ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ: แลหลังกบฏปฏิวัติรัฐประหารในการเมืองสยามไท ธรรมศาสตราภิชาน วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ (กปค. ๗๕) ในประวัติศาสตร์การปฏิวัติยุคใหม่คงไม่มีประเทศไหนที่มีกลุ่มและขบวนการที่ทำการปฏิวัติหรือเปลี่ยนแปลงรัฐบาลด้วยกำลังมากและต่อเนื่องยาวนานเท่ากับการปฏิวัติในสยามประเทศไทย นับจากการพยายามยึดอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯแห่งรัชกาลที่๖ ในเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า กบฏ ร.ศ. ๑๓๐ หรือ กบฏเก๊กเหม็ง (พ.ศ. ๒๔๕๔) มาถึง การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ถึง รัฐประหาร ๒๔๙๐ ถึง กบฏแมตฮัตตัน ถึง รัฐประหารเงียบ ถึง การปฏิวัติ ๒๕๐๐ ถึง การปฏิวัติ ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ ถึง รัฐประหาร ๖ ตุลา ๒๕๑๙ และคณะปฏิรูปการปกครอง ถึง กบฏเมษาฮาวาย ๒๕๒๔ ถึง คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ๒๕๓๔ (รสช.) และ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข (คปค.) ซึ่งเป็นรัฐประหารครั้งล่าสุด ๒๕๔๙ แต่ยังไม่มีใครทราบแน่นอนว่าสุดแล้วหรือยัง ดังนั้นเพื่ออนุวัตรตามสมัยนิยม จึงขออนุญาตใช้คำย่อสำหรับเรียกการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พุทธศักราช ๒๔๗๕ ว่า กปค. ๗๕ หากนับรวมการยึดอำนาจและพยายามยึดอำนาจ ทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จเข้าด้วยกันนับแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๔๙ รวมทั้งสิ้น ๑๗ ครั้ง เฉลี่ยมีการยึดอำนาจกันทุก ๔ ปีกว่า การก่อรัฐประหารยึดอำนาจโดยฝ่ายกองทัพรวมทั้งสิ้น ๙ ครั้ง มีการพระราชทานรัฐธรรมนูญในรัชกาลปัจจุบันรวม ๑๕ ฉบับ มีรัฐธรรมนูญรวม ๑๘ ฉบับ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าประเทศไทยมีการกระทำที่เรียกรวมๆ ว่าการปฏิวัติรัฐประหารและมีรัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลก เมื่อพูดถึงการปฏิวัติของชาติ ในบรรดาประเทศที่เคยตกเป็นอาณานิคมและเมืองขึ้นแบบต่างๆ ของมหาอำนาจตะวันตกล้วนมีประวัติศาสตร์และวันปฏิวัติแห่งชาติ เมื่อได้รับเอกราชและอิสรภาพจากเจ้าอาณานิคม ทุกประเทศไม่เคยมีปัญหากับวันปฏิวัติหรือวันเอกราชแห่งชาติ ไม่มีใครมานั่งวิเคราะห์และถามกันทุกปีๆ ว่าวันเอกราชหรือวันปฏิวัติของเขานั้น ล้มเหลวหรือล้าหลังหรือไม่ ตรงกันข้ามนับแต่ได้มี กปค. ๗๕ (การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕) การปฏิวัติครั้งนั้น ยังไม่อาจได้รับการยอมรับและตีความตรงกันอย่างเป็นเอกฉันท์ ว่าคือการปฏิวัติ หากแต่ยิ่งนานวันเข้ามาบัดนี้ถึง ๘ ทศวรรษแล้ว การปฏิวัติครั้งนั้นก็ยังต้องพ่วงท้ายด้วยคำคุณศัพท์ ที่ขยายการกระทำนั้นว่า ล้มเหลว สำเร็จ หรือกึ่งๆ ฝ่ายที่ว่า ล้มเหลว ก็อธิบายว่าก็เพราะเป็นการกระทำที่ ชิงสุกก่อนห่าม ส่วนฝ่ายสำเร็จก็ว่าเป็นการ อภิวัฒน์ เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองบ้านเมืองอย่าง คว่ำแผ่นดิน ส่วนฝ่ายทางเลือกอื่นๆ ก็ว่าไม่ถึงที่สุด เป็นต้น ที่เป็นเช่นนั้นเพราะผลของการเปลี่ยนแปลงฯ หรือ กปค. ๗๕ นั้นยังดำรงและสืบทอดต่อเนื่องมาอย่างไม่ยุติเด็ดขาด และไม่สมบูรณ์ คนรุ่นหลังที่เรียนรู้และเข้าใจในเรื่องราวดังกล่าวนั้น ก็รับและรู้ไม่ตรงกัน กระทั่งตรงข้ามกัน เหตุการณ์สำคัญๆ มีการเล่าและตีความที่ต่างกันและขัดแย้งกัน หลายเรื่องก็ยังพูดในที่สาธารณะอย่างเปิดเผยไม่ได้ ตัวละครและผู้แสดงทั้งสำคัญมากและสำคัญน้อยจำนวนไม่น้อย ที่ยังดำรงและรักษาความต่อเนื่อง อย่างไม่ให้ขาดตอนของตนเองเอาไว้ จนทำให้ประวัติศาสตร์ กปค. ๗๕ กลายเป็นเหตุการณ์ปัจจุบันร่วมสมัยมากกว่า การเป็นประวัติศาสตร์ที่ควรเป็นเรื่องราวสำหรับนักประวัติศาสตร์ จะเข้ามาศึกษาวิเคราะห์และตีความต่อไป หรือไม่ก็ถูกทำให้เป็นประวัติศาสตร์เฉพาะที่ เป็นของกลุ่มบุคคลมากกว่าเป็นประวัติศาสตร์ของสังคม หรือเป็นประวัติศาสตร์ทั่วไป ประวัติศาสตร์กับการปฏิวัติ ประวัติศาสตร์คือสิ่งที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วนี่ เป็นนิยามที่ธรรมดาและง่ายสุดเพราะถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในอดีต ก็ไม่มีเรื่องจะให้คนรุ่นหลังต่อมาพูดและเขียนถึง แต่สิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้วคืออะไร ตรงนี้คือปัญหา สำหรับนักประวัติศาสตร์และสังคมศาสตร์ ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว เกิดคลื่นสึนามิ และ ฯลฯ เหล่านี้เป็นประวัติศาสตร์ไหม นักประวัติศาสตร์คงตอบได้ไม่ยากว่าไม่ใช่ เพราะมันไม่มีตัวละคร มีแต่สิ่งของธรรมชาติ สำหรับประวัติศาสตร์ สิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้วต้องมีความคิดและการกระทำ พูดอย่างนี้ก็เท่ากับจำกัดว่า สิ่งที่ได้เกิดขึ้นในอดีตก็ต้องเป็นเหตุการณ์ที่มีคนกระทำ และยังต้องมีความคิดด้วยถ้าเพียงแต่กระทำเฉยๆ เช่น เดินไปเดินมาระหว่างบ้านกับแม่น้ำหรือไร่นา โดยไม่ได้พูดและแสดงความคิดให้ประจักษ์แก่คนอื่นๆ จนจำถ่ายทอดกันมาถึงรุ่นลูกหลานเหลนได้ ก็ไม่ได้สร้างประวัติศาสตร์อีกเหมือนกัน แต่เท่านี้ก็ยังไม่ครบถ้วนกระบวนความ ของการเป็นประวัติศาสตร์ตามทางของประวัติศาสตร์สมัยใหม่ หากที่สำคัญไม่น้อยก็คือ เรื่องในอดีตนั้น ต้องเกี่ยวพันกับการกระทำของคนจำนวนมากหรือมีผลกระทบต่อคนจำนวนมาก ทำให้คนรุ่นต่อมา คือนักประวัติศาสตร์สามารถเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในท้ายที่สุดนั่นคือ ต้องมีคนทำการนำเสนอถ่ายทอดหรือจดจำเรื่องราวที่ได้เกิดขึ้นมาแล้ว และพรรณนาทำให้มันเป็นเรื่องราวที่คนอื่นๆ ยังรับรู้ได้ จึงจะทำให้สิ่งที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วนั้น กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปได้อย่างสมบูรณ์ ประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติคือประวัติศาสตร์ แห่งการเปลี่ยนแปลงแบบของรัฐบาลหรือตัวผู้นำรัฐ กล่าวได้ว่านับแต่มีการก่อตั้งสังคมและมีการผลิตทางสังคมเพื่อรักษาค้ำจุน และสร้างเสถียรภาพให้แก่ชีวิตของมนุษย์ในชุมชนที่ใหญ่ขึ้น ได้นำไปสู่การใช้อำนาจเพื่อสร้างและรักษาสิ่งที่เรียกว่าระเบียบสังคม เอาไว้ไม่ให้สั่นคลอนและสูญสลายไปได้ กำเนิดของอำนาจจึงมาพร้อมกับการเกิดชนชั้นผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง หลังจากนั้นก็มีปัญหาและความขัดแย้งในหมู่ผู้นำกันเอง จนนำไปสู่การเปลี่ยนตัวผู้ปกครอง และแบบของรัฐบาลขณะนั้น การอธิบายทำนองนี้ ว่าไปแล้วก็เป็นการคิดและมองแบบสมัยใหม่ ในสมัยโบราณยังไม่มีการจำแนกแยกแยะ ระหว่างการยึดอำนาจ รัฐประหารและการปฏิวัติ ว่ามีความหมายนัยที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงยังไม่มีประวัติศาสตร์ ของการปฏิวัติกบฏอะไรทั้งสิ้น แต่มีการใช้กำลังเข้าแย่งยึดรัฐ และที่มาของอำนาจในแต่ละชุมชน การที่ไม่มีประวัติศาสตร์หมายความว่า สังคมนั้นไม่มีการศึกษาและสร้างบทเรียนของการกบฏปฏิวัติขึ้นมา อย่างเป็นระบบและเป็นทางการนั่นเอง เมื่อไม่มีการจำแนกแยกแยะว่าการปฏิวัติคืออะไร แตกต่างจากรัฐประหารหรือกบฏและจลาจลอย่างไร ศัพท์คำว่า ปฏิวัติ ที่มีความหมายแน่นอนว่าคือการใช้กำลังเข้าเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในระบอบการปกครองและสังคมอย่างฉับพลันและรุนแรง แบบที่เรารู้จักและเข้าใจในปัจจุบันนั้น ก็ไม่มีใช้ในสมัยโบราณ นั่นคือไม่มีศัพท์ว่า ปฏิวัติ ไม่ว่าในภาษากรีก ละติน อังกฤษ จีน บาลี สันสกฤต และไทย ลาวด้วย จริงๆ แล้วคำว่า ปฏิวัติ revoluzione หรือ revolution เป็นศัพท์ที่ถูกคิดประดิษฐ์สร้างขึ้นมาในยุคสมัยใหม่ อย่างมากก็ราวๆ ๕ ศตวรรษมานี้เอง การปฏิวัติในความหมายใหม่ ไม่ได้เพียงแต่เปลี่ยนแปลงผู้นำหรือรัฐบาลด้วยวิธีการอันรุนแรงเท่านั้น หากที่สำคัญยังมีนัยถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและโครงสร้างหลักๆ ของระบอบการปกครองไปถึงระบบเศรษฐกิจสังคมนั้นๆ ด้วย ถ้าพูดให้ชัดๆ ก็คือความหมายนัยของการปฏิวัติสมัยใหม่ ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของปรัชญาลัทธิแสงสว่าง (Enlightenment) นักคิดดังๆ ได้แก่ ล็อค รุสโซ วอลแตร์ และค้านท์ ซึ่งเชื่อในทฤษฎีว่าด้วยความก้าวหน้าของมนุษย์และสังคม ทำให้การมองและวางเป้าหมายให้แก่การกระทำของมนุษย์ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ต้องเคลื่อนที่ไปสู่คุณภาพที่ดีกว่าและสูงขึ้น ทำให้การศึกษาและตีความประวัติศาสตร์ เริ่มได้รับอิทธิพลของความคิดเรื่องความก้าวหน้าสำนักปรัชญา ที่ยกระดับและทำให้การวิเคราะห์ตีความประวัติศาสตร์ ว่าคือการเคลื่อนไหวไปสู่จุดหมายที่ก้าวหน้า อย่างเป็นลำดับขึ้นได้แก่ลัทธิเฮเกล ซึ่งประกาศว่าจุดหมายสูงสุดของประวัติศาสตร์คือเสรีภาพแนวคิดดังกล่าวถูกปฏิวัติ โดยลูกศิษย์หัวรุนแรงกว่ามาเป็นลัทธิมาร์กซิสม์ ด้วยการเสนอคำขวัญอันปลุกเร้าใจนักต่อสู้ที่ปฏิวัติทั้งหลายว่า กงล้อประวัติศาสตร์ย่อมหมุนไปข้างหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือการปฏิวัติที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงปลดปล่อยทางชนชั้นในรัฐและสังคมอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินเลยทีเดียว ความคิดว่าด้วยการกบฏปฏิวัติในสมัยโบราณ น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่า ทั้งนักคิดสมัยโบราณของกรีกและจีน อินเดีย ต่างมีแนวคิดทรรศนะและความเชื่อคล้ายคลึงกันในเรื่องการกบฏปฏิวัติ ในชั้นต้นทั้งขงจื๊อและเพลโตต่างก็ไม่มีความคิดเชิงทฤษฎี อันว่าด้วยการกบฏปฏิวัติแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะประเด็นเรื่องการปฏิวัติ ยังไม่ใช่โจทย์หรือปัญหาหลักของความคิดและปรัชญาการเมืองในสมัยโน้น ปรมาจารย์เหล่านั้นต่างมองเห็นทะลุปรุโปร่งแล้วว่า หัวใจของการเมืองและการปกครองหรืออำนาจรัฐ อยู่ที่คุณธรรมของผู้ปกครอง เมื่อได้ผู้ปกครองที่เป็นราชาปราชญ์แล้ว ยังจะต้องมาถามถึงเรื่องกบฏปฏิวัติอะไรกันอยู่อีกเล่า หากจะสรุปความคิดทางการเมืองการปกครองทั้งหลาย ให้เหลือเพียงประเด็นหลักเรื่องเดียว ก็คือเรื่องอำนาจการปกครอง ว่าควรจะอยู่กับใคร คำตอบก็คือคนพิเศษส่วนน้อย ไม่ใช่ไปอยู่กับคนธรรมดาส่วนมาก ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อันมีผลต่อความคิดทางการเมืองต่างก็เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่ ในวังวนของโจทย์ข้อนี้ด้วยกันมาทั้งนั้น จากยุคกรีกโบราณและจีนอินเดียโบราณมาถึงสยามไทยปัจจุบัน ข้อที่ต่างกันในพัฒนาการทางความคิดการเมือง ระหว่างกรีกโรมันกับโลกตะวันออก ได้แก่การที่ตะวันตกได้มีการศึกษาและตั้งโจทย์ของอำนาจการปกครองหรือรัฐใหม่ ไม่ได้เดินตามความคิดและคำสอนของปรมาจารย์แต่ถ่ายเดียว หากแต่พัฒนาวิเคราะห์และวิจารณ์เสียใหม่ ให้เปลี่ยนไปตามสภาพการณ์ที่เปลี่ยนไป กล่าวคือแม้เพลโตจะไม่ให้ความสำคัญแก่การปฏิวัติ แต่เขาก็มองเห็นวัฏจักรของการเปลี่ยนแปลงในแบบของรัฐบาลและการปกครอง ซึ่งตามความเชื่อของเขา ก็มาจากคุณธรรมของผู้ปกครองเองนั่นแหละ ที่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา จากอุตมรัฐหรือรัฐกษัตริย์ในอุดมคติมาสู่อภิชนาธิปไตย มาสู่คณาธิปไตย แล้วมาสู่ประชาธิปไตยก่อนจะไปถึงทรราชย์ ความจริงเพลโตไม่ได้ตั้งใจเสนอให้เป็นวัฏจักรจริงๆ เพราะจากทรราชย์ ก็ไม่ได้บอกว่าแล้วรูปแบบต่อไปจะกลับไปสู่อะไรอีก ต้องรอถึงสมัยของโพลีเบียส ที่มาเติมเต็มความคิดของเพลโต ด้วยการบอกว่า จากประชาธิปไตยก็ไปสู่การปกครองของม็อบ จากระบอบม็อบก็ไปสู่ภาวะธรรมชาติ ซึ่งมีคนรุ่นใหม่ช่วยตีความต่อให้อีกว่า จากภาวะธรรมชาติก็แน่นอนย่อมนำไปสู่การเกิดระบอบกษัตริย์ใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มวัฏจักรใหม่อีกรอบหนึ่ง โพลีเบียสจะขยายความศัพท์ของเพลโตให้ละเอียดมากขึ้น ด้วยการบอกว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและรัฐบาลนั้น กระทำด้วยการใช้กำลังบังคับ นั่นคือมีการใช้ความรุนแรงในการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ภาษาโรมันใช้คำว่า res novae ซึ่งแปลว่าการเปลี่ยนระบอบ (change of regime) การเปลี่ยนของโรมันนี้อาจมาจากการเปลี่ยนแปลง โดยการทำรัฐประหารหรือการปฏิวัติก็ได้ การทำรัฐประหารก็เข้าใจว่าสมัยโน้นคือการยึดอำนาจภายในวัง จะด้วยกลวิธีใดๆ ก็สุดแล้วแต่สถานการณ์ ส่วนการทำการปฏิวัตินั้น คิดว่าเป็นการใช้กองกำลังจากภายนอกพระราชวังเข้ามาทำการล้มอำนาจรัฐลง แบบหลังจึงอาจนองเลือดและรุนแรงมากกว่าแบบแรก กล่าวโดยสรุปได้ว่าแม้จะไม่มีคำว่าปฏิวัติแบบสมัยใหม่ แต่กรีกโรมันโบราณก็มีศัพท์อย่างน้อย ๒ คำที่มีความหมายถึงการเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองและรัฐบาล นั่นคือคำว่า neoterismos ของกรีก และ res novae ของโรมัน จุดที่น่าสนใจยิ่งต่อไปคือการต่อยอด และพัฒนาความหมายของคำดังกล่าวนี้ให้ลึกซึ้ง และมีบริบททางการเมืองและทางสังคมต่อไป คนที่ทำให้ภูมิปัญญาและความคิดทางการเมือง ของยุคกรีกโรมันโบราณค่อยๆ ยกระดับขึ้นเป็นทฤษฎีทางการเมือง ได้แก่คนที่เรารู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีแล้วในหลายๆ เรื่อง เขาคืออริสโตเติล เขาวิพากษ์การมองการเปลี่ยนแปลง ในแบบการปกครองอย่างเป็นวัฏจักรของเพลโต แล้วเสนอความคิดใหม่ ที่วางอยู่บนการวิจัยข้อมูลชั้นต้นว่า การใช้กำลังเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองและแบบการปกครองโดยเนื้อหาแล้ว ก็คือการเปลี่ยนทางธรรมนูญของการปกครอง การปฏิวัติก็คือการทำลายธรรมนูญ ซึ่งมีหลายแบบแตกต่างกันไป เช่น ธรรมนูญของระบบกษัตริย์ ธรรมนูญของระบบทรราชย์ ธรรมนูญของระบบอภิชนาธิปไตย ธรรมนูญของระบบคณาธิปไตยและธรรมนูญของระบบประชาธิปไตย ที่สำคัญคืออริสโตเติลวิเคราะห์ลงไปถึงมูลเหตุ ของการเกิดกบฏปฏิวัติรัฐประหารด้วย ว่าทำไมถึงต้องเกิด เกิดแล้วได้อะไรและเสียอะไร อันที่จริงนักรัฐศาสตร์ไทย น่าจะประยุกต์ความคิดและภาษาการเมืองแบบกรีกโบราณ มาใช้อธิบายการปฏิวัติในการเมืองไทยบ้างว่าในที่สุดแล้ว ก็คือการดำเนินตามวัฏจักรของรัฐธรรมนูญแบบต่างๆเท่านั้น ไม่ใช่การยึดอำนาจหรือโค่นล้มอำนาจรัฐอะไรลงไป เพราะจริงๆ แล้วทุกการปฏิวัติ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรที่เป็นประโยชน์ของประชาชนอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน อย่างสถาพรมั่นคงและมีความหมายนัยต่ออนาคตของระบบการปกครองรัฐไทยมาเลย มันเป็นเพียงแค่วงจร (ที่ไม่อุบาทว์แล้วเพราะหยุดไม่ได้) ที่ดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติเท่านั้น เป็น ความจริงของระบบการเมืองไทย ในโลกแห่งความเป็นจริง อริสโตเติลเองก็ได้ประสบกับตนเอง ว่ารัฐและรัฐบาลทั้งหลายล้วนมีปัญหา ที่ไม่อาจไปบรรลุความดีได้ มิหนำซ้ำหลายรัฐยังต้องประสบกับปัญหา ของความไม่สงบทางการเมืองและการปกครอง จนเสื่อมทรามลงไปเป็นรัฐที่ห่างไกลจากการใช้ปัญญาและเหตุผลในการปกครองมากขึ้นเรื่อย ทำไมและจะหาทางออกให้แก่รัฐและการเมืองอย่างไร เราลองมาศึกษาค้นคว้าดูว่ารัฐและชนชั้นนำสยามไทย ตัดสินใจอย่างไร และทำอย่างไร ในการแก้ปัญหาและความขัดแย้งทางการเมืองและการปกครองในช่วงเวลา ๘ ทศวรรษที่ผ่านมา โปรดอ่านตอนจบ บล็อกถัดขึ้นไปค่ะ ขอบคุณ มติชนออนไลน์ คุณธเนศ อาภรณ์สุวรรณ สิริสวัสดิ์ภุมวารค่ะ |
บทความทั้งหมด
|