เปิดกล่องหนังสือที่สั่งมาจากเว็บนายอินทร์ ตอน 2



มาต่อกันที่ตอน 2 ค่ะ มาดูกันว่าเราสั่งซื้อเล่มไหนมาบ้าง



หมวดจิตวิทยา เราสั่งมาทั้งหมด 8 เล่มเช่นกัน

มาดูกันต่อว่าทำไมเราถึงตัดสินใจซื้อ

เล่มแรก THE POWER OF MEANING - Emily Esfahani Smith

"หนังสือที่ติดตรึงใจ ว่าด้วยการแสวงหาสิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญกว่าความสุข ผู้เขียนเผยให้เห็นว่าทำไมความหมายจึงขาดหายไปจากชีวิตเรา และเราจะค้นพบมันได้อย่างไร; เขียนได้อย่างงดงาม อิงกับหลักฐานเชิงประจักษ์ อีกทั้งยังให้แรงบันดาลใจ นี่คือหนังสือที่ผมเฝ้ารอมานาน" - ADAM GRANT

(นี่คือหนึ่งในหกคนที่กล่าวชื่นชมที่ปกหลัง)

เราสนใจหนังสือเล่มนี้เพราะก่อนหน้าได้อ่านหนังสือ the five secrets you must discover before you die (https://www.engr.tu.ac.th/upload/curriculum/5-secrets-before-die.pdf มีอ่านฟรีด้วยนะ แต่เราไปซื้อหนังสือเพราะไม่ชอบอ่านในคอมSmiley) เราชอบหนังสือเล่มนั้นมาก และทุกวันนี้ก็ยังพยายามใช้ชีวิตให้ได้ตามคำสอนเหล่านั้น เราเลยคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นอีกเล่มที่ทำให้เราได้เปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น และเราก็อยากรู้มากเหมือนกันว่า อะไรทำให้ชีวิตคนเรามีความหมาย


เล่มที่สอง Life Lesson - อลิซาเบธ คืบเลอร์-รอสส์/เดวิด เคสเลอร์

ในหนังสือเล่มนี้ เราจะเพ่งพินิจเรื่องชีวิตและการใช้ชีวิต เพื่อจะค้นพบว่า ชีวิตคืออะไร เมื่อมองจากอีกสุดปลายหนึ่ง เราจะเรียนรู้ว่าเรามิได้โดดเดี่ยว ทว่าล้วนเชื่อมโยงอยู่ด้วยกัน เราจะเห็นว่าความรักเติบโตได้อย่างไรและสัมพันธ์เติมเต็มเราอย่างไร ด้วยความหวังว่าเราจะสามารถแก้ไขความรู้สึกที่ว่าตนเองอ่อนแอไร้ค่า โดยตระหนักว่าไม่เพียงแต่เราทุกคนจะมีพลังเท่านั้น แต่ยังครอบครองพลังแห่งจักรวาลไว้ในตัวอีกด้วย เราจะเรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับภาพลวงตาของเรา เกี่ยวกับความสุข และความยิ่งใหญ่ของตัวตนที่แท้จริง จะได้เรียนรู้ว่าเราได้รับทุกสิ่งที่จำเป็นแล้วสำหรับการใช้ชีวิตที่งดงาม

เราซื้อหนังสือเล่มนี้เพราะข้อแรกปกสวย ข้อสองคือได้อ่านเจอว่าคนเขียนเป็นประมาณจิตแพทย์ที่ทำงานกับคนใกล้ตาย แล้วเขาก็เอาเรื่องราว ประสบการณ์ต่างๆมาเขียนให้เราได้คิด และทบทวนชีวิตของตัวเอง ตอนแรกเราก็ไม่อยากอ่านเพราะเคยอ่านนิยายเรื่องราวประมาณนี้แล้วมันหดหู่ เขาเขียนอาการ และสถานการณ์ต่างๆละเอียดมาก แทนที่เราจะมีกำลังใจในการใช้ชีวิต เรากลับรู้สึกเหมือนเราป่วยและกำลังจะตายไปกับเขาด้วย เราอ่านแล้วนึกภาพได้ชัดเจนมากไป อินมากไปจนต้องใช้เวลานานกว่าจะหลุดพ้นมาได้ ต้องบอกตัวเองว่า เฮ้ย! แกสบายดี แกสบายดีSmiley หวังว่าเล่มนี้จะให้กำลังใจเรานะ 


เล่มที่สาม 12 กฎทองของคนใช้สมองเป็น - John Medina

ค้นพบความลับจากงานวิจัยล่าสุดด้านสมองแล้วคุณจะพบว่า คนที่คิดเร็ว จำแม่น เรียนรู้เก่ง และประสบความสำเร็จมากกว่าคุณนั้นแท้จริงแล้วไม่ได้มีสมองดีกว่าคุณแต่อย่างใด พวกเขาแค่ "ใช้สมอง" ในแบบที่ต่างออกไปเท่านั้น เช่น เทคนิคใช้ "กลิ่น" ที่ช่วยเพิ่มความจำเป็นสิบเท่า ,กฎ 10 นาทีที่สะกดทุกคนให้ฟังสิ่งที่คุณพูด, วิธีนอนหลับที่ช่วยให้คุณแก้ปัญหาได้อย่างเฉียบขาด, จะรู้ได้อย่างไรว่าโต๊ะทำงานกำลังทำให้คุณสมองเสื่อม

หัวข้อที่เขาพูดถึงล้วนทำให้เราสนใจอยากอ่าน แถมมีหัวข้อหนังสือที่เขียนใส่ไว้ที่ปกหลังให้เราได้พอจะรู้ว่าหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับอะไร ช่วงนี้เรารู้สึกสมองไม่ค่อยได้ทำงานเต็มที่ซะด้วย มันเบื่อๆเบลอๆไปหมด ถึงเวลาใช้สมองแล้วล่ะ


เล่มทีสี่ เปลี่ยนแค่ 1% ชีวิตดีขึ้น100% - ทอม คอนเนลแลน

1% เท่านั้นที่แยกผู้แพ้กับผู้ชนะ 
1% เท่านั้นที่แยกความธรรมดากับความยอดเยี่ยม
1% ที่นักขายมือรางวัล นักแสดงชั้นยอด นักเรียนหัวกะทิ นักกีฬาดาวเด่น บริษัทชั้นนำ ฯลฯ รู้ถึงพลังอานุภาพของมัน 

และตอนนี้ คุณเองจะได้เห็นพลังอันน่าทึ่งของการ เปลี่ยนแปลงตัวเองแค่ 1% เพื่อชัยชนะ 100% ในทุกๆด้านของชีวิต

หนังสือเล่มบางนี้น่าดึงดูดใจแก่คนขี้เกียจอย่างเรา แหมเปลี่ยนแค่ 1% เอง เราน่าจะทำได้ล่ะน่า เราไม่ต้องทำมันทุกอย่างที่เขาว่าก็ได้ เอาด้านที่เราว่ามันจะพัฒนาชีวิตตัวเองก็ได้


เล่มที่ห้า ทำไมคนที่ทำงานเก่งที่สุดถึงใช้สมุดกราฟ - ทะคะฮะชิ มะซะฟุมิ

- จดจำข้อมูลได้อย่างแม่นยำ
- คิดวิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุผล
- แก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างง่ายดาย
- เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว

นี่คือผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เมื่อคุณเปลี่ยนมาจดบันทึกด้วย "สมุดกราฟ"  

แล้วคุณจะสามารถจัดระเบียบความคิดและเพิ่มประสิทธิภาพให้ตัวเองในทุกๆด้าน ตั้งแต่การเรียน การทำงาน ไปจนถึงการใช้ชีวิต

หนังสือว่าด้วยเรื่องการจัดระเบีียบความคิด และเพิ่มประสิทธิภาพให้ตัวเองขนาดนี้มีหรือเราจะไม่สน ปกติเราก็เป็นคนมีระเบียบนะ แต่พอมันไม่มีขึ้นมามันก็ทิ้งทุกอย่างเลยไง ไม่เอาอะไรแล้ว เราเลยอยากหาวิธีที่มันจะทำให้เราเป็นผู้เป็นคนได้สม่ำเสมอ อีกอย่างคือเรามีกระดาษกราฟของมูจิเยอะมาก หลากหลายขนาด ซื้อมาเพราะคิดว่าสวย ชอบ ต้องได้ใช้! ทุกวันนี้น้องยังนอนในซองอยู่เลย ตั้ง 2 ปึก ที่เป็นเล่มก็มีเต็มบ้าง ว่างบ้าง หนังสือเล่มนี้น่าจะสามารถทำให้เรานำกระดาษเหล่านี้ที่นอนว่างมานาน ได้ถูกใช้อย่างเต็มภาคภูมิ


เล่มที่หก HOW the Secret CHANGE MY LIFE - รอนดา เบิร์น

เป็นเรื่องราวที่ผู้คนทั่วๆไปในชีวิตประจำวันของเราท่าน ที่ได้นำหลักการของ เดอะซีเคร็ต ไปใช้พลิกสภาพการเงิน สุขภาพ ความสัมพันธ์ ความรัก ครอบครัว และการงานของตน และยังแถลงไขด้วยว่า-คุณเองก็เช่นกัน- จะใช้กฎแห่งจักรวาลอันทรงพลังที่สุดเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้อย่างไร.

พอเห็นว่ามีหนังสือเล่มใหม่ของรอนดาออกมา เราก็ไม่รอช้าที่จะจัดหามาไว้อ่าน เพราะว่าเล่มก่อนๆที่เราอ่านล้วนแต่สร้างแรงบันดาลใจให้เราอย่างมากมาย ที่แน่นอนคือ เราหัดขอบคุณสิ่งต่างๆเสมอจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว และเราก็ได้เห็นคุณค่าของทุกสิ่งทุกอย่างมากกว่าที่เคยเป็น เพราะอ่านเล่มเดอะเมจิก มันไม่ใช่อะไรอื่นที่มาเปลี่ยนตัวเรา แต่มันคือความคิดในด้านดีของเราอย่างแรงกล้า ที่จะนำพาทุกสิ่งที่ดีๆให้เกิดขึ้นในชีวิตเรามากกว่า มันเหมือนแบบเราคิดถึงสิ่งที่เราต้องการเสมอ เราคิดทุกวัน เราก็ย่อมหาทางที่จะได้มันมา เพราะว่าเราไม่ได้ไปมองอย่างอื่นไง มันคือการใช้ความคิดในการดึงดูดสิ่งต่างๆ


เล่มที่เจ็ด อยู่อย่างไรให้สมองไม่แก่ - ซุกิยะมะ ทะคะชิ

พูดจาไม่รู้เรื่อง, อ่านหนังสือไม่ค่อยเข้าหัว, ขี้ลืม, วอกแวกง่าย, ขี้หงุดหงิด ขี้รำคาญ, เบื่อง่าย ขาดความกระรือร้น 
ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างที่หลายคนคิด แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนที่บอกว่า คุณกำลังเผชิญกับอาการ "สมองแก่" เข้าให้แล้ว

พบกับเคล็ดลับฟื้นฟูความเยาว์วัยให้สมอง ส่งตรงจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองชื่อดังของญี่ปุ่น 

เราตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้เพราะว่าน้องที่ทำงานอ่าน แล้วเป็นเล่มแรกที่มันอ่านจบอย่างรวดเร็ว เราก็เลยลองเอามาเปิดอ่าน เฮ้ย! มันดีมาก ตัวหนังสือไม่แน่นมาก อ่านง่าย เข้าใจง่าย แล้วเราก็สามารถเอาสิ่งที่หมอแนะนำมาทำตามได้ง่ายๆ เช่น ตื่นเช้ามาจัดโต๊ะเขียนหนังสือ หรือเดินเข้าสวน โอ้ย! ง่ายอย่างนี้เราก็ทำได้ ทำง่าย ปกติก็ทำแค่ไม่สม่ำเสมอ พอรู้ว่ามันดีต่อสมองเรามีกำลังใจขึ้นมาก แล้วด้วยความที่อ่านดีไง เราเลยไม่ยอมอ่านต่อเยอะๆ บอกน้องทีทำงานว่า ฉันต้องหามาเป็นของตัวเองเว้ย! หนังสือดีเราต้องมีติดตัวไว้อ่าน แล้วอ่านได้ทุกเพศทุกวัยนะ แนะนำเลย


เล่มที่แปด เปลี่ยนเดี๋ยวก่อนเป็นตอนนี้ - เจฟฟ์ เดวิดสัน

เหตุผลที่คนเราชอบ "เดี๋ยวก่อน" 

เช่น ยังไม่มีอารมณ์จะทำ, กำลังรอเวลาที่เหมาะกว่านี้...ที่ไม่มีวันมาถึง

เจฟฟ์ เดวิดสัน ผู้เชี่ยวชาญด้าน work - Life Balance แนวหน้าของอเมริกามอบสุดยอด "เทคนิคออกสตาร์ตเร็ว 60 วินาที" เช่น

#  โยงความหมายกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า - แล้วคุณจะแฮ็ปปี้แม้กับงานที่น่าเบื่อสุดๆ
# อ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของงาน - อ้างปุ๊บ พลังมาปั๊บ
# แยก "อยากทำ" ออกจาก "ตัดสินใจจะทำ" - แล้วคุณจะลงมือทำได้ทันที

เราเป็นคนนึงที่ชอบ "ยังไม่มีอารมณ์จะทำ" แล้วหลายอย่างในชีวิตก็เริ่มเนือยๆ ไอ้ความคิดอยากทำนั่นนี่ เยอะแยะมาก พอมาเจอพลังเนือยในตัวเรา ความคิดก็เป็นได้แค่ความคิด เพราะน้องเนือยจะจัดการคิดให้ต่อว่า โอ้ย ไม่ต้องทำหรอกอยู่แบบนี้แหละ นอนดีกว่าSmiley แล้ววันเวลาก็ผ่านไป แล้วเราก็เริ่มคิดว่าน้องเนือยมันมากไปแล้วต้องทำลายมันซะ เพราะชีวิตฉันชักจะเคว้งคว้างหาหลักอะไรไม่ได้  เราถึงได้อยากเริ่มเดี๋ยวนี้เลย และจัดหนังสือเล่มนี้มา (ซึ่งแค่ชื่อหนังสือก็ทำได้ดีแล้ว เพราะเราจัดการเขียนบล็อกเรื่องหนังสือจบตั้ง 3 ชิ้น yes yes yes! นี่ขนาดอ่านแค่ปกหลังนะยังได้แรงบันดาลใจมาขนาดนี้) รวมถึงเล่มต่างๆที่กล่าวมาข้างบนด้วย!!! เหมือนสมองฉันจะไม่ค่อยได้ทำงานเท่าที่ควร อ่านหมดนี่หวังว่าจะมีรอยหยักเพิ่มSmiley





และนี่คือ 2 เล่มสุดท้ายที่เราสั่งมา 

เล่มแรก "ช่างแม่" สอนตัดเสื้อ

แม่ไม่บอกว่าแม่ชื่ออะไรที่หน้าปกอ่ะนะ แต่ปกหลัง บอกว่า แบบเสื้อตัดเย็บง่าย สำหรับมือใหม่ ,เข้าใจง่าย ไม่มีพื้นฐานก็ทำได้, บทเรียนตัดเย็บเสื้อผ้า - สร้างแพทเทิร์นด้วยตนเอง

ไม่รู้อะไรดลใจให้ซื้อมา งงตัวเองเหมือนกัน น่าจะเป็นเพราะปกสวย555 เป็นเล่มที่แพงที่สุดในบรรดาหนังสือ 18 เล่มที่ซื้อด้วย และอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เราเพิ่งตัดเย็บเกงเลสำเร็จไป 1 ตัว เลยคิดการใหญ่ออกมา ซึ่งเกงเลก็ไม่ได้มีแบบอะไรเลยเราลอกแบบจากตัวเก่า แล้วมโนในการเย็บเอง ผสมกับดูที่คนอื่นสอน และเราเคยเห็นคุณแม่สอนตัดเย็บลงยูทูปด้วย แต่เราดูไม่รู้เรื่องหรอก เพราะตัดเสื้อไม่เป็น ดูไม่ออก เล่มนี้ก็เคยไปเดินดูที่ร้านหนังสือก็ไม่ได้คิดจะซื้อนะ เพราะอ่านไม่รู้เรื่อง (ไม่ใช่แม่สอนไม่ดี แต่คนทำไม่เป็นน่ะ มันดูไม่ออก อ่านไม่เข้าใจ) นี่คงเพราะปกสวย และพรายกระซิบว่าลองหัดเย็บดูสิ ลองหัดเย็บดูสิ ในหัวมั้งถึงได้สั่งมาด้วย นี่ก็เดินไปบอกแม่นะ ว่า "แม่ๆหนูสั่งหนังสือเย็บเสื้อมา หนูจะเย็บให้แม่ล่ะ" น้ำเสียงเราร่าเริงมาก แม่หันหน้ามาตอบว่า "ไม่เอาอ่ะ แม่ซื้อเอาตัวไม่กี่บาท" (แม่ชอบเสื้อผ้ามือสองมากตัว 10-20 ก็มี) Smiley สีหน้าเราเลย "แม่! แม่ต้องเอาสิ หนูจะตัดให้เลยนะ ไม่เอาแม่พูดใหม่"Smiley บังคับแม่จนแม่ตอบว่า "ก็ได้" แล้วเราถึงยอมถอยทัพ ปั๊ดโธ่มันอาจจะสวยก็ได้นะSmiley


เล่มต่อมา บ้านแต่งเอง my home myself

หนังสือที่รวบรวมบ้านของ 10 ท่านไว้ในเล่มใหญ่ๆนี้

เราคงไม่พลาดหนังสือเล่มนี้แน่นอน เพราะเราเป็นคนชอบหนังสือแต่งบ้านมาก ชอบหนังสือที่เห็นภาพสวยๆนั่งดูได้นานมากกับภาพๆเดียว ในบรรดาหนังสือเกี่ยวกับบ้าน เรามีของสำนักพิมพ์บ้านและสวนเยอะมากที่สุด เราว่าเรื่องและภาพเขามันพอดี เรื่องอธิบายได้อย่างน่าสนใจลงตัวกับภาพที่มีเล็กบ้างใหญ่บ้างให้เราได้ดู เรานั่งดูจนรู้สึกเหมือนอยู่บ้านเขาไปด้วยได้เลยนะ แล้วเราก็เอามาปรับใช้กับห้องกับสวนหลังบ้านได้ด้วย ความสุขของคนชอบแต่งบ้าน และดูรูปภาพสวยๆ เล่มนี้ใหญ่ดีมาก


ก็หมดไปแล้วนะคะสำหรับหนังสือที่เราได้สั่งซื้อมา ไว้อ่านจบแล้วจะมารีวิวนะว่าเล่มไหนดี ไม่ดียังไงบ้าง แล้วเจอกันใหม่ค่ะ













Create Date : 29 มิถุนายน 2561
Last Update : 29 มิถุนายน 2561 18:54:20 น.
Counter : 1300 Pageviews.

1 comments
  

โดย: เสลาสีม่วง วันที่: 3 สิงหาคม 2561 เวลา:15:09:13 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Day-afterday.BlogGang.com

สมาชิกหมายเลข 3651244
Location :
สมุทรปราการ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด