คอลัมน์ สุวรรณภูมิสังคมวัฒนธรรม
โดย ผู้สื่อข่าวพิเศษ/ นสพ.มติชนรายวัน
ทวายเป็นเมืองสถานีการค้ายุคดึกดำบรรพ์ ระหว่างชุมชนบ้านเมืองชายฝั่งทะเล อันดามัน จนถึงอินเดีย, ลังกา รวมถึงการเผยแผ่ศาสนาพุทธพราหมณ์ ราวหลัง พ.ศ. 1000 ก็อาศัยสถานีการค้านี้
ด้วยเหตุที่ตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคมระหว่างรัฐในพม่ากับรัฐในไทย แล้วเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ทำให้ทวายถูก "พม่าลากไป ไทยลากมา" นานเกือบพันปี
เพราะต่างต้องยึดเมืองทวายเป็นที่สะสมไพร่พลและเสบียงส่งบำรุงเลี้ยงกองทัพของฝ่ายตนที่จะยกไปตีอีกฝ่าย
เมาะตะมะตีทวาย
หนังสือราชาธิราช (พระราชพงศาวดารรามัญ) ระบุว่า พ.ศ. 1861 เจ้าเมืองเมาะ ตะมะยกไปตีได้เมืองทวาย กับเมืองตะนาวศรี
พ.ศ. 1862 มีไทยห้าร้อยคนหนีไปจากเมืองเพชรบุรีไปทางเมืองทวาย แล้ว สวามิภักดิ์รับราชการอยู่ในเมืองเมาะตะมะ แล้วเป็นกำลังให้เจ้านายเชื้อวงศ์ยึดอำนาจเมืองเมาะตะมะ
อยุธยาตีทวาย
พ.ศ. 2031 อยุธยายกไปตีได้เมืองทวาย มีในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ ความว่า
"สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า เสด็จไปเอาเมืองทวาย และเมื่อจะเสียเมืองทวายนั้นเกิดอุบาทว์เป็นหลายประการ โคตกลูกตัวหนึ่งเป็น 8 เท้า ไก่ฟักไข่ออกตัวหนึ่งเป็น 4 เท้า ไก่ฟักไข่สามค่องออกลูกเป็น 6 ตัว อนึ่งข้าวสารงอกเป็นใบ"
อยุธยาแตก เพราะทวาย
ทวายมีส่วนเป็นเหตุให้กองทัพอังวะโจมตีอยุธยาแตก พ.ศ. 2310 อ. นิธิ เอียวศรีวงศ์ อธิบายไว้ในหนังสือการเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ว่ามีเหตุจากกรุงศรีอยุธยาได้ยอมตนเป็นที่พึ่งแก่ชนกลุ่มน้อยของพม่า
พ.ศ. 2307 หุยตองจา เจ้าเมืองทวายเป็นกบฏต่อพม่า เมื่อถูกปราบปรามก็พาครัวอพยพหนีมาทางเมืองมะริด และทางอยุธยาก็ตกลงใจจะรับหุยตองจาไว้ในอุปถัมภ์
ตามความเข้าใจของชาวกรุงเก่า การรับตัวหุยตองจาไว้โดยไม่ยอมส่งตัวให้แก่พม่าเมื่อได้รับคำขอนี้ คือสาเหตุของสงครามในครั้งท้ายสุดนี้ ซึ่งก็ไม่ผิดความจริงนักเมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างไทยและพม่าทั้งระบบ
ร.1 ยกทัพตีเมืองทวาย
พ.ศ. 2330 ร.1 ยกทัพจากกรุงเทพฯโดยทางชลมารคไปทางท่าจีน, แม่กลอง ทวนขึ้นไปถึงท่าตะกั่ว ลำน้ำแควน้อย เมืองกาญจนบุรี มีในพระราชพงศาวดารว่า
"ฝ่ายทัพหลวงก็เสด็จขึ้นข้ามเขาสูงหนุนไป แลเขานั้นชันนัก จะทรงช้างพระที่นั่งขึ้นไปมิได้
สมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัวดำรัสให้ผูกราว แล้วต้องทรมานพระกาย เสด็จพระราชดำเนินพระบาทยุดราวขึ้นไปตั้งแต่เชิงเขา แต่เช้าจนเที่ยงจึ่งถึงยอดเขา
แลช้างซึ่งขึ้นเขานั้น เอางวงยุดต้นไม้จึ่งเหนี่ยวกายขึ้นไป ได้ความลำบากนัก ช้างนั้นก็พลาดพลัดตกเขาลงมาตายทั้งคนทั้งช้างก็มีบ้าง
จึ่งมีพระราชโองการดำรัสว่า "ไม่รู้ว่าทางนี้เดินยาก พาลูกหลานมาได้ความลำบากยิ่งนัก
เมื่อลงไปเชิงเขาข้างโน้น ก็เสด็จพระราชดำเนินทรงยุดราวลงไปเหมือนกัน"
ช้างต้นป่วย
ร.1 ทรงช้างต้น นามว่า "พังเทพลีลา" เมื่อคราวยกทัพตีเมืองทวายจนช้างต้นป่วย มีในพระราชพงศาวดาร เล่าว่า
"ขณะนั้นช้างต้นพังเทพลีลา ซึ่งเป็นพระคชาธารนั้นป่วยลงไม่จับหญ้าถึง 3 วัน
สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระวิตกหนัก ด้วยเป็นช้างพระที่นั่งข้าหลวงเดิม ได้เคยทรงเสด็จไปงานพระราชสงครามมาแต่ก่อนทุกครั้ง ทรงพระอาลัยว่าเป็นราชพาหนะเพื่อนทุกข์เพื่อนยาก เกรงจะล้มเสีย จึ่งทรงพระอธิษฐานเสกข้าว 3 ปั้น ให้ช้างนั้นกิน
ด้วยเดชะพระบารมีเป็นมหัศจรรย์ ช้างนั้นก็หายไข้เป็นปกติ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวดีพระทัยยิ่งนัก"
ทวายหลอกไทย
พระราชพงศาวดารบอกว่า แม่ทัพใหญ่เมืองทวายกับทั้งนายทัพนายกองทั้งปวง ก็คิดปรึกษากันว่าจะล่อให้ทัพไทยเข้าอยู่ในเมือง แล้วจะได้ล้อมเมืองไว้ชั้นนอก ด้วยพลเมืองเป็นทวาย ไทยอดเสบียงอาหารเข้าก็แย่งชิงพลเมืองกิน ไพร่พลเมืองได้ความเดือดร้อนนักก็จะเกิดเป็นขบถขึ้นในเมือง ฝ่ายทวายก็จะมีชัยชำนะถ่ายเดียว ปรึกษาเห็นพร้อมกันแล้ว ก็ชวนกันหนีออกจากเมือง
กองหน้าทัพไทยก็ยกไปถึงเชิงกำแพงเมืองทวาย ไม่เห็นผู้คนขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทิน แต่ประตูเมืองนั้นปิดอยู่ ครั้นจะทำลายประตูเมืองเข้าไปในเมืองก็เกรงว่าพม่าจะแต่งกลซุ่มพลทหารไว้ จึ่งให้รอทัพอยู่แต่นอกเมืองก่อน คอยดูท่วงทีพม่าจะทำประการใด
กรณีนี้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีพระอธิบายไว้ในหนังสือไทยรบพม่า ความว่าฝ่ายกองทัพไทยเมื่อไปตั้งล้อมเมืองทวายอยู่นั้น การลำเลียงเสบียงอาหารขัดข้องส่งกันไม่ทันใช้ จึงเกิดเป็นปัญหาว่าจะควรถอยกองทัพกลับหรือรีบหักโหมเอาเมืองทวายเสียให้ได้ โดยเร็ว
พอพักรี้พลครบ 15 วันแล้วก็โปรดให้เลิกทัพกลับมา โดยตีไม่ได้เมืองทวาย
"ทะแว" ชื่อจริงของทวาย
ทวาย เป็นสำเนียงไทยที่ออกเสียงเพี้ยนจากคำท้องถิ่นว่า "ทะแว" ปัจจุบันทางการพม่ากำหนดให้สะกดเป็นฝรั่งตามเสียงที่ถูกต้องของท้องถิ่นว่า DAWEI (แทนคำเดิมที่ฝรั่งสะกดตามหูฟังเพี้ยนไปว่า Tavoy)
ไทยสมัยรัชกาลที่ 1 กรุงรัตนโกสินทร์ รับรู้และออกเสียงถูกต้องว่า ทแว มีพยานในนิราศตามเสด็จทัพลำน้ำน้อย ของพระยาตรัง แต่งเป็นโคลงดั้น (บท 33) ว่า
เสร็จเศิกสมแคล่วได้ แดนเวียง ทแวนา
ชมอนงค์ดนู นับร้อย
นิราศฯเรื่องนี้ พระยาตรังแต่งพรรณนาเมื่อตามเสด็จ ร.1 ยกทัพไปตีเมืองทวาย พ.ศ. 2330
ขอบคุณ
มติชนออนไลน์
คอลัมน์ สุวรรณภูมิสังคมวัฒนธรรม
ผู้สื่อข่าวพิเศษ
สิริสวัสดิ์ศุกรวารค่ะ