ชาตรี ประกิตนนทการ
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยศิลปากร
การวางตำแหน่งของอัฏฐมหาสถานตามที่ปรากฏในไตรภูมิโลกวินิจฉัย จะจัดวางตำแหน่ง โพธิบัลลังก์ อันหมายถึงเหตุการณ์ตอนตรัสรู้ (มหาสถานอันดับที่ ๒) ด้วยนั้น เอาไว้ตรงกลาง และวางมหาสถานอีก ๗ แห่งไว้โดยรอบ
ถัดออกไปจากวงรอบนี้ จะเป็นการล้อมด้วย มหานครใหญ่ ๑ ชั้น และ ชนบทนคร อีก ๑ ชั้น ซึ่งถือว่าเป็นวงรอบชั้นสุดท้าย โดยโครงสร้างทั้งหมดนับตั้งแต่ โพธิบัลลังก์ จนถึง ชนบทนคร จะเรียกรวมว่า มัชฌิมประเทศ ถัดออกไปจากพื้นที่ มัชฌิมประเทศ คือ ป่าหิมพานต์ และพื้นที่น้ำท่วม ซึ่งจะเป็นพื้นที่ขอบนอกสุดของชมพูทวีป
โครงสร้างแผนผังในเชิงนามธรรมข้างต้นที่ถูกแปลงให้เป็นแผนผังเชิงรูปธรรมนั้น ผู้เขียนได้เคยศึกษาวิเคราะห์และเสนอเอาไว้เป็นบทความอย่างละเอียดแล้วในบทความชิ้นอื่น
ดังนั้นจะไม่ขออธิบายโดยละเอียด ณ ที่นี้ แต่จะขอสรุปโดยย่อในส่วนที่เกี่ยวกับตำแหน่งพระพุทธรูปประธานภายในพระอุโบสถ ดังนี้
โครงสร้างดังกล่าวได้ถูกแปลงเข้าสู่แผนผังทางสถาปัตยกรรมของวัดพระเชตุพนฯ ในเขตพุทธาวาส โดยกำหนดให้ศูนย์กลางของแผนผังทางสถาปัตยกรรม ซึ่งก็คือตำแหน่งของพระพุทธรูปประธานภายในพระอุโบสถนั้นเป็นตำแหน่งของศีรษะแผ่นดิน
ซึ่งคัมภีร์ไตรภูมิโลกวินิจฉัยได้ระบุไว้ว่า คือตำแหน่งเดียวกับโพธิบัลลังก์
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ณ ตำแหน่งศูนย์กลางนั้นยังได้ถูกกำหนดให้เป็นตำแหน่งเดียวกันกับเหตุการณ์เสวยวิมุติสุขในสัปดาห์ที่ ๑ อันเป็นสัตตมหาสถานแห่งที่ ๑ และยังตรงกับเหตุการณ์ตรัสรู้ อันเป็นมหาสถานอันดับที่ ๒ ของอัฏฐมหาสถานด้วย
ที่โยงเข้ามาเกี่ยวข้องกับพระพุทธรูปปางสมาธิก็คือ พุทธลักษณะของพระพุทธเจ้าในเหตุการณ์สำคัญทั้ง สอง ซึ่งได้มาซ้อนทับอยู่ในตำแหน่งเดียวกันนี้ เป็นพุทธลักษณะเดียวกันที่เป็นปางสมาธิ
กล่าวคือ การเสวยวิมุติสุขที่เกิดขึ้น ณ สัตตมหาสถานอันดับที่ ๑ ตามพุทธประวัติคือ พระพุทธเจ้าจะประทับนั่งทำสมาธิอยู่บนโพธิบัลลังก์เป็นเวลา ๗ วัน ซึ่งก็คือปางสมาธิ
ส่วนการล้อมรอบของ อัฏฐมหาสถาน ในชั้นถัดออกมา คัมภีร์ก็ระบุเอาไว้ให้ตำแหน่งศูนย์กลางคือ มหาสถานอันดับที่ ๒ อันเป็นพุทธประวัติตอนตรัสรู้ ซึ่งก็คือพระพุทธรูปปางสมาธิเช่นเดียวกัน
แม้เป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่า พุทธประวัติตอนตรัสรู้นิยมที่จะถูกแทนด้วยพระพุทธรูปปางมารวิชัยได้เช่นเดียวกัน ซึ่งในวัฒนธรรมไทยเองและอีกหลายวัฒนธรรม
เช่น พม่า เป็นต้น ก็มีคตินิยมในลักษณะดังกล่าวอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปเช่นเดียวกันว่า พระพุทธรูปทั้ง ๒ ปางสามารถเป็นภาพตัวแทนของเหตุการณ์ตอนตรัสรู้ได้เหมือนกัน
ดังนั้น เมื่อย้อนมาพิจารณาในกรณีของการจำลองโครงสร้างศีรษะแผ่นดินหรือโพธิบัลลังก์กลางชมพูทวีป ตามคัมภีร์ไตรโลกวินิจฉัย ซึ่งระบุเอาไว้ว่า ตำแหน่งศูนย์กลางซึ่งจะต้องแสดงเหตุการณ์สำคัญ ๒ เหตุการณ์ที่ซ้อนทับกัน
คือ ตอนเสวยวิมุติสุขสัปดาห์ที่ ๑ (ตอนพระพุทธเจ้านั่งสมาธิใต้โพธิบัลลังก์) และเหตุการณ์ตอนตรัสรู้ ทำให้ ถ้าเลือกที่จะใช้พระพุทธรูปปางมารวิชัยเพื่อแทนเหตุการณ์ตรัสรู้ ก็จะทำให้ขัดกับเหตุการณ์เสวยวิมุตติสุขสัปดาห์ที่ ๑
ด้วยเหตุนี้จึงน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ช่างในสมัยรัชกาลที่ ๑ จึงได้เลือกพระพุทธรูปปางสมาธิ (ซึ่งแทนพุทธประวัติตอนตรัสรู้ได้เช่นกัน) ขึ้นมาเป็นตัวแทนของเหตุการณ์ดังกล่าว แทนที่ปางมารวิชัยในแบบเดิม
เพราะปางสมาธิจะทำให้การแสดงภาพเหตุการณ์ตอนตรัสรู้ ไม่ขัดแย้งกับเหตุการณ์ตอนเสวยวิมุติสุขสัปดาห์ที่ ๑
ทั้งหมดนี้จึงนำมาสู่คำตอบ (ที่ยังคงเป็นสมมติฐานในเบื้องต้นที่ต้องรอการศึกษาเพิ่มเติมอีก) ว่า ทำไมพระประธานภายในพระอุโบสถของวัดที่รัชกาลที่ ๑ ซึ่งเมื่อเทียบเคียงตามแผนผังโครงสร้างในไตรภูมิโลก
วินิจฉัยแล้วคือ ตำแหน่งของโพธิบัลลังก์ ศีรษะแผ่นดิน สัตตมหาสถานอันดับที่ ๑ และอัฏฐมหาสถานอันดับที่ ๒ จึงจำเป็นจะต้องเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ เพราะพระพุทธรูปปางนี้คือ ปางที่สื่อสะท้อนถึงพุทธประวัติตอนที่พระพุทธเจ้ากำลังเสวยวิมุติสุขบนโพธิบัลลังก์ และพุทธประวัติตอนตรัสรู้ นั่นเอง
การออกแบบในลักษณะดังกล่าว ใช่ว่าจะพบที่วัดพระเชตุพนฯ แห่งแรกก็หาไม่ แต่คติว่าด้วยการจำลองลักษณะชมพูทวีปเช่นนี้ อย่างน้อยเราได้พบมาแล้วที่การออกแบบพระอุโบสถวัดเกาะแก้วสุทธาราม จังหวัดเพชรบุรี ในสมัยอยุธยาตอนปลายที่ภายในพระอุโบสถ
มีพระพุทธรูปประธานเป็นปางสมาธิ โดยมีภาพเขียนบนผนังด้านซ้ายและขวาเป็นภาพสัตตมหาสถานและอัฏฐมหาสถาน ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่รัชกาลที่ ๑ จะมีพระราชนิยมในการออกแบบคติสัญลักษณ์ภายในวัดที่พระองค์มีพระราชดำริโดยตรงไปในลักษณะดังกล่าวเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามข้อเสนอนี้เป็นเพียงการสันนิษฐานบนการวิเคราะห์การออกแบบของวัดพระเชตุพนฯ เป็นหลัก ซึ่งวัดอื่นๆ ผู้เขียนยังมิได้ทำการศึกษาเทียบเคียงอย่างจริงจัง
ฉะนั้น ความหมายของพระประธานที่เกี่ยวข้องกับการแสดงสัญลักษณ์ ในการจำลองศีรษะแผ่นดินกลางชมพูทวีป อาจเป็นเพียงความคิดที่ปรากฏที่วัดพระเชตุพนฯ เพียงแห่งเดียวก็เป็นได้ ส่วนวัดอื่นอาจจะเป็นเนื่องด้วยวัตถุประสงค์อื่น ซึ่งคงต้องรอการศึกษาในรายละเอียดต่อไป
สรุป
รัชกาลที่ ๑ มีพระราชนิยมในการเลือกพระพุทธรูปเป็นพระประธานภายในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ซึ่งแตกต่างจากคตินิยมในอดีตที่จะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย และแตกต่างจากความเชื่อดั้งเดิมในวงวิชาการทางประวัติศาสตร์ศิลปะและสถาปัตยกรรมไทย เหตุผลหนึ่ง (ซึ่งอาจมีอีกหลายเหตุผล) ของพระราชนิยมดังกล่าวก็คือ
พระพุทธรูปปางสมาธิมีความสัมพันธ์กับคติสัญลักษณ์เรื่อง ศีรษะแผ่นดิน กลาง ชมพูทวีป ซึ่งเป็นแนวความคิดสำคัญในการออกแบบแผนผังวัดในสมัยรัชกาลที่ ๑
ขอบคุณ
มติชนออนไลน์
คุณชาตรี ประกิตนนทการ
สิริสวัสดิ์โสรวารค่ะ