้นพัฒนาสูงสุดได้ถึงขนาดนี้  ความเป็นพุทธะจึงเป็นตัวแบบ  สําหรับมนุษย์ทั้งหมด  เรากล่าวว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐ ก็เพราะ สามารถพัฒนาได้จนเป็นพุทธะ

     ขอย้ำว่า พระพุทธศาสนา ไม่ได้ถือว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐเฉยๆ มนุษย์นั้นเป็นสัตว์ที่ประเสริฐด้วยการฝึก ถ้าไม่ฝึกแล้วหาประเสริฐไม่ เราไปพูดกันว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐ พูดด้วนๆ ขาดห้วนไป ต้องพูด ให้เต็มว่า  มนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐด้วยการฝึก  เมื่อฝึกแล้วประเสริฐสุด

     ทั้งนี้ตามบาลีว่า ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ (ขุ.ธ.๒๕/๓๓) แปลว่า ในหมู่มนุษย์นั้น ผู้ที่ฝึกแล้วเป็นผู้ประเสริฐสุด ประเสริฐสุดจนกระทั่งแม้แต่เทวดาและพรหมก็น้อมนมัสการ

     เพราะฉะนั้น จึงมีพุทธพจน์มากมาย ที่ให้กําลังใจแก่มนุษย์ว่า อย่ามัวไหว้วอนรอความช่วยเหลือจากเทวดา ขอให้มนุษย์เราฝึกฝน พัฒนาตนไป แล้วเทวดาพรหมทั้งหลายจะน้อมนมัสการเราเอง

     เราไม่ได้ไปเรียกร้อง   เราไม่ได้ไปดูถูกท่าน  แต่เพราะคุณความดี จากการได้บําเพ็ญการฝึกฝนพัฒนาตนนั่นแหละ เทพพรหมทั้งหลายก็ยอมรับนับถือ หันมาน้อมนมัสการ

     นี้เป็นการเตือนมนุษย์ไม่ให้มัวสยบอยู่   มนุษย์ในสมัยก่อนพุทธกาลนั้น  มัวแต่มองไปข้างนอกตัว ไม่มองดูตัวเองว่า  เราจะต้องทำอะไร  มองแต่ว่าเราจะไปขอให้เทพเจ้าองค์ไหนช่วย  มองไปหาพระพรหม  มองไปหาเทวดาว่า  ท่านจะช่วยอะไรเราได้บ้าง  แล้วก็ไปอ้อนวอน  คิดแต่อย่างนั้น ไม่เอาใจใส่ที่จะฝึกฝนพัฒนาตน  นี่แหละมนุษย์ชอบเป็นอย่างนี้


     ที่จริง  ทําอย่างนั้นมันก็ง่ายดี  มนุษย์ทั่วไปก็มีความโน้มเอียงที่จะทําอย่างนั้น ขอคนอื่นง่ายกว่า ทําเองมันยาก เลยไม่คิดฝึกตนสักที  คิดแต่จะขอจากเทพเจ้า  ขอให้พระพรหมช่วยดลบันดาล และหาทางเอาอกเอาใจเทพเจ้า  จนเกิดเป็นพิธีบูชายัญต่างๆ ใหญ่โต

     พระพุทธเจ้ามาแก้ปัญหานี้  ก็เรียกว่าปฏิวัติสังคม โดยดึงให้คนหันมาดูตัวเองว่า เราจะต้องทําอะไรบ้าง  จากการที่ดูว่าตัวจะต้องทําอะไรบ้าง   ก็เลยต้องชี้ไปที่ธรรม คือ ความเป็นไปตามเหตุปัจจัยนี่แหละ นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ

     พระพุทธเจ้ามาสอนให้เราสนใจเรื่องความสามารถพิเศษที่มีอยู่ในตัวเอง ความพิเศษของมนุษย์นั้น  คือการเป็นสัตว์ที่ฝึกได้

     คนที่ฝึกได้  ภาษาบาลีเรียกว่า “ทัมมะ”  พูดสั้นๆว่า ทัมม์

     สัตว์ทั้งหลายอื่นโดยทั่วไปฝึกไม่ได้   สัตว์บางชนิดฝึกได้บ้าง  ในขอบเขตจํากัด แต่ฝึกตัวเองไม่ได้ต้องให้คนฝึก

     อันนี้เป็นข้อพิเศษ  แม้สัตว์ที่ฝึกได้บ้าง  ก็ยังต้องอาศัยคนฝึก  ช้างฝึกตัวเองได้ไหม ไม่ได้ ม้าฝึกตัวเองได้ไหม ไม่ได้   ลิงฝึกตัวเองได้ไหม ไม่ได้  ต้องให้คนฝึกทั้งนั้น ท่านจึงว่า

       วรมสฺสตรา ทนตา อาชานียา จ  สินฺธวา  เป็นต้น  (ข.ุธ.๒๕/๓๓)

     แปลว่า อัสดร สินธพ  ม้าอาชาไนย  ช้างหลวง  ช้างพลาย  เมื่อได้รับการฝึกแล้วก็ประเสริฐ เป็นสัตว์ที่เก่ง   แต่มนุษย์ที่ฝึกแล้ว ประเสริฐกว่านั้น คือ สัตว์ทั้งหลายนี่ฝึกไปถึงระดับหนึ่ง  มันไปไมไหวแล้ว มันได้แค่นั้น  แต่มนุษย์ฝึกตัวเองได้และฝึกได้ไม่มีที่สิ้นสุด จนเป็นพุทธะได้ประเสริฐเลิศที่สุด

     ฉะนั้น   มนุษย์จะต้องหันมาดูความพิเศษของตัวเองตรงนี้ แทนที่จะไปติดอยู่กับคําว่า “มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ” แล้วหลงภูมิใจตัวเอง  ด้วยความหลง แล้วก็ติดตันอยู่แค่นั้น ไม่พัฒนา อย่าเอาเลย หันมาสนใจ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีกว่า ว่าความวิเศษและประเสริฐของมนุษย์นั้น อยู่ที่ความเป็นสัตว์ที่ฝึกได้อันนี้มีประโยชน์กว่า

     ถ้าเรามาถือตามพุทธพจน์ว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้และต้องฝึกนี่ เราจะเหนทางปฏิบัติเดิ นหน้าไปทั้งที่มีพุทธพจน์ ตรัสไว้เรากลับไม่เอาคําตรัสของพระพุทธเจ้านี่ บางทีเราก็เพลินมองข้ามไปเหมือนกัน   ถ้าเราจะเอาคําที่ว่า “มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ”  ก็ต้องต่อด้วยว่าเป็นสัตว์ประเสริฐด้วยการฝึก จึงจะครบถ้วนใจความที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

     รวมความว่า  พระพุทธเจ้าได้ชี้ธรรมให้  ได้แก่  ความจริงแห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นการดึงความสนใจจากเรื่องเทพมาสู่ธรรม   ดึงความสนใจจากการรอคอยอํานาจดลบันดาลของเทพเจ้า   มาสู่การทําความเพียรพยายามด้วยกรรมที่ดีของตนเอง

     เมื่อดึงมาแล้ว  พระพุทธเจ้าไม่ได้หยุดแค่นั้น  แต่ทรงชี้มาที่ในตัวมนุษย์อีกว่า อย่าท้อใจนะ ให้มีกําลังใจ  เราเป็นสัตว์พิเศษที่ฝึกตนเองได้  พัฒนาได้  พอมาถึงตอนนี้มนุษย์ก็มีกําลังใจ

 


Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2567
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2567 15:41:34 น. 0 comments
Counter : 178 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space