รีวิวหนังสือ "ร้านขายเวลา - คิมซ็อนย็อง"

 

หนังสือเล่าเรื่องราวของ “อนโจ” เด็กนักเรียนมัธยมปลายที่ตัดสินใจเปิดกิจการ “ร้านขายเวลา” ของตัวเองในอินเตอร์เน็ตคาเฟ่หลังจากที่เธอไปทำงานพาร์ทไทม์มาหลายที่แต่ไม่ประสบความสำเร็จสักที โดยมีเงื่อนไขสี่ข้อสำคัญคือ
หนึ่ง ปฏิเสธสิ่งที่เกินความสามารถของตนเอง
สอง ไม่ทำเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
สาม เลือกเรื่องที่ช่วยปลอบประโลมลูกค้าได้แม้แต่น้อยก็ยังดี
และสี่ เหนือสิ่งใดคือเลือกงานที่ทำให้เวลากลายเป็นเงินได้จริง
ซึ่งประกาศไว้อย่างชัดเจนที่หน้าร้าน งานที่อนโจรับทำเช่น นำของที่ถูกขโมยไปคืนให้กับเจ้าของซึ่งเป็นนักเรียนโรงเรียนเดียวกันกับเธอแถมยังเรียนชั้นเดียวกันอีกด้วย เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมอย่างปีก่อนที่เคยเกิดเหตุเช่นนี้แล้วเหตุการณ์บานปลายหลังจากที่จับตัวคนขโมยได้และถูกผู้คนพูดถึงอย่างหนักจนตัดสินใจกระโดดจากตึกเรียนลงมาตายอย่างน่าอนาถ หรือการไปนั่งกินข้าวอย่างตั้งใจกับคุณปู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งแทนหลานชายที่ยังไม่พร้อมที่จะไปเผชิญหน้าด้วยเหตุผลบางอย่าง และการส่งจดหมายที่มีดอกไม้แห้งแสนบอบบางไปที่โรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากบ้านและต้องควักเงินจ่ายค่าเดินทางอีกมากจนแทบไม่เหลือค่าจ้าง แต่ก็ทำให้อนโจสุขใจเมื่อได้รู้เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเมื่อได้ไปเจอเด็กๆที่โรงเรียน

ส่วนงานที่เธอปฏิเสธก็เช่นการไปจองตั๋วบัตรคอนเสิร์ต ซึ่งไม่ตรงกับเงื่อนไขของร้าน และทุกงานที่อนโจรับเธอจะปิดข้อมูลทุกอย่างของลูกค้าเป็นความลับ และบางครั้งสถานะที่เธอแจ้งไว้ที่หน้าร้านอย่างชัดเจนว่าเป็นนักเรียน และขายเวลาก็ทำให้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาสอบถามอย่างไม่มีมารยาท แต่ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทำให้เธอได้ทำให้คนๆนั้นมาเป็นเพื่อนเพราะแม้จะเรียนอยู่ห้องเดียวกันแต่ก็เหมือนอยู่กันคนละโลก
และการเปิดร้านขายเวลาของอนโจก็ทำให้เธอได้พบกับผู้คนหลากหลายแบบ เช่น คนที่เคยพบมาก่อนแต่เธอกลับจำเขาไม่ได้ ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามกลับจำเธอได้ไม่เคยลืม ,คนที่เธอคิดว่าน่าสนใจแม้ว่าจะไม่เคยเจอกันก็ตาม และคนที่ทำให้เธอยิ้มทั้งน้ำตากับการรักษาสัญญาของเขา


เป็นหนังสือที่เราซื้อมาเพราะหน้าปกสวยมาก แถมชื่อเรื่องก็น่าสนใจ ดูจากภาพปกดูออกแนวแฟนตาซี แต่พอได้อ่าน เอ๊ะ! เด็กม.ปลาย เปิดร้านขายเวลา อ่านดูงานต่างๆที่อนโจรับ อ๋อ...มันไม่แฟนตาซีอะไรทั้งนั้นแหละ

"หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่เรื่องราวแฟนตาซีที่ขายเวลาให้เราไปทำเรื่องต่างๆที่เราอยากทำ แต่เป็นงานวรรณกรรมที่ทำให้เราเห็นคุณค่าของเวลา ณ ปัจจุบัน เป็นการใช้เวลาที่มีสร้างคุณค่าให้กับตัวเองและผู้อื่น อีกทั้งยังทำให้เราได้ทบทวนความทรงจำกับช่วงเวลาที่เราใช้ไปในอดีต และนึกถึงกาลเวลาที่จะไหลผ่านไปยังอนาคต และเป็นหนังสือที่จะทำให้เราเห็นคุณค่าของเวลาอย่างแท้จริง" - คำนำสำนักพิมพ์ ซึ่งเราผู้ที่ซื้อออนไลน์ย่อมไม่ได้เปิดอ่าน หรือต่อให้เปิดอ่านก็อยากได้เพราะปกสวยอยู่ดี แล้วอีกอย่างเราก็ดองไว้นานจนลืมว่ามันไม่แฟนตาซีทั้งที่ก่อนหน้าก็รู้อยู่นะแต่รู้หลังจากที่ซื้อมาแล้วนี่ล่ะ มีคนมารีวิวสั้นๆว่ามันไม่ใช่หนังสืออย่างที่คิดไว้

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือประกวดรางวัลวรรณกรรมเยาวชน และเรื่องราวมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก อนโจแค่เอาเวลาของตัวเองไปรับงานเท่านั้นเองเท่ากับทำงานแลกเงิน โดยนางเลือกรับงานตามเหตุผลสี่ข้ออย่างที่แจ้งไว้หน้าเพจร้าน ซึ่งหลังจากอ่านจบเราก็ไม่ได้อินอะไรเท่าไหร่ มันมีเรื่องราวของเพื่อน และครอบครัวที่น่าสนใจบ้าง แต่ก็ไม่ได้ประทับใจอะไรเป็นพิเศษที่ชอบกว่าเพื่อนก็ตอนเหตุผลที่คุณครูคนหนึ่งให้ส่งจดหมายไปที่โรงเรียนหนึ่งเสมอ ที่เหลือเราก็ไม่ได้อินกับเนื้อเรื่องอะไรเท่าไหร่นัก และถามว่าเราได้อะไรอย่างที่เขาว่าในคำนำไหม อ่านแล้วเราก็ไม่ได้อะไรพวกนั้นนะ แถมตอนท้ายเล่มที่มีบทวิจารณ์ รางวัลผลงานวรรณกรรมเยาวชน ความรู้สึกที่รับรางวัล บทสัมภาษณ์ผู้ได้รับรางวัลเราก็ไม่ได้อ่านด้วย เลยข้ามไปเปิดอ่านแค่ผ่านๆนิดหน่อย51  แต่ก็มีส่วนที่ชอบดังนี้ค่ะ

ประโยคที่ชอบในหนังสือ

- โลกนี้ไม่มีมีอะไรฟรีและไม่มีสิ่งใดที่ดีสมบูรณ์แบบหรอกนะลูก พอมีข้อดีตรงนี้ก็มักมีข้อเสียตรงนั้น พอถูกใจตรงนั้นก็มักจะไม่ถูกใจตรงนี้ ทุกอย่างมีราคาที่เราต้องจ่ายเสมอ ดังนั้นเมื่อพบกับความสบาย ก็อาจเจอกับเรื่องน่าอึดอัดใจบางอย่าง และเมื่อพบกับเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญก็มักพบกับสิ่งที่ช่วยปลอบโยนจิตใจควบคู่กันไปแบบนี้เสมอ (แม่พูดกับอนโจตอนที่นางทำงานพาร์ทไทม์ที่แรกงานสบายแต่เจ้านายแย่ ที่สองงานหนักจนเลือดกำเดาไหลแต่เพื่อนร่วมงานดีมาก)

- มนุษย์ไม่ได้ใช้ชีวิตคนเดียว แต่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นและเมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน การมอบความรัก และความช่วยเหลือซึ่งกันและกันจึงเป็นหนทางในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้มากกว่าการจงเกลียดจงชังกัน เด็กๆเคยเกลียดเพื่อนหรือคนในครอบครัวไหม ตอนนั้นจิตใจของเราเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกทรมานมากเลยใช่ไหม นั่นเพราะการเกลียดใครสักคนก็เหมือนกับการทำร้ายตัวเอง การทำสิ่งที่ไม่ดีก็เหมือนกัน เพราะการทำให้จิตใจของตัวเองรู้สึกไม่สบายก็เหมือนกับการฉีกทึ้งเนื้อหนังของตัวเอง ดังนั้นไหนๆเราก็ต้องอยู่ร่วมกันแล้ว ควรใช้ชีวิตด้วยการทำดีด้วยจิตใจที่ดีเสียเลยก็น่าจะดีกว่า (ครูพูดให้สติเด็กๆตอนที่ได้ของคืนแต่ทุกคนยังพูดถึงเรื่องนี้ไม่ขาดจนคนที่ขโมยอยากฆ่าตัวตายซึ่งจะทำให้เกิดเหตุสลดซ้ำสองเหมือนปีก่อน)

- ยุคนี้คือยุคสมัยของการยั่วยุให้เกิดความรู้สึกแปลกแยก เพื่อกระตุ้นให้เกิดการบริโภคสิ่งใหม่อยู่เรื่อยๆก็ช่วยกันยุยงว่าหากไม่มีวัตถุเหล่านั้นตามๆกันจะกลายเป็นคนตกยุค ผู้คนก็ยิ่งทำงานกันหนักขึ้น บริโภคกันด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อขานรับกับวัตถุเหล่านั้นทั้งที่จริงต่อให้ไม่มีวัตถุเหล่านั้นชีวิตก็ดำเนินไปได้ ไม่ได้มีอุปสรรคใดๆ แต่ตอนนี้เหมือนทุกคนกำลังกินยาตัวเดียวกัน และมัวเมาไปด้วยกันทั้งหมด พวกเรากำลังหมกมุ่นอยู่กับวัตถุเหล่านั้นมากเกินไป (คุณปู่พูดกับอนโจตอนที่บอกว่าคุณปู่เลิกใช้มือถือนานแล้ว)

 



Create Date : 31 มกราคม 2566
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2566 14:36:55 น.
Counter : 841 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Day-afterday.BlogGang.com

สมาชิกหมายเลข 3651244
Location :
สมุทรปราการ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด