จริงหรือที่ "สมเด็จพระนเรศวรฯ" เคยคิดจะยกทัพไปบุกญี่ปุ่น?






(ที่มา บทความ "จริงหรือที่สมเด็จพระนเรศวรฯ เคยคิดจะยกทัพไปบุกญี่ปุ่น : แนะนำบทความของ คิมุระ คานาโกะ" โดย ปิยดา ชลวร)


หากการศึกษาวิจัยประวัติศาสตร์เ ป็นการทำให้เราเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต และเป็นการเสนอมุมมองใหม่ต่อความรู้ความเข้าใจเดิมที่มีมาแล้ว

บทความภาษาญี่ปุ่นของ คิมุระ คานาโกะ เกี่ยวกับการที่สมเด็จพระนเรศวรฯ เคยเสนอจีนสมัยราชวงศ์หมิง ว่าจะยกทัพไปบุกญี่ปุ่นเมื่อครั้งที่ญี่ปุ่นบุกเกาหลีในปี ค.ศ. ๑๕๙๒ [พ.ศ. ๒๑๓๕] ก็น่าจะช่วยเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับเรื่องนี้

ในปี ค.ศ ๑๕๙๒ ญี่ปุ่นภายใต้การนำของ โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ส่งทหารจำนวนกว่า ๑๕๐,๐๐๐ คน ไปบุกเกาหลีเพื่อหวังจะยึดเกาหลีเป็นเมืองขึ้น กองทัพของโทโยโทมิ สามารถตีเข้าไปถึงเมืองเปียงยาง

กษัตริย์เกาหลีต้องลี้ภัยไปทางเหนือ และส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากจีน เกาหลีในตอนนั้นเป็นรัฐบรรณาการของจีน และยังเป็นรัฐกันชนระหว่างจีนกับญี่ปุ่น จีนจึงต้องส่งทหารไปเพื่อยึดเกาหลีกลับคืนมา

จากการต่อสู้อย่างแข็งขันของกองทัพเกาหลีเอง และแนวร่วมที่จีนส่งมาช่วย ทำให้ญี่ปุ่นไม่สามารถยึดเกาหลีได้ในครั้งนั้น

อย่างไรก็ตามโทโยโทมิไม่ได้ล้มเลิกความตั้งใจ เขาส่งกองทัพแสนกว่าคนไปเกาหลีอีกในปี ค.ศ. ๑๕๙๗ [พ.ศ. ๒๑๔๐] แต่ก็ไม่สามารถยึดเกาหลีได้ เนื่องจากเขาตายลงอย่างกะทันหันในปีถัดไป ญี่ปุ่นจึงต้องถอนทหารออกจากคาบสมุทรเกาหลี

การบุกเกาหลีในครั้งนั้น เป็นความทะเยอทะยานของโทโยโทมิ ที่จะเป็นใหญ่ในเอเชีย หลังจากที่เขาขึ้นมาเป็นผู้นำและรวมญี่ปุ่นให้เป็นหนึ่งเดียวได้ หลังจากที่ญี่ปุ่นมีสงครามน้อยใหญ่มาร้อยกว่าปีในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕-๑๖

ว่ากันว่า เขามีแผนที่จะขยายอำนาจไปถึงฟิลิปปินส์และอินเดีย หากเขาไม่ตายเสียก่อน

ถึงแม้ว่าโทโยโทมิจะไม่ได้ยึดครองเกาหลี ตามที่ตั้งใจไว้เหตุการณ์นี้มีนัยยะสำคัญอยู่ไม่น้อย ประการแรกหมายถึงความพยายามของญี่ปุ่น ที่จะขยายอำนาจไปยังต่างประเทศเป็นครั้งแรก อาจเรียกได้ว่าเป็นจักรวรรดินิยมในยุคแรกๆ

ประการที่ ๒ เป็นการที่ประเทศเล็กๆ ที่เคยรับเอาอารยธรรมของจีนคิดที่จะท้าทายอำนาจของจีนเอง อีกนัยยะหนึ่ง คือการที่เหตุการณ์นี้มีประเทศอื่นอย่างสยาม และริวกิวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากสยามเสนอจะส่งทหารไปช่วยตีญี่ปุ่น

ในราชสำนักหมิงเองก็มีการถกเถียงกันว่าจะ “ยืม” กองกำลังทหารจากสยามและริวกิว ไปช่วยตีญี่ปุ่นดีหรือไม่ เหตุการณ์ในครั้งนั้นยังทำให้เราเห็นนโยบายของหมิง ต่อประเทศบรรณาการอย่างสยามด้วย ซึ่งเป็นที่มาของบทความของ คิมุระ คานาโกะ (นักศึกษาปริญญาเอกสาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกียวโต)

บทความของคิมุระเริ่มต้นด้วย การเท้าความความสัมพันธ์ของสยามกับจีนสมัยราชวงศ์หมิง ว่าสยามเป็นรัฐแรกๆ ที่ส่งบรรณาการไปให้หมิง คือปี ค.ศ. ๑๓๗๑ [พ.ศ. ๑๙๑๔] แต่หากเทียบกับเกาหลี ริวกิว และเวียดนามแล้ว สยามก็ยังถือเป็นรัฐบรรณาการห่างๆ ไม่ได้รับเอาอิทธิพลจากจีนมาอย่าง ๓ รัฐแรก

การที่สยามส่งคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับจีนก็รู้ๆ กันอยู่ว่าทำไปเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า แต่ในปี ค.ศ. ๑๕๙๒ หรือปีที่ ๒๐ ในรัชศกวั่นลี่ของจีน มีบันทึกในเอกสารจีนว่า

“หลังจากที่ญี่ปุ่นเข้าไปตีเกาหลีได้ สยามแอบเสนอจีนอย่างลับๆ ว่าจะส่งกองทัพไปบุกญี่ปุ่นเพื่อเป็นกำลังเสริมให้จีน ฉือฉิง เสนาบดีกระทรวงกลาโหมคิดที่จะรับข้อเสนอนี้ไว้ แต่ข้าหลวงใหญ่มณฑลกวางตุ้งกวางสีชื่อเชียวเยี่ยนไม่เห็นด้วย เรื่องเลยตกไป”

จากบันทึกข้างต้น คิมุระตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดสยามซึ่งที่ผ่านมาติดต่อกับจีนเพราะเหตุผลทางการค้า อยู่ๆ จึงเสนอที่จะช่วยจีนรบกับญี่ปุ่น ยิ่งในช่วงนั้น สยามซึ่งตรงกับสมัยของสมเด็จพระนเรศวรฯ ยังติดพันสงครามกับพม่าอยู่ จะส่งทหารไปช่วยรบได้อย่างไร

คิมุระใช้เอกสารร่วมสมัยของจีนและเกาหลีหลายฉบับ เพื่อวิเคราะห์เรื่องนี้ในเดือน ๙ ปี ค.ศ. ๑๕๙๒ ทูตชาวเกาหลีคนหนึ่งชื่อเจิ้งคุนโช่ว (ในที่นี้จะถอดเสียงเป็นภาษาจีน) ถูกส่งไปปักกิ่งเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิหมิง และขอให้จีนส่งกำลังไปช่วยเกาหลีขับไล่กองทัพญี่ปุ่น

เมื่อไปถึงปักกิ่งเขาได้พบกับทูตจากสยาม ที่มาถวายบรรณาการพอดี เอกสารเกาหลีซึ่งเขียนในปี ค.ศ. ๑๖๔๙ [พ.ศ. ๒๑๙๒] บันทึกว่าขณะที่ทูตเกาหลีกำลังถกเรื่องขอให้ส่งทหารไปช่วยเกาหลีกับขุนนางจีน ทูตสยามรู้เรื่องเข้าพอดี และได้ออกปากว่าจะช่วยกำจัดญี่ปุ่น

กระทรวงกลาโหมของจีน จึงจะทูลข้อเสนอนี้ต่อจักรพรรดิ ซึ่งในเอกสารไม่ได้บอกไว้ แต่คิมุระสันนิษฐานว่าน่าจะราวๆ เดือน ๙-๑๐ ของปี ค.ศ. ๑๕๙๒ และจักรพรรดิรับสั่งให้สืบเรื่องนี้ให้ดีก่อนที่จะรับข้อเสนอของสยาม

ตกลงใครกันแน่ที่เป็นคนเสนอ จะส่งทหารไปบุกญี่ปุ่นเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่าสมเด็จพระนเรศวรฯ เป็นคนเสนอเพื่อแสดงแสนยานุภาพทางทหารของสยาม

อย่างไรก็ตามคิมุระชี้ว่าไม่ว่าจะเป็นเอกสารจีนหรือเอกสารเกาหลีที่พูดถึงเรื่องนี้ ไม่มีชิ้นใดบอกว่า “กษัตริย์สยาม” เป็นคนยื่นข้อเสนอนี้ (ในเอกสารจีนชื่อ หมิงสื่อ ใช้คำรวมๆ ว่า สยาม)

คิมุระชี้ว่า จากเอกสารของเกาหลีที่ยกมาข้างต้น คนเสนอคือทูตจากสยาม ที่ไปถวายบรรณาการ และดูเหมือนว่าจะเป็นการเสนอโดยพลการของทูตคนนั้น มากกว่าจะเป็นความคิดของสมเด็จพระนเรศวรฯ

ปัญหาอีกประการคือเพราะเหตุใด ทูตสยามจึงเสนอเช่นนั้น เอกสารเกาหลีอีกชิ้นหนึ่งให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในวันที่ ๒๘ เดือน ๙ ปี ค.ศ. ๑๕๙๒ ฉือฉิง เสนาบดีกระทรวงกลาโหมของจีนได้เชิญเจิ้งคุนโช่ว (ทูตเกาหลี)

และ “ล่ามที่ติดตามมากับทูตสยาม” แซ่หลี่ไปกินเลี้ยงที่บ้านของเขา (ที่ปักกิ่ง) หลังจากที่พูดคุยกับเสนาบดีฉือฉิงเสร็จและโค้งคำนับร่ำลากันแล้ว ล่ามที่ติดตามมากับทูตสยามได้แอบกระซิบกับล่าม (ซึ่งน่าจะเป็นคนเกาหลี) ว่า

“การที่ท่านเสนาบดีเชิญพวกเรามาอีกครั้ง ก็เพราะต้องการให้สยามส่งทหารไปช่วยจีนตีญี่ปุ่นเป็นแน่ [เน้นโดยผู้เขียน] (แต่) สยามเองมีลูกศรก็จริงแต่ยิงคนก็ยังไม่เข้า ดาบฟันก็ไม่ขาด ลูกปืนก็ไม่มีประสิทธิภาพ แล้วจะไปช่วยได้อย่างไร

จะเอาอาวุธเหล่านี้ไปบุกญี่ปุ่นได้อย่างไร ถ้าจะไปประเทศของฉัน [สยาม - ผู้เขียน] ต้องออกจากกวางตุ้ง ผ่านริวกิว ประเทศฉันอยู่ทางขวา ญี่ปุ่นอยู่ทางซ้าย ระหว่างทางมีโขดหินและคลื่นลมแรง ไปทางเรือไม่ได้ จะต้องไปกวางตุ้งก่อนถึงจะไปถึงญี่ปุ่นได้

พวกโจรที่มาบุกประเทศของท่าน [หมายถึงเกาหลี - ผู้เขียน] ในตอนนี้เป็นคนจากฮกเกี้ยนทั้งนั้น โจรพวกนี้รู้เส้นทางขึ้นบกได้อย่างไร...”

คิมุระสันนิษฐานว่า ล่ามที่ติดตามทูตสยามไปปักกิ่งนี้น่าจะเป็นคนมาจากสยาม นั่นคือคนจีนที่อยู่ในสยามนั่นเอง จากการที่เขา “แอบกระซิบ” กับล่ามคนเกาหลีนั้น ทำให้เราได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าคนที่อยู่เบื้องหลังข้อเสนอของทูตสยาม จริงๆ แล้วคือเสนาบดีฉือฉิง ซึ่งเป็นคนแนะนำให้ทูตสยาม เสนอจีนว่าจะส่งทหารไปช่วยตีญี่ปุ่น

คิมุระให้เหตุผลอีกประการหนึ่ง ที่บอกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ที่สมเด็จพระนเรศวรฯ เป็นคนเสนอ โดยวิเคราะห์ช่วงเวลาที่ทูตสยามไปถึงปักกิ่งว่า น่าจะไปถึงในเดือน ๙ ของปี ค.ศ. ๑๕๙๒ หลังจากที่ญี่ปุ่นบุกเกาหลีไม่นาน (ญี่ปุ่นบุกเกาหลีเดือน ๔ ของปีนั้น) และคงมีการทูลข้อเสนอจะส่งทหารต่อจักรพรรดิหมิงในช่วงเดือนนั้นถึงเดือนตุลาคม (ในเอกสารจีนไม่ได้บอกไว้)

อย่างไรก็ตามโดยปกติแล้ว กว่าที่คณะทูตจากสยามจะออกเดินเรือไปถึงกวางตุ้งและเดินทางไปถึงปักกิ่ง มักใช้เวลานานถึง ๑ ปีครึ่ง หากคำนวณดูการเดินทางของคณะทูต ซึ่งไปถึงปักกิ่งในเดือน ๙ ของปี ค.ศ. ๑๕๙๒ แล้วก็หมายความว่าทูตจากสยามต้องออกจากอยุธยาตั้งแต่กลางปี ค.ศ. ๑๕๙๑ [พ.ศ. ๒๑๓๔]

ซึ่งในตอนนั้นญี่ปุ่นยังไม่ได้บุกเกาหลี คิมุระแย้งว่า เมื่อทูตสยามออกจากอยุธยา ก่อนที่เหตุการณ์การบุกเกาหลีจะเกิดขึ้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่สมเด็จพระนเรศวรฯ จะเสนอส่งทหารไปช่วยตีญี่ปุ่น

ด้วยเหตุนี้คิมุระจึงเสนอว่า ข้อเสนอของสยามที่จะส่งทหารไปน่าจะเป็นกุศโลบายของเสนาบดีฉือฉิง ที่แนะนำทูตจากสยามให้เสนอเช่นนั้น แม้เขาจะโดนขุนนางด้วยกันคัดค้าน แต่ก็ยังดื้อดึงที่จะทูลเสนอต่อจักรพรรดิ

การที่เขาเสนอเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะในตอนนั้นจีนกำลังเผชิญกับศึกรอบด้านไม่ใช่จากญี่ปุ่นอย่างเดียว ฉือฉิงซึ่งเป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ซึ่งรับผิดชอบการศึกสงครามจึงต้องการกำลังเสริมมาช่วย

ข้อเสนอของฉือฉิงถูกทัดทาน โดยข้าหลวงใหญ่มณฑลกวางตุ้งกวางสี ชื่อเชียวเยี่ยนเชียวเยี่ยน ให้ความเห็นว่าไม่ควรที่จะให้สยามเข้ามายุ่งกับปัญหานี้โดยให้เหตุผลหลายประการ คือ

๑. สยามเป็นรัฐบรรณาการมาแต่โบราณก็จริง แต่ไม่ได้จงรักภักดีต่อจีนเท่าเกาหลี และก็ไม่ได้สนิทกับจีนเท่าใดนัก การที่จะยืมกำลังทหารจากประเทศอย่างนี้ นอกจากจะแสดงว่าจีนหย่อนยานในด้านการทหารแล้วยังไม่มีประโยชน์อันใดกับจีน

๒. คำพูดของทูตสยามขาดความน่าเชื่อถือ เราไม่รู้ว่ากษัตริย์สยามคิดอย่างไร ข้อเสนอที่จะส่งทหารมาช่วยจีน อาจจะเป็นคำพูดของล่ามฝ่ายจีนที่ต้องการจะเอาหน้า ถ้าหากสยามไม่ได้ส่งทหารมา จะเป็นการทำให้จีนเสื่อมเสียเกียรติยศเปล่าๆ

ยิ่งตอนนี้เป็นช่วงนี้จีนมีแสนยานุภาพ ลำพังกำลังทหารของจีนย่อมจะทัดทานญี่ปุ่นได้ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องขอกำลังทหารจากสยาม

๓. สยามเจ้าเล่ห์เพทุบายไม่แพ้ญี่ปุ่น ถ้าเป็นการรบในทะเลแล้วญี่ปุ่นสู้สยามไม่ได้ แต่ถ้าเป็นการรบบนบกสยามสู้ญี่ปุ่นไม่ได้ หากกองทัพของสยามเพลี่ยงพล้ำญี่ปุ่น มาขอความช่วยเหลือจากเรา (หมายถึงจีน) แล้วเกิดปัญหาขึ้นมา สยามอาจจะกลายเป็นปฏิปักษ์กับเราก่อนที่จะชนะญี่ปุ่น

๔. ถ้าหากสยามจะไปตีญี่ปุ่นจริงๆ ก็ต้องไปทางเรือ และจะต้องผ่านกวางตุ้งและฮกเกี้ยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกวางตุ้งเป็นเมืองท่าหลักที่สยามจะต้องมาแวะแน่นอน (สยาม) คงจะละเมิดกฎระเบียบของเรา และเรียกร้องสิ่งต่างๆ มากมาย

นอกจากนี้แถบชายฝั่งของจีน ก็มีคนชั่วที่แอบออกเรือไปประเทศอื่นมากมาย เกรงว่าถ้าหากทหารสยามมา พวกเขาอาจจะแอบปะปนกับคนพวกนั้นแอบเข้ามาจีนก็เป็นได้

๕. ถึงแม้ว่าข้อเสนอของสยาม ที่จะส่งทหารมาช่วยจะเป็นข้อเสนอที่จริงใจของสยาม แต่จะคาดหวังว่ามีจำนวนมากคงไม่ได้

๖. ทูตสยามพักอยู่ปักกิ่งเป็นเวลานาน คงจะรู้และได้ยินสถานการณ์ที่เกาหลีโดนบุกได้ดี การที่จะยืมกำลังทหารจากสยามอาจเป็นการแสดงความอ่อนแอของจีนได้

๗. คำกล่าวที่ว่า “ใช้ศัตรูบุกศัตรูอีกที” อาจจะใช้ได้ดีในยามปกติที่จีนสามารถเป็นผู้บัญชาการได้ แต่ในยามคับขันเช่นนี้ จีนไม่รู้ว่าสยามมีความจริงใจต่อจีนเพียงใด จึงไม่สามารถ “ใช้ศัตรูบุกศัตรูอีกที” ได้

เหตุผลของข้าหลวงใหญ่ฯ นอกจากจะแสดงถึงเกียรติและศักดิ์ศรีของจีนแล้ว ยังสะท้อนมุมมองของชาวจีน ที่มีต่อสยามในขณะนั้นได้ดีว่าไม่ไว้เนื้อเชื่อใจสยาม

เนื่องจากเชียวเยี่ยนเป็นขุนนางในพื้นที่ เคยปราบกบฏแถบยูนนานและพม่ามาก่อน จึงน่าจะรู้สถานการณ์การเมืองในแถบตอนใต้ของจีนดีกว่าฉือฉิงซึ่งอยู่ปักกิ่ง เขามองว่าการจะให้กองทัพสยามจำนวนมากเข้ามาแวะเทียบท่าที่กวางตุ้ง น่าจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดีกับจีน จึงไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเสนาบดีกลาโหมฉือฉิง

เรื่องนี้คิมุระได้วิเคราะห์เอาไว้ในบทที่ ๒ นอกจากเชียวเยี่ยน ยังมีขุนนางอีกคนหนึ่งไม่เห็นด้วย กับการรับข้อเสนอของสยาม ฝ่ายของเกาหลีเอง ก็ไม่เชื่อว่าสยามจะสามารถสู้กับญี่ปุ่นได้จริง จากการคัดค้านของเขา จักรพรรดิทรงรับสั่งให้ไม่รับข้อเสนอของสยาม และส่งสาส์นให้กษัตริย์สยามทราบ

ในบทที่ ๓ คิมุระพูดถึงความสัมพันธ์ของสยามกับจีน ในช่วงก่อนรัชศกวั่นลี่ว่า สยามยอมส่งบรรณาการมาให้จีนก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าสยามจะเชื่อฟัง และยอมรับอำนาจทางการเมืองของหมิง
เห็นได้จากหลายเหตุการณ์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕

เช่น จากการที่สยามพยายามแผ่อำนาจไปมะละกาในปี ค.ศ. ๑๔๐๗ [พ.ศ. ๑๙๕๐] โดยยกทัพไปตีมะละกา แม้ว่าหมิงจะส่งพระราชสาส์นตำหนิการกระทำของสยาม และสั่งให้ปรองดองกันแต่ก็ไม่เป็นผล สยามส่งทหารไปอีก

และอีกเหตุการณ์คือการที่สยาม ไม่ได้ให้การต้อนรับทูตจากหมิงที่ถูกส่งมาแต่งตั้งกษัตริย์สยามองค์ใหม่ อย่างสมเกียรติทำให้ทูตคนนั้นต้องตายในสยามในปี ค.ศ. ๑๔๘๒ [พ.ศ. ๒๐๒๕]

ในขณะเดียวกันหากมองในแง่ของจีน จีนเองก็ดูจะไม่ได้เห็นความสำคัญของสยามนักในช่วงนั้น เห็นจากการที่สยามส่งพระราชสาส์นมายังจีน แต่ไม่มีใครอ่านออกเพราะเขียนเป็นภาษาไทยและภาษาเปอร์เซีย

ถึงกระนั้นหมิงกว่าจะตั้งหน่วยงานที่แปลสาส์นจากสยาม ก็ค่อนข้างช้ามาก คือในปี ค.ศ. ๑๕๗๘ [พ.ศ. ๒๑๒๑] เพราะฉะนั้นก่อนหน้านั้นหมิงดูจะไม่ใส่ใจเท่าใดว่า สาส์นของสยามที่ส่งมามีใจความว่าอย่างไร

อย่างไรก็ตามคิมุระชี้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสยามเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นในช่วงรัชศกวั่นลี่ (ค.ศ. ๑๕๗๓-๑๖๒๐/พ.ศ. ๒๑๑๖-๖๓) หมิงเริ่มเห็นความสำคัญของสยามมากขึ้น โดยการเพิ่มของกำนัลให้กับทูตสยาม ที่มาถวายบรรณาการ ตั้งหน่วยงานแปลพระราชสาส์นของสยาม

ปัจจัยที่ทำให้หมิงหันมาให้ความสำคัญกับสยาม คิมุระวิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นเพราะในช่วงนั้นหมิงเผชิญศึกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นจากโจรสลัด ที่คอยก่อความไม่สงบตามชายฝั่งในช่วงปี ค.ศ. ๑๕๗๐-๘๐ [พ.ศ. ๒๑๑๓-๒๓] และจากพม่าซึ่งขยายอิทธิพลไปยังยูนนานในช่วงปี ค.ศ. ๑๕๘๐ [พ.ศ. ๒๑๒๓]

ทำให้หมิงต้องขอความช่วยเหลือจากสยาม ให้ไปช่วยรบกับพม่า หมิงในช่วงนั้นกำลังอ่อนแอ สยามจึงกลายเป็นรัฐที่มีความสำคัญต่อหมิง ด้วยเหตุนี้เสนาบดีกระทรวงกลาโหม จึงหาทางขอความช่วยเหลือจากสยาม เมื่อเกาหลีถูกญี่ปุ่นบุกในปี ค.ศ. ๑๕๙๒

คิมุระสรุปว่าการที่สยามส่งข้อเสนอว่าจะไปช่วยตีญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าในทางปฏิบัติจะไม่ได้เกิดขึ้นก็ตาม แต่ก็มีส่วนทำให้ภาพพจน์ของสยามในสายตาจีนราชวงศ์หมิงดีขึ้นมาก

ก่อนหน้ารัชศกวั่นลี่ สยามเคยเป็นแค่รัฐบรรณาการในดินแดนตอนใต้รัฐหนึ่ง แต่พอเกิดเรื่องญี่ปุ่นบุกเกาหลีแล้ว สยามกลายเป็นรัฐที่จงรักภักดีในสายตาของหมิง

สำหรับสยามเองนั้นการที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจีน ก็ดูจะมีนัยยะสำคัญเช่นกัน เนื่องจากสยามตอนนั้นรบกับพม่าอยู่ ความสัมพันธ์ของจีนกับสยามในช่วงเหตุการณ์การบุกเกาหลีของญี่ปุ่น จึงทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลง ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในช่วงนั้นได้เป็นอย่างดี

บทความของคิมุระ นอกจากจะเสนอมุมมองใหม่ในเรื่องข้อเสนอของสยาม ที่จะช่วยจีนรบกับญี่ปุ่นแล้ว ยังนำเสนอเอกสารที่น่าสนใจของเกาหลี ซึ่งไม่ค่อยมีคนนำมาใช้ แต่ให้รายละเอียดมากกว่าเอกสารจีน

เอกสารเกาหลีทำให้เราเห็นภาพปฏิสัมพันธ์ ของคณะทูตสยามที่ไปถึงเมืองจีนว่า ไม่ได้มีแต่การติดต่อกับชาวจีนอย่างเดียว แต่ยังมีการติดต่อพบปะกับทูตจากชาติอื่นด้วย

การที่ทูตจากสยามเป็นคนเสนอจะช่วยไปตีญี่ปุ่น ถึงแม้จะเป็นแผนการของเสนาบดีของจีนอย่างที่คิมุระบอก แต่ก็ทำให้เราเห็นบทบาทของคณะทูต ที่มีมากกว่าการไปจิ้มก้องและถวายบรรณาการจีนอย่างเดียว

ปัญหาหนึ่งของการศึกษา เรื่องความสัมพันธ์จีนกับสยามในสมัยอยุธยา คือไม่มีเอกสารไทยให้ตรวจสอบ พงศาวดารไทยไม่ได้พูดเรื่องนี้ไว้เลย เราจึงต้องใช้เอกสารภาษาจีนเป็นหลัก และหากเราอิงเอกสารร่วมสมัยของจีนและเกาหลีที่คิมุระยกมา

บทสรุปก็คือ สมเด็จพระนเรศวรฯ ไม่น่าจะมีส่วนรู้เห็นกับการเสนอจะไปบุกญี่ปุ่นของสยาม นี่เป็นการคุยกันเองของขุนนางจีนและทูตสยามภายใต้เหตุการณ์อันคับขันในปี ค.ศ. ๑๕๙๒

(อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ พร้อมภาพประกอบและเชิงอรรถ ได้ที่ นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับประจำเดือนพฤษภาคม 2555)


ขอบคุณ
มติชนออนไลน์
นิตยสารศิลปวัฒนธรรม
คุณปิยดา ชลวร


สิริสวัสดิ์อาทิตยวารค่ะ



Create Date : 27 พฤษภาคม 2555
Last Update : 27 พฤษภาคม 2555 10:27:56 น.
Counter : 3105 Pageviews.

0 comments
สรุปวิชาสังคมไทยสังคมโลกในศตวรรษที่ 21 เรื่องปราชญ์ท้องถิ่น นายแว่นขยันเที่ยว
(10 เม.ย. 2567 03:05:45 น.)
เมนูที่เต็มไปด้วยคุณค่าอาหาร ข้าวยำ สมาชิกหมายเลข 4313444
(4 เม.ย. 2567 00:28:04 น.)
AI คืออะไร ? ข้อดีของ AI Technology Robotic เข้ามาช่วยในการผ่าตัด newyorknurse
(19 เม.ย. 2567 02:45:03 น.)
ติดโคมไฟ LED 3สี ด้วยตัวเองง่ายๆ ไม่เกิน 200 บาท ฟ้าใสทะเลคราม
(17 มี.ค. 2567 00:08:48 น.)

Vinitsiri.BlogGang.com

sirivinit
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 224 คน [?]

บทความทั้งหมด