บทบาททางการเมืองของผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน หลังสิ้นสมบูรณาญาสิทธิราชย์

บางส่วนจาก ศิลปวัฒนธรรม กรกฎาคม ๒๕๕๕ เรื่อง คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในระบอบใหม่ พ.ศ. ๒๔๗๘-๙๔ : ที่มา แบบแผน และการปรับตัวของสถาบันกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ ศรัญญู เทพสงเคราะห์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

..............................................


การปฏิวัติสยามของคณะราษฎร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจทางการเมืองของสยาม จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มีพระมหากษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย มาสู่ระบอบการปกครองที่พระมหากษัตริย์ถูกจำกัดพระราชอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญ

ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ ถือเป็นความกล้าหาญและคุณูปการอันใหญ่หลวงของคณะราษฎร ที่ได้วางรากฐานการปกครองของประเทศชาติด้วยหลักวิชาที่แน่นอน โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นกติกาสูงสุดในการปกครอง

ซึ่งตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้ระบุอำนาจสูงสุดเป็นของราษฎร รวมถึงได้กำหนดสถาบันการเมืองที่ใช้อำนาจแทนราษฎรได้แก่ กษัตริย์ สภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมการราษฎร และศาล

อย่างไรก็ตามจากการจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ กลับก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ให้แก่คณะราษฎรว่า จะจัดวางบทบาทและหน้าที่ขององค์พระมหากษัตริย์ และสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ยึดโยงกับราษฎร ที่เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดในระบอบใหม่อย่างไร

เนื่องจากสิ่งนี้ไม่เคยมีมาก่อนในสยาม ขณะเดียวกันบทบาทและหน้าที่ขององค์พระมหากษัตริย์ และสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ ถึงแม้ว่าจะมีการกำหนดเป็นลายลักษณ์ไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ก็มีบทบาทบางอย่างที่เป็นขนบประเพณี

อาทิธรรมเนียมปฏิบัติที่ไม่ปรากฏในรัฐธรรมนูญ รวมถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับอำนาจการเมืองอื่นๆ ซึ่งหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ คณะราษฎรต้องรับภาระหลักในการแสวงหาบทบาทอันเหมาะสม ของสถาบันและองค์พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ

แม้ว่าในระยะแรกคณะราษฎร จะพยายามกำหนดบทบาทของสถาบันและองค์พระมหากษัตริย์ในระบอบใหม่ ร่วมกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับถาวร (๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕) ที่เพิ่มพระราชอำนาจบางส่วนให้แก่พระมหากษัตริย์

แต่จากความขัดแย้งระหว่างรัชกาลที่ ๗ กับคณะราษฎรที่จบลงด้วยการสละราชสมบัติของรัชกาลที่ ๗ ย่อมสะท้อนถึงความล้มเหลวของรัชกาลที่ ๗ ในการปรับตัวเข้าสู่ระบอบใหม่ ตลอดจนความไม่ราบรื่นในการแสวงหาบทบาท ของสถาบันและองค์พระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ

ดังนั้นคณะราษฎร จึงต้องเริ่มต้นแสวงหาบทบาทดังกล่าวใหม่อีกครั้งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล

แต่เนื่องจากขณะนั้นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ ยังทรงพระเยาว์ ทางคณะราษฎร จึงตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อทำหน้าที่ปฏิบัติพระราชกิจ ในพระบรมนามาภิไธยพระมหากษัตริย์

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คณะผู้สำเร็จราชการฯ เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของสถาบันพระมหากษัตริย์

และส่งผลให้คณะผู้สำเร็จราชการฯ ได้มีส่วนร่วมกับชนชั้นนำระบอบใหม่ แสวงหาบทบาทที่เหมาะสมของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบใหม่ เกือบตลอดรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และช่วงต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันรวมระยะเวลาเกือบ ๑๖ ปี

ทั้งนี้ในการศึกษาบทบาทของคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในช่วงหลังการปฏิวัติสยาม อาจกล่าวได้ว่า มีงานวิชาการที่ศึกษาประเด็นนี้น้อยมาก

โดยงานที่ศึกษาพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ในรัฐธรรมนูญของ ธงทอง จันทรางศุ เสนอว่า พระราชอำนาจในช่วงที่มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มีลักษณะไม่แน่นอนตายตัว รวมถึงไม่มีบรรทัดฐานที่มั่นคง

เนื่องจากพระมหากษัตริย์ไม่ได้ทรงบริหาร พระราชภาระด้วยพระองค์เอง และมีการเปลี่ยนแปลงการเมืองบ่อยครั้ง

ขณะที่งานของ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ได้พิจารณาคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในฐานะสถาบันการเมืองของระบอบใหม่ โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ ๘ ว่ามีส่วนเกื้อหนุนให้ระบอบใหม่มีความมั่นคงมากขึ้น

ส่วนงาน ๒ ชิ้นของ กอบเกื้อ สุวรรณทัต-เพียร ได้ศึกษาคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในฐานะตัวแทนอย่างเป็นทางการของสถาบันพระมหากษัตริย์ในสมัยรัชกาลที่ ๘ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดของคณะราษฎร

โดยใช้เอกสารการทูตร่วมสมัย บรรยายความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับรัฐบาลคณะราษฎร

แต่งานที่โดดเด่นที่สุดคือ งานของ ณัฐพล ใจจริง ที่ศึกษาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์/คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในฐานะสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบใหม่ ว่ามีปฏิสัมพันธ์กับสถาบันการเมืองต่างๆ ในระบอบใหม่อย่างไร และปฏิสัมพันธ์ดังกล่าวมีผลกระทบต่อระบอบการเมืองอย่างไร

แต่อย่างไรก็ตามการศึกษาของนักวิชาการข้างต้น กลับมีข้อจำกัดคือ การไม่สามารถเข้าถึงเอกสารชั้นต้นของไทย ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

ดังนั้นในการศึกษาครั้งนี้ ผู้ศึกษาจะพยายามรวบรวมเอกสารชั้นต้นที่กระจัดกระจายทั้งจากแหล่งต่างๆ อาทิ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ (หจช.) ห้องสมุดสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) และห้องสมุดสภา มาช่วยเติมเต็มองค์ความรู้ของนักวิชาการข้างต้น ให้มีความกระจ่างชัดมากขึ้น

โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาที่มา บทบาท และการปรับตัวของคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในระบอบใหม่ อันจะทำให้เข้าใจประสบการณ์ทางการเมืองของคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งเป็นสถาบันการเมืองที่เกิดขึ้นพร้อมกับระบอบใหม่ เพื่อทำความเข้าใจสถานะ และพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ


ในส่วนขอบเขตของช่วงเวลาในการศึกษาครั้งนี้คือ ปี พ.ศ. ๒๔๗๘-๙๔ อันเป็นช่วงเวลาที่มีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการฯ หรือผู้สำเร็จราชการฯ ซึ่งเป็นตัวแทนของพระมหากษัตริย์ตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ

โดยปี พ.ศ. ๒๔๗๘ คือปีที่สภาผู้แทนราษฎร มีมติตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ส่วนปี พ.ศ. ๒๔๙๔ คือปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จนิวัตและประทับในประเทศไทยถาวร อันยุติบทบาทของผู้สำเร็จราชการฯ โดยสมมติฐานของการศึกษาครั้งนี้คือ

๑. บทบาทและสถานะของคณะผู้สำเร็จราชการฯ หรือผู้สำเร็จราชการฯ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามเงื่อนไขทางการเมืองในแต่ละยุคสมัย และประสบการณ์ทางการเมืองของผู้สำเร็จราชการฯ และ

๒. คณะผู้สำเร็จราชการฯ หรือผู้สำเร็จราชการมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดแบบแผนบางอย่าง เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญขึ้น

บทความชิ้นนี้ได้พยายามเผยให้เห็นที่มา บทบาท และการปรับตัวของคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์กับการเมืองไทย โดยในช่วง พ.ศ. ๒๔๗๘-๙๐ คณะผู้สำเร็จราชการฯ เป็นสถาบันการเมืองที่อยู่ในกรอบของระบอบประชาธิปไตย ที่ผูกพันกับรัฐธรรมนูญและประชาชน รวมถึงมีสถานะเหนือการเมืองอย่างชัดเจน

อันเป็นแบบแผนของสถาบันพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ ที่คณะผู้สำเร็จราชการฯ และคณะราษฎรร่วมกันกำหนดขึ้น

แต่อย่างไรก็ตามแบบแผนดังกล่าวกลับอันตรธานไป เมื่อเครือข่ายสถาบันกษัตริย์หลังการรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ ได้ฟื้นฟูพระราชอำนาจอย่างกว้างขวาง พร้อมทั้งได้ปรับปรุงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการฯ ให้อยู่ใต้การควบคุมของกลุ่มกษัตริย์นิยม

โดยเชื่อมโยงตำแหน่งนี้กับอภิรัฐมนตรี หรือองคมนตรี ดังนั้นผู้สำเร็จราชการฯ ในช่วง พ.ศ. ๒๔๙๐-๙๔ จึงกลายเป็นตัวแทนที่โดดเด่นที่สุดของเครือข่ายสถาบันกษัตริย์ รวมถึงแสดงบทบาททางการเมืองอย่างชัดเจน

ซึ่งขัดแย้งกับหลักการจำกัดอำนาจสถาบันพระมหากษัตริย์ของคณะราษฎรหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ตลอดจนนำไปสู่ความขัดแย้งกับกลุ่มจอมพล ป. และสิ้นสุดด้วยการทำรัฐประหารของกลุ่มจอมพล ป. ในปี พ.ศ. ๒๔๙๔ เพื่อจำกัดอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์อีกครั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๔๗๕

อย่างไรก็ตามการจำกัดอำนาจสถาบันพระมหากษัตริย์ หลังการรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๔ กลับเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียง ๓ เดือน เนื่องจากกลุ่มกษัตริย์นิยมต่อรองกับกลุ่มจอมพล ป. จนสามารถนำหลักการบางอย่างในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๔๙๒ มาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้สำเร็จ

ส่งผลให้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๔๙๕ เป็นรัฐธรรมนูญที่มีแนวคิดของกลุ่มนั้นแอบแฝง โดยยังคงมีตำแหน่งองคมนตรี รวมถึงการตั้งผู้สำเร็จราชการฯ ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มกษัตริย์นิยม

อันสะท้อนถึงพัฒนาการของการปรับตัว ของสถาบันพระมหากษัตริย์นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๐ จนถึงปัจจุบัน ที่สถานะและพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ จะไม่หวนกลับไปหาแบบแผนที่ร่วมกันกำหนดโดยคณะราษฎรและคณะผู้สำเร็จราชการฯ ในช่วงก่อนการรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐

หลักฐานยืนยันที่ชัดเจนคือ รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๔๙๒ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๑๑ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๑๗ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๒๑ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๓๔ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๔๐ และฉบับ พ.ศ. ๒๕๕๐

ล้วนกำหนดให้คณะองคมนตรี มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของผู้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการฯ ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงตั้ง ตลอดจนให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการฯ ชั่วคราวในระหว่างที่ยังไม่สามารถตั้งผู้สำเร็จราชการฯ


ขอบคุณ มติชนออนไลน์

สิริสวัสดิ์ภุมวารค่ะ



Create Date : 10 กรกฎาคม 2555
Last Update : 10 กรกฎาคม 2555 11:04:17 น.
Counter : 3063 Pageviews.

0 comments
การ์ตูนจากกล่องอาหาร สมาชิกหมายเลข 4313444
(14 เม.ย. 2567 04:14:16 น.)
อย่ามาบ้ง!นะ peaceplay
(5 เม.ย. 2567 15:53:18 น.)
กาแฟคั่วเข้ม เหมาะกับเมนูไหนดี สมาชิกหมายเลข 7983004
(29 มี.ค. 2567 02:14:10 น.)
ถนนสายนี้ ... ... มีตะพาบ หลักกิโลเมตรที่ 348 "ฉุกละหุก" toor36
(24 มี.ค. 2567 10:27:24 น.)

Vinitsiri.BlogGang.com

sirivinit
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 224 คน [?]

บทความทั้งหมด