รีวิวหนังสือ "ช่อมะลิลา - แก้วเก้า"

เรื่องราวชีวิตของ"คุณหญิงปิ่นเมือง" ที่ถูกบอกเล่าผ่านร่างวิญญาณของเธอให้กับ "เลขาธิการภูมิไท" หนุ่มใหญ่วัยห้าสิบกว่าที่ได้รีโนเวตอาคารเก่าหลังหนึ่งมาเป็นพิพิภัณฑ์ซึ่งแต่เดิมคือบ้านของเจ้าคุณและคุณหญิงปิ่นเมือง และใช้ห้องใหญ่บนชั้นสองซึ่งแต่เดิมเป็นห้องนอนของเจ้าคุณตามคำบอกเล่าของคุณหญิงเป็นห้องทำงาน แต่หลังจากที่ปรับปรุงอาคารเรียบร้อยแล้วกลับไม่มีใครยอมมาอยู่ที่นี่เลยสักคนทั้งที่ตึกเก่าซอยห้องทำงานแน่นจนไม่รู้จะแน่นยังไง แต่เพราะเสียงเล่าลือต่างๆตั้งแต่ที่ยังเป็นอาคารร้างท่ามกลางหมู่อาคารราชการที่รายล้อมถึงเรื่องราวชวนขนลุกจึงไม่มีใครยอมมาอยู่แม้จะมีห้องว่างบนชั้นสองมากมาย เขาจึงได้ห้องใหญ่นี้มาครองแต่ผู้เดียวโดยไม่สนใจเรื่องที่คนเล่าลือแม้แต่น้อยและเข้าใจว่าคนที่กลัวอย่างไรก็คือกลัวและไม่บังคับใจกันหากไม่เต็มใจ แม้กระทั่งเลขาของเขาเองก็ขอตั้งโต๊ะนั่งอยู่นอกห้องตรงที่ติดระเบียงและมีบันไดลงไปที่ด้านล่างอย่างสะดวกเผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันโดยให้เหตุผลว่าปกติท่านก็มักต้องออกไปประชุมข้างนอกไม่ค่อยอยู่ห้อง เท่ากับว่าเวลาปกติจะเหลือเธอเพียงคนเดียวถึงข้างนอกจะร้อนเธอก็เปิดพัดลมเอาได้และรุ้สึกสบายใจกว่า

และเมื่อปรับปรุงอาคารเสร็จก็ต้องใส่ประวัติของเจ้าของอาคารลงไป ซึ่งก็คือ "เจ้าพระยาเสมามนตรี หรือ เมือง เสมามนตรี"  แต่หาประวัติครอบครัวของท่านเท่าไหร่ก็หาไม่พบ ไปถามเอากับชาวบ้านที่อยู่มานานก็ได้ความว่าท่านมีภรรยาและลูกชาย แต่กลับไม่มีใครจำชื่อได้ และเหมือนว่าชื่อของภรรยาท่านจะหายไปเสียเฉยๆราวกับไม่อยากให้ใครได้รับรู้ว่าเคยมีตัวตน นั่นจึงยิ่งทำให้เขาอยากหาประวัติของท่านผู้หญิงคนนี้ให้เจอ

แล้ววันหนึ่งหลังจากที่เขาออกไปประชุมต่างๆเสร็จจากข้างนอกก็กลับมาอ่านเอกสารที่ห้องทำงานในตอนดึกต่อก็ได้พบกับหญิงสาวสวยสง่าที่ห้องทำงานหลังจากที่คิดว่าจะใส่ภาพท่านผู้หญิงลงไปในประวัติแล้วมีเสียงลอยมาว่า "อย่าเลย"  ก่อนจะได้เผชิญหน้ากับคุณหญิงซึ่งยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเขา เธอสวยและดูสง่างามมากแม้ในร่างวิญญาณซึ่งดูเผินๆก็เหมือนกับคนอย่างเราๆ ต่างเพียงการแต่งตัวและที่แน่นอนคือไม่มีเสียงประตูเปิดปิดก่อนเข้ามา และเธอมาเพื่อบอกเขาว่าอย่าได้ใส่ชื่อเธอลงไปในประวัติของเจ้าคุณเลย ท่านไม่ต้องการให้มีชื่อเธอในประวัติหรอก และอีกอย่างคือเธอไม่ได้เป็นท่านผู้หญิง เธอเป็นเพียงคุณหญิงเสมาเมือง

และด้วยความที่ภูมิไทไม่กลัวผี จึงได้สอบถามเรื่องราวของคุณหญิงและเธอก็เล่าเรื่องต่างๆให้เขาฟังในแต่ละครั้งที่พวกเขาได้พบกันในห้องทำงานบ้าง ที่บ้านของเขาบ้าง หรือแม้แต่ในความฝันซึ่งเขาก็จะเห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับตาราวกับอยู่ในเหตุการณ์  ซึ่งร่างของคุณหญิงก็แทบจะโปร่งแสงไปเรื่อยๆเมื่อเรื่องราวที่เล่าออกมาบาดใจและยังคงทำให้เธอทุกข์ระทมจนทุกวันนี้ว่าเป็นคนทำลายชื่อเสียงของสามี ต่างจากภาพวันแรกที่เธอดูสวย สง่า สดใส โดยเริ่มเล่าว่าเจ้าคุณเป็นสามีที่อายุห่างจากเธอถึง ๑๗ ปี และเป็นสามีของพี่สาวมาก่อนและเธอก็มาเป็นภรรยาของเขาต่อหลังจากที่พี่สาวเสียชีวิตไป โดยมีลูกชายหนึ่งคนซึ่งสมัยก่อนผู้คนนิยมให้พี่น้องของภรรยาเก่ามาดูแลต่อเพราะกลัวแม่เลี้ยงคนใหม่จะไม่รักเด็กที่เป็นลูกติดเท่ากับญาติพี่น้อง ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้รังเกียจและรู้สึกดีต่อเจ้าคุณที่ถึงแม้เขาจะมีมาดนิ่งมากเสียจนคนไม่กล้าเข้าใกล้แต่กับเธอเขาทำให้เธอรู้สึกพิเศษ หลังจากที่เธอได้พูดคุยกับเขาอย่างที่คนอื่นไม่กล้าเข้าไปพูดด้วยเมื่อวันที่ได้เห็นพี่เขยนั่งเศร้า สลดลำพังตอนคิดว่าไม่มีใครเห็นหลังจัดงานศพทั้งที่ไม่เคยเห็นภาพนั้นมาก่อน จนทำให้คนทั้งคู่รู้สึกดีต่อกัน เพราะปิ่นเมืองเป็นหญิงสาวมีเสน่ห์ วางตัวดี มีการศึกษา กล้าพูด กล้าแสดงความคิด และเปิดเผย ซึ่งชื่อปิ่นเมืองนี้ก็เจ้าคุณเป็นคนตั้งให้แต่เดิมเธอชื่อปิ่น เจ้าคุณชื่อเมืองหลังแต่งงานท่านก็ให้เธอเปลี่ยนเป็นปิ่นเมือง ซึ่งหมายถึงปิ่นของเมือง ชื่อที่เขาสะดุดตาแต่แรกว่าไพเราะและเข้าใจตั้ง

หลังจากที่แต่งงานไปได้ ๗-๘ ปีด้วยดีวันหนึ่ง "พิรัช" เพื่อนรักที่เด็กกว่าเธอสองปีที่เล่นกันมาตั้งแต่วัยเด็กเพราะบ้านติดกันกับปิ่นเมืองก็กลับมาหลังจากเรียนจบซึ่งนอกจากเขาจะเป็นเพื่อนรักของเธอแล้วยังเป็นหลานของเจ้าคุณอีกด้วย และปิ่นเมืองเองก็ชอบเจ้าคุณที่เวลามารับตัวเพื่อนรักของเธอกลับบ้านถ้าเห็นว่าทั้งคู่ยังเล่นกันสนุกอยู่ก็จะพูดคุยกับคนในบ้านเธอรอไม่รีบพาตัวหลานชายกลับไปได้เป็นชั่วโมง เธอและพิรัชเป็นเพื่อนรักที่เล่นสนุกมาด้วยกันและคิดเห็นอะไรตรงกันอยู่เสมอ และรู้ใจกันตลอด พิรัชชอบเธอเพราะเธอไม่เคยมองว่าเขาเป็นเด็กหรืออายุน้อยกว่าเวลาที่เล่นกันต่างกับเวลาที่เขาเล่นกับพี่ๆที่บ้านจึงชอบมาเล่นกับเธอ ส่วนปิ่นเมืองก็ชอบที่พิรัชชวนเธอเล่นอะไรสนุกๆอยู่เสมอไม่น่าเบื่อ แต่สิ่งหนึ่งที่ปิ่นเมืองไม่เคยรู้คือพิรัชชอบเธอมาตลอดตั้งแต่เด็ก และในจดหมายที่ทั้งคู่เขียนหากันเสมอเมื่อเขาไปเรียนที่อังกฤษพิรัชก็พูดเป็นนัยมาตลอดแต่เธอไม่เคยรู้ แต่แล้ววันหนึ่งปิ่นเมืองก็เข้าใจความรู้สึกของพิรัชแล้วกลายเป็นว่าทั้งคู่ก็เกิดใจตรงกันขึ้นมาทั้งที่พยายามจะไม่ให้เกิด

แล้ววันหนึ่งเจ้าคุณก็ขอหย่าขาดจากเธอและไม่ขอพบหน้ากันอีก หลังจากวันนั้นชีวิตเธอก็มืดหม่นต้องอยู่อย่างหลบซ่อนตัวหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนที่รู้จักให้มากที่สุดเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นแม้ทั้งคู่จะรักกันอย่างบริสุทธิ์ใจก็ตาม แต่ปิ่นเมืองเองก็ไม่ปล่อยใจไปกับความไม่เหมาะสมใดๆแม้จะหย่าขาดจากเจ้าคุณแล้วก็ตามเพราะถึงเจ้าคุณจะลงโทษเธอด้วยการขอหย่าขาดไม่ให้เธอได้เป็น ท่านผู้หญิงเสมาเมือง และห้ามเธอเรียกเขาว่าพี่เมืองอีกเด็ดขาดรวมถึงไม่ได้พบหน้ากันอีกจนตลอดชีวิต เธอก็ยังรักษาเกียรติของสามีเรื่อยมาและระทมทุกข์กับความรู้สึกผิดที่ได้ทำลายชื่อเสียงของสามีและต้องจากกันทั้งที่ต่างก็ยังรักกันมาก

ภูมิไทตั้งใจฟังเรื่องราวของคุณหญิงอย่างตั้งใจซึ่งเธอเล่าจนถึงวันที่เธอจากโลกไป และออกความเห็นบ้างในบางเรื่อง และอดสงสารคุณหญิงไม่ได้ที่ต้องทุกข์ระทมมากมายจากความรักที่เธอมีต่อเจ้าคุณและพิรัช โดยเฉพาะเจ้าคุณที่ถึงแม้ท่านจะลงโทษเธออย่างรุนแรงด้วยการขอหย่า และไม่ให้ได้เห็นหน้ากันอีกเลยแต่เธอก็ยังรักและคิดถึงเสมอ และรู้สึกผิดต่อเจ้าคุณแม้จนตอนนี้จนทำให้ไม่อาจไปไหนได้ ยังคงวนเวียนมาที่บ้านหลังนี้จนได้เจอกับเลขาธิการภูมิไท


เป็นหนังสือที่เราไม่รู้มาก่อนว่าเรื่องราวจะเป็นแบบนี้ ตอนที่ซื้อก็จำไม่ได้ว่าทำไมถึงซื้อมา พอได้อ่านบทแรกๆก็อึ้งว่าแบบนี่คือเรื่องราวเล่าย้อนอดีตโดยนางเอกที่เป็นวิญญาณหรอ แถมเรื่องราวก็คือดราม่า เจ้าคุณขอหย่าขาดโดยที่คุณหญิงบอกกับภูมิไทว่าท่านเป็นคนดีและตามใจภรรยา เราก็ยิ่งอยากรู้ว่าแล้วมันยังไงล่ะ เป็นคนดีแล้วเลิกกันทำไม มีมือที่สามอีกเป็นหลานเจ้าคุณด้วย จนอดไม่ได้เปิดดูตอนจบซะเลย555 ก็สบายใจว่ามันก็จบอย่างที่ควรจบแหละแล้วก็ไม่ผิดหวังอะไรกับตอนจบ แต่ก็ยังอ่านแบบอึดอัดใจ บีบคั้นใจเพราะรู้ว่าเจ้าคุณต้องขอหย่ามันต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ แล้วก็รำคาญพิรัช แต่ก็เบื่อความปากหนักของเจ้าคุณ และเห็นด้วยกับภูมิไทว่ามันไม่มีจริงหรอกที่มองตาแล้วจะเข้าใจ รู้ใจไปทุกสิ่ง คนที่คิดอย่างนี้ทำผิดพลาดมานักต่อนักแล้ว (เหมือนอย่างในหนังสือ "ข้อตกลงเปลี่ยนชีวิต" ที่เราอ่านก่อนหน้าเลยว่าให้พูดหรือถามในสิ่งที่สงสัยเถอะ มองตาแล้วรู้ใจไม่มีจริงหรอก)
เราเลยอ่านช้ามากกว่าจะผ่านช่วงนั้นมาได้เพราะมันเครียดเลยอ่านๆหยุดๆ พอหย่าไปแล้วถึงจะตะลุยอ่านให้หายคาใจ ซึ่งอันที่จริงเราก็ไล่อ่านล่วงหน้าไปหมดเรื่อยๆแหละ มันอัดอั้นตันใจเกินไป เดี๋ยวอกแตกตายถ้าอ่านเรียงหน้าไปเรื่อยๆ เป็นหนังสือที่อ่านแล้วติดมากเพราะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่อ่านเยอะไม่ได้เพราะเครียดต้องพักเรื่อยๆ 

ความรู้สึกที่เกิดก็คือสงสารปิ่นเมืองเหมือนกันนะ สามีก็แทบไม่มีเวลาให้ มีปัญหาใหญ่พ่อก็เงียบไม่พูดให้ชัดเจนปล่อยให้เมียน้อยเนื้อต่ำใจ เข้าใจผิดอยู่อย่างนั้นไปเป็นอาทิตย์ๆ จนต้องไประบายกับเพื่อนรักที่เขาตั้งใจรับฟังปัญหาและเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเรา ซึ่งถ้าเป็นยุคนี้ก็คงเป็นเรื่องธรรมดาอย่างที่ท่านเลขาว่าเลย บางทีเจ้าคุณก็เกินไปเอามากๆ แต่พออ่านฉากเจ้าคุณหวานใส่ก็คืออินมาก ละมุนใจมาก แต่พอบทจะเด็ดขาดก็บาดใจเป็นริ้วยับเยินไปเลย 

ข้อคิดที่เราได้จากเรื่องนี้คือ ให้เวลากับคนรักบ้าง แล้วมีอะไรก็พูดเถอะ แสดงความรู้สึกออกมาบ้างให้อีกคนเขาได้เข้าใจ แล้วก็อย่าถือทิฐิกันนักเลยสุดท้ายก็เจ็บด้วยกันทั้งคู่ทั้งที่รักกัน

ประโยคที่เราชอบค่ะ เป็นประโยคที่อธิบายถึงเจ้าคุณ
"น้องชอบผู้ชายที่ไม่ต้องพูดสักคำ ก็สามารถทำให้เรารู้ว่า เราเป็นคนสำคัญที่สุดของเขาในสถานที่นั้น"
"ความรักทำให้เราเห็นสิ่งพิเศษในตัวเขาที่คนอื่นมองไม่เห็น"    



Create Date : 19 มิถุนายน 2565
Last Update : 19 มิถุนายน 2565 17:55:58 น.
Counter : 564 Pageviews.

2 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณhaiku, คุณดาวริมทะเล

  
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ
โดย: **mp5** วันที่: 20 มิถุนายน 2565 เวลา:15:45:28 น.
  
เข้ามาอ่านด้วยความบังเอิญค่ะ
คือชอบนิยายของแก้วเก้า แล้วมาเห็นเรื่องนี้
ยังไม่เคยอ่าน เลยแวะอ่านรีวิวซะเลย
โดย: ดาวริมทะเล วันที่: 26 มิถุนายน 2565 เวลา:19:50:09 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Day-afterday.BlogGang.com

สมาชิกหมายเลข 3651244
Location :
สมุทรปราการ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด