สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราก็พาน้องๆหนังสือเล่มใหม่มาอวดโฉมกันนะคะ และเป็นหนังสือที่ได้มาจากการสมัคร "ชิมช้อปใช้" ค่ะ ซึ่งเราตื่นเต้นและดีใจมากที่ร้านบีทูเอสเข้าร่วมโครงการนี้ด้วย และที่มากไปกว่านั้นคือ สมาชิกซื้อครบ 500 รับส่วนลด 99 บาทอีกต่างหาก เราก็เลยเลือกด้วยความเปรมปรีดิ์สุดๆ แต่สักพักก็เริ่มหงุดหงิด ด้วยว่าข้อแรกเราซื้อหนังสือที่เราต้องการไปเกือบหมดแล้ว ข้อที่สองคือ หนังสือออกใหม่ที่เราต้องการเนี่ยที่สาขาซีคอนก็ยังไม่มี จากที่คิดว่าแป๊บเดียวได้ครบ กลายเป็นเดินหานานมาก และต้องแบ่งการซื้อเป็นสองรอบ ไปหาข้าวกินก่อนเพื่อความผ่อนคลายแล้วค่อยกลับมาซื้อใหม่อีกรอบ ซึ่งก็เกินงบไปนิดหน่อยแต่ไม่มากค่ะ

เล่มแรก เมื่อใบไม้ทักทายดาว Where the Forest Meets the Stars - เกลนดี้ แวนเดอราห์
หลังจากสูญเสียแม่และต่อสู้กับโรคร้าย โจแอนนา ทีล ตัดสินใจกลับไปทำวิจัยเกี่ยวกับนกในป่าของรัฐอิลินอยส์ เพื่อพิสูจน์ให้คนเห็นว่าอุปสรรคที่ผ่านมาไม่สามารถทำอะไรเธอได้
ณ บ้านพักกลางป่าที่เธอเช่าอยู่ชั่วคราวระหว่างทำวิจัย โจได้พบกับเด็กหญิงเนื้อตัวฟกช้ำซึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับ เด็กหญิงแนะนำตัวว่าชื่อ เออร์ซ่า เมเจอร์ และบอกว่าเธอเดินทางจากดวงดาวมายังโลกใบนี้เพื่อตามหาปาฏิหาริย์ทั้งห้า
การปรากฏตัวของเออร์ซ่านำพาโจไปรู้จักกับแกเบรียล แนช ชายหนุ่มบ้านข้างๆ ทั้งสองช่วยกันดูแลเออร์ซ่า รวมทั้งหาคำตอบเรื่องที่มาที่ไปของเด็กหญิงผู้เฉลียวฉลาดคนนี้ คำถามมากมายก่อตัวขึ้น เด็กหญิงเข้าใจบทละครของเชกสเปียร์ได้อย่างไร ทำไมเรื่องดีๆ มักเกิดขึ้นรอบตัวเธอ
ขณะที่สายสัมพันธ์ของทั้งสามผูกพันกันแน่นขึ้นเรื่อยๆ การทำวิจัยของโจก็ใกล้จะจบลง เออร์ซ่าเองก็ใกล้จะพบปาฏิหาริย์ครบทั้งห้าอย่าง และอดีตของเด็กหญิงก็ใกล้ตามหาเธอจนพบ สุดท้ายแล้วเรื่องดีๆ ที่มักเกิดขึ้นรอบตัวเด็กหญิงจะช่วยปกป้องพวกเขาทั้งสามจากความลับในอดีตอันมืดมนได้หรือไม่ หรือพลังที่ทำให้เกิดเรื่องดีๆ นั่นอ่อนแรงลงไปแล้ว
เห็นปกหนังสือสวยๆก็ทำให้เราเดินเข้าหา พออ่านปกหลังก็น่าสนใจมาก และตัดสินใจหยิบเข้าสู่อ้อมแขนเมื่ออ่านเจอตอนท้ายว่า "ผลงานที่จะพาคุณไปสัมผัสความลึกลับ อบอุ่นและงดงามในโลกใบนี้" นอกจากนั้นแล้วยังเป็นหนังสือของสำนักพิมพ์บีทูเอสอีกด้วย เดี๋ยวนี้เขามีสำนักพิมพ์เองแล้ว ต้องลองอ่านสักหน่อย เข้าร้านบีทูเอส อุดหนุนสำนักพิมพ์บีทูเอส
เล่มที่สอง INTO THE MAGIC SHOP เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ - ดร.เจมส์ อาร์. โดตี
หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องราวการผจญภัยอันน่าทึ่งของประสาทศัลยแพทย์คนหนึ่งเพื่อไขปริศนาในความโยงใยระหว่างสมองและหัวใจ ตั้งแต่ตอนที่เขายังเด็ก เมื่อการแสดงออกซึ่งความเมตตาเล็กน้อยของคนคนหนึ่งได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตเขาให้กลายมาเป็นผู้ก่อตั้งศูนย์เพื่อการศึกษาเรื่องความเมตตาที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ชีวิตของจิม โดตี แสดงให้เห็นว่าเราแต่ละคนจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร เราเปลี่ยนโลกให้เป็นที่ที่มีเมตตายิ่งขึ้นได้ อาตมามั่นใจว่าผู้อ่านมากมายจะซาบซึ้งไปกับเรื่องราวอันเป็นแรงบันดาลใจนี้ที่จะเปิดหัวใจของพวกเขาและทำให้เห็นว่าพวกเขาก็ทำเพื่อผู้อื่นได้เช่นกัน" -องค์ทะไลลามะ-
"เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ" นำเสนอการเดินทางที่บอกเล่าอย่างวิจิตรบรรจงน่าติดตาม สู่ความลึกลับของจิตและสมองของมนุษย์ ประสาทศัลยแพทย์ เจมส์ โดตี ได้เขียนตำนานอุ่นหัวใจแห่งความกล้าหาญและความเมตตา" -ดร.แดเนียล โกลแมน ผู้เขียน EMOTIONAL INTELLIGENCE-
"เป็นหนังสือที่จับใจและสร้างแรงบันดาลใจที่สุดเล่มหนึ่งเท่าที่ผมได้อ่านมา เราอยู่กับจิมในแต่ละย่างก้าวที่เขาต่อสู้กับความยากจนและความเจ็บปวด จนกลายมาเป็นศัลยแพทย์ผ่าตัดสมองระดับโลก ได้มาและสูญเสียซึ่งความมั่นคั่ง และได้เรียนรู้บทเรียนอันลึกซึ้งเกี่ยวกับกลวิเศษในหัวใจของเราทุกคน ดึงดูด ลึกซึ้ง ไม่ธรรมดา" -ดร.ริค แฮนสัน ผู้เขียน Buddha's Brain (สมองแห่งพุทธะ)-
"กึ่งบันทึกความทรงจำ กึ่งการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ เป็นผลงานแห่งอารมณ์และการค้นพบที่ทรงพลัง ทำให้เห็นว่าพวกเราทุกคนต่างมีร้านมายากลเล็กๆ อยู่ในตัวเรา มันคือสถานที่แห่งความสงบและงดงามที่เรากลับไปได้เมื่อใดที่ต้องการ เจมส์ โดตี แสดงให้เราเห็นอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ว่าเราแค่ต้องเปิดประตู แล้วก้าวเข้าไป" -แอเรียนนา ฮัฟฟิงตัน ผู้เขียน THRIVE-
บอกตามตรงว่าเราซื้อเล่มนี้เพราะหน้าปกสวยอีกแล้ว และชื่อเรื่องก็น่าสนใจมาก เพิ่มระดับความน่าสนใจด้วยการเป็นหนังสือที่วง BTS ใช้เป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง Magic Shop ซึ่งเรารู้สึกว่านักร้องวงนี้เขาอ่านหนังสือที่น่าสนใจกันทั้งนั้นเลย และหลายเล่มเราก็มีซะด้วยแต่เราไม่ได้รู้จักวงนี้มากไปกว่านี้หรอกนะคะ แต่ก็พอรู้เขาดังและแฟนคลับคงมาตามซื้อไปอ่านกันอย่างล้นหลามจนเล่มที่เราซื้อเนี่ย พนักงานบอกว่าเหลือเล่มสุดท้ายแล้วแถมเพิ่งออกไม่นานพิมพ์ไปครั้งที่ 5 แล้วค่ะ
เล่มที่สาม ชีวิตดีเมื่อมีของน้อย : ปรัชญาความสุข ฉบับ มินิมอล - James Wallman
ในวันที่ผู้คนต่างแข่งกันหาเงินเพื่อซื้อของใช้ฟู่ฟ่า กินอาหารแพงหูฉี่ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่เลือกใช้ชีวิตเรียบง่าย เพื่อหาความสุขจากประสบการณ์มากกว่าสิ่งของ
เจมส์ วอลล์แมน นักคิดชื่อดังชาวอังกฤษ จะพาคุณไปสัมผัสประสบการณ์ของเหล่าคนโคตรสุขที่ต่างก็การันตีแล้วว่าชีวิตแบบ Minimal นั้นดีจริง ซึ่งทำได้โดยการทิ้งข้าวของที่ไม่จำเป็นไปเสีย แล้วใช้เงินและเวลาที่เหลือไปกับอะไรก็ตามที่อยากทำ ชีวิตใหม่ของคุณจะเต็มไปด้วย - ของที่น้อยชิ้น เพิ่มเงินในกระเป๋า
- พื้นที่กว้างขวาง สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ กับกลุ่มเพื่อนฝูง
- ชั่วโมงทำงานที่น้อยลง ไม่ต้องหามรุ่งหามค่ำเพื่อ "ซื้อ" อีกต่อไป
- เวลาเหลือเฟือในการดูแลเอาใจใส่ตัวเองและคนที่คุณรัก
- สุขภาพแข็งแรง จิตใจปลอดโปร่ง
แล้วคุณจะรู้ว่า "ชีวิตดีๆ ไม่เห็นต้องมีของเยอะ
เห็นชื่อหนังสือเล่มนี้แล้วเราก็หยิบมาด้วยความสนใจ เพราะเราก็อยากมีของน้อยเหมือนกัน เดี๋ยวนี้ก็พยายามไม่สะสมของไปหมด แต่ก็ยังไม่น้อยอยู่ดี เอามาอ่านหน่อยท่าจะจัดการได้ดีกว่าเดิม แต่อะไรจะน้อยก็พอทำได้ ให้มีหนังสือน้อยคงไม่ได้
เล่มที่สี่ ครอบครัวที่ลัก SHOPLIFTERS - Hirokazu Koreeda
โอซามุ ชายวัยกลางคนที่ไม่เพียงแต่เป็นคนงานรับจ้างรายวัน เขายังมีงานเสริมที่ไม่ค่อยจะดีนักอย่างการลักเล็กขโมยน้อย โดยมีโชตะ เด็กชายในครอบครัวเป็นผู้ช่วย วันหนึ่งขณะทั้งคู่กลับจากการขโมยของ โอซามุและโชตะได้เจอกับยูริเด็กหญิงตัวน้อยที่ถูกปล่อยให้อยู่ตามลำพังคนเดียว จึงได้ตัดสินใจพาเธอกลับมาที่บ้าน แม้ว่าโนบุโยะ ภรรยาของเขาจะคัดค้านให้เขานำเด็กกลับไปส่งยังที่เดิม แต่แล้วพวกเขาก็พบว่าการให้เด็กหญิงอยู่ด้วยนั้นคือทางออกที่ดีที่สุด ทั้งสมาชิกคนอื่นในครอบครัวอย่าง สาววัยรุ่นอากิและคุณยายฮัตสุเอะก็ให้การต้อนรับและดูแลเป็นอย่างดีแม้ครอบครัวของพวกเขาและยูริสมาชิกใหม่จะอยู่ในบ้านเก่าผุพัง ใช้ชีวิตด้วยเงินที่หามาได้เพียงน้อยนิดกอปรกับการลักขโมยที่ดูจะผิดศีลธรรมจรรยา พวกเขาก็ยังคงเป็นครอบครัวที่อยู่กันอย่างมีความสุข ทว่าในช่วงเวลาที่ทุกอย่างกำลังไปด้วยดี ความลับบางอย่างก็เริ่มเผยออกมาทำให้ทั้งครอบครัวต้องสั่นคลอน
ตกหลุมรักทันทีที่เห็นหน้าปกอันดูละมุนละไม จนต้องหยิบหนังสือนี้เล่มขึ้นมาดูว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร พออ่านปกหลังเสร็จก็ไม่ลังเลเลยว่าจะต้องซื้อเล่มนี้ เป็นเล่มแรกที่เราหยิบใส่อ้อมแขนเลย อะไรที่เขียนออกแนวอบอุ่นใจเราชอบทั้งนั้น
เล่มที่ห้า รอยอาลัย - โรสลาเรน
"ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารัก มักจะสูญสลายไปเสมอ พ่อเคยร้องไห้ให้กับคุณปู่คุณย่าของตั้มมาแล้ว ตอนนี้ถึงคราวของตั้มบ้าง แต่จำไว้นะลูก ถ้าเราร้องไห้ให้แก่ของรักของเราทุกชิ้น เราจะไม่มีน้ำตาพอหรอกลูก"
วันคืนใน'บ้านของเรา'ดูจะผ่านไปรวดเร็วเสียเหลือเกิน ถ้าผมรู้สักนิดว่าเวลาแห่งความผาสุกนั้นจะสั้นจนน่าใจหาย ผมจะตักตวงความสุขไว้ให้มากกว่านี้ เพื่อให้คุ้มกับการที่เราจะต้องผจญกับสิ่งต่างๆต่อไปในภายหน้า ยามใดที่ผมได้รับความทุกข์ ผมจะได้ความสุขในครั้งอดีต เป็นเครื่องปลอบใจตนเอง
บ้านของคุณล่ะครับ ยังสมบูรณ์แบบอยู่ไหม? ถ้ายังมีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมก็ขอให้คุณภูมิใจเสียเถอะว่า 'บ้านของเรา' ยังเป็นหลักพักพิงใจที่ดีที่สุด
ขอให้คุณตักตวงความอบอุ่นจากชีวิตไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อว่าวันหนึ่ง คุุณจะได้หวนรำลึกมาถึงชีวิตวันนี้ ได้อย่างมีความสุข
ดูเป็นหนังสือเล่มเล็กๆที่เรื่องเล่าหลังปกน่าสนใจเราก็เลยหยิบมา และหวังว่าเนื้อเรื่องจะไม่รันทดจนเกินไปนัก และเป็นการซื้อหนังสือนามปากกานี้ของทมยมตีมาอ่านครั้งแรก ซึ่งเรารู้ว่าเป็นทมยันตีก็เพราะเขาบอกที่หน้าปกนั่นเอง และถึงเล่มนี้ดูไม่อบอุ่นใจแต่ก็ออกแนวชีวิตจริงให้เราได้คิดตาม

เพื่อนยาก - จอห์น สไตน์เบ็ค
"เพื่อนยาก" ผลงานเกริกเกียรติของ "จอห์น สไตน์เบ็ค" ที่โลกยกย่องด้วยสิ่งที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงเล่าเรื่องเรียบง่ายกลับแฝงอภิปรัชญายิ่งใหญ่ในการมองชีวิตอย่างที่มันเป็น และยังนำเสนอโลกจำลองของวิถีคนยาก ที่มิอาจบรรลุฝันแบบอเมริกันดรีมได้อย่างทรงพลังทั้งลีลาการประพันธ์ที่คมคาย ขับเคลื่อนเรื่องราวตรึงผู้อ่านให้ติดตามจนวางไม่ลง และอิ่มเอมกับรสแห่งนวนิยายอย่างถึงที่สุด
ส่วนเล่มนี้ก็ได้มาจากตอนมีบูธบีทูเอสที่เมกาบางนา เดินดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยเห็นมีบูธหนังสือมาขายด้วยแค่จะไปเยี่ยมชมนิดนึงก็ดันได้ติดมือมาเฉยเลย แม้ว่าเล่มแรกที่เราซื้อจากบูธนี้ไปเมื่อหลายเดือนก่อนจากคนเขียนคนนี้จะยังไม่ได้เริ่มอ่านเลยก็ตาม
ไว้เราอ่านเล่มไหนจบแล้วจะมารีวิวให้ได้อ่านกันนะคะ ส่วนความคืบหน้าของ Reading Challenge 2019 คือตอนนี้กำลังอ่านเล่มสุดท้ายอยู่ค่ะ แล้วจะมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังนะคะ