BOOK HAUL หนังสือล็อตใหญ่ประจำปี ๒๕๖๕ จากเว็บนายอินทร์ - สำนักพิมพ์ piccolo
 
สำนักพิมพ์ piccolo ๑๒ เล่ม


เล่มแรก จะเป็นใครกันที่หยิบฉันออกจากฉันหนังสือ - ซาโกะ ไอซาวะ
หากทุกคนเปรียบดั่งหนังสือ ฉันคงเป็นหนังสือที่มีข้อบกพร่องที่สันปก ไม่ดึงดูด ไม่โดดเด่น ไม่น่าสนใจ ทั้งที่ฉันเป็นแบบนี้ แต่ฉันก็ยังรอให้ใครสักคนมาเลือกหยิบฉันออกไปจากชั้นอันแน่นขนัดนี้ เปิดโอกาสพิจารณาหน้าปกที่ฉันบรรจงสร้าง ละเลียดอ่านเนื้อหาที่ฉันบรรจงเขียน ณ ห้องสมุดของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง นอกจากจะอัดแน่นไปด้วยหนังสือหลากหลายประเภท และมากมายเนื้อหา ยังมีผู้คนที่เฝ้าเพียรค้นทางเดินในชีวิตของตัวเอง เรื่องสั้นหกเรื่องที่สั่นสะเทือนหัวใจของทุกคนที่รักหนังสือ

หนังสือออกใหม่ล่าสุดที่มาทำให้ใจเราสับสน เพราะปกสวยๆแต่รีวิวมีสองทางคือดี กับเกินวัยที่จะอ่าน(เรียนจบทำงานแล้ว)พออ่านแล้วมันไม่อินขนาดนั้น ทำให้เราคิดไม่ตกแล้วก็กดเข้า กดออกจากตะกร้าอยู่หลายรอบ แต่สุดท้ายปกรูปหนังสือก็ทำให้เราตัดสินใจลองเอามาอ่านดูก่อน แล้วก็บอกน้องหนังสือว่าเป็นพี่คนหนึ่งล่ะที่หยิบน้องออกมา


The authenticity project สมุดบันทึกแห่งความสัตย์จริง - แคลร์ พูลีย์

เรื่องราวของสมุดสีเขียวหน้าตาธรรมดาที่รวมคนแปลกหน้าพาไปสู่มิตรภาพได้อย่างคาดไม่ถึง จูเลียน เจสชอป ศิลปินนอกรีต โดดเดี่ยวและอยู่ในวัยชรา เขาเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อกันจริงๆ แต่ถ้าเขาคิดผิดล่ะ ดังนั้นเขาจึงเขียนความจริงเกี่ยวกับชีวิตของตัวเองลงในสมุดที่เขาตั้งชื่อให้ว่า "โปรเจ็กต์แห่งความสัตย์จริง" และทิ้งไว้ในคาเฟ่แถวบ้าน
ร้านนี้มีเจ้าของผู้เป็นระเบียบเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพอย่างไม่น่าเชื่อคือโมนิกา เธอแอบเพิ่มเรื่องราวของเธอลงไปและทิ้งสมุดเล่มนั้นไว้ที่บาร์ไวน์ฝั่งตรงข้าม ไม่นานนักคนอื่นๆ ที่พบสมุดก็เพิ่มความจริงเกี่ยวกับตัวตนส่วนลึกของพวกเขา และในไม่ช้าก็ได้พบกันในชีวิตจริงที่โมนิกาส์คาเฟ่ เรื่องราวที่เหมือนวิตามินบำรุงใจให้ใครหลายคน ที่กำลังโดดเดี่ยวในโลกแห่ง
กระแสโซเซียลมีเดียอันวกวน


เป็นหนังสือเล่มใหม่ที่เพิ่งออกในวันที่เราจะซื้อหนังสือเลย แล้วพอเห็นปกสวยๆกับเรื่องราวที่น่าสนใจเราก็หยิบใส่ตะกร้าทันที ตอนแรกก็ลังเลใจว่าเอาไว้ก่อนดีไหมเพราะจำนวนหนังสือที่เพิ่งออกใหม่ที่เกินแผนการซื้อก็ถูกเพิ่มมาหลายเล่มมาก ขยันออกทีละหลายเล่มในวันเดียวมาก แต่ด้วยความที่มีสมุดแถมมาด้วยเฉพาะพิมพ์ครั้งที่หนึ่ง ถึงมันก็เล็กและบางนิดเดียวแต่เราก็ตกเป็นทาสการตลาดไปในที่สุด


หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย - ยาสึชิ คิตากาวะ 
วันหนึ่งกลางฤดูร้อน ขณะที่ผมกำลังนั่งเบื่อๆเฝ้าร้านหนังสือแทนพ่อ ผมได้เจอกับหญิงสาวที่เข้ามาตามหาหนังสือเล่มหนึ่ง ความสวยของเธอสะกดใจผมอย่างจัง แต่นอกเหนือจากนั้น การพยายามได้รู้จักเธอกลับเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล จากเด็กหนุ่มผู้ไร้แก่นสาร ผู้ปล่อยชีวิตในแต่ละวันให้ไหลไปตามกระแสธารเวลา ดั่งคนหลงทางในโลกใบใหญ่กลับพบเป้าหมายในชีวิตเพียงเพราะได้เจอเธอ


หน้าปกสวยดึงดูดใจอีกแล้ว เห็นภาพปกหน้ากับหลังและเรื่องราวหลังปกแล้วทำให้เราอยากไปเดินร้านหนังสืออิสระสักครั้งเลย แล้วเรื่องราวมีหนังสือและร้านหนังสือยิ่งทำให้เราอยากอ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วก็มีบอกไว้ด้วยว่าขายไปแล้วกว่า ๑๒๐,๐๐๐ เล่ม ซึ่งดูจากขนาดเล่มบางๆน่าจะอ่านจบไว
 






เล่มแรก แด่เธอผู้เปล่งประกายใต้แสงจันทร์ - ซาโนะ เท็ตสึยะ
ตั้งแต่คนสำคัญจากไปผมใช้ชีวิคแบบซังกะตายวันแล้ววันเล่า จนวันหนึ่ง มีเหตุให้ผมต้องเข้าไปพัวพันกับเด็กสาวคนหนึ่ง เธอเข้ารับการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลด้วย"โรคเปล่งแสง" โรคที่สวยงามและน่าเศร้าในเวลาเดียวกัน เมื่อต้องแสงจันทร์ ร่างกายของผู้ป่วยจะเปล่งแสงเรืองรอง และยิ่งใกล้ระยะสุดท้าย แสงนั้นจะยิ่งเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความที่ผมทำของสำคัญของเธอพัง ผมจึงต้องทำหน้าที่ทำ "สิ่งทีอยากทำก่อนตาย" แทนแล้วนำมาเล่าให้เธอฟัง นับจากสัญญาในวันนั้นช่วงเวลาที่หยุดนิ่งของผมก็พลันกลับมาเคลื่อนไหว

ปกสวยดี เหมือนภาพการ์ตูนญี่ปุ่นเราก็เลยสนใจ พออ่านเรื่องราวปกหลังแล้วก็รู้สึกว่าน่าอ่านมาก แถมปกหลังยังบอกว่านำไปสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วด้วย อ่านจบต้องไปหาหนังมาดูต่อ ส่วนรีวิวที่เราอ่านมาแต่ละอันก็ทำให้ยิ่งอยากอ่าน แล้วก็สะดุดกับประโยคที่ว่าไม่คิดว่าจะเป็นโรคที่มีอยู่จริงเลยทำให้เราตัดสินใจว่ายิ่งอยากอ่านว่ามันหมายความว่ายังไง มันมีโรคนี้จริงๆหรอที่เปล่งประกายเป็นพิเศษตอนใกล้ตายหรือเป็นแค่การเปรียบเปรย มันดูเศร้าๆหม่นๆแต่น่าสนใจดี


เล่มที่สอง 52 เฮิรตซ์...คลื่นเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน - มาจิดะ โซโนะโกะ
ในช่วงเวลาที่เหงาเจียนตายและโดดเดี่ยวเกินทน ฉันยังคงเชื่อมั่นว่าข้างนอกนั่นจะต้องมีใครสักคนที่รู้สึกเหมือนกัน แค่คิดว่าเสียงแห่งความเปล่าเปลี่ยวนี้จะส่งถึงใครบางคนก็ปลอบประโลมจิตใจอันบอบช้ำได้มากมาย ชีวิตของคิโกะเป็นดังเช่นวาฬ 52 เฮิรตซ์ ที่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็ไม่มีใครรับรู้ถึงตัวตน ทั้งยังไม่มีใครเข้าใจ เมื่อเธอตัดสินใจพาตัวเองออกมาจากอดีตอันขมขื่น และย้ายมาอยู่ในเมืองเล็กๆริมทะเลของจังหวัดโออิตะ เธอก็ได้พบกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งดูทุกข์ทนและแปลกแยกไม่ต่างกัน แต่ไม่ว่าจะพยายามพูดคุยเท่าไร เสียงของเธอก็เหมือนจะส่งไปไม่ถึงเสียที ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วเสียงของวาฬเหงาทั้งสองตัวนี้จะสามารถสื่อถึงกันได้หรือไม่

สะดุดตาหนังสือเล่มนี้จากหน้าปกที่ดูน่ารักแต่แฝงความรู้สึกเหงาๆกับชื่อเรื่องที่ดูเศร้าจนต้องหยิบมาอ่านเรื่องราวที่ปกหลัง แล้วก็พบว่าน่าสนใจก็เลยได้หนังสือเล่มนี้มา


เล่มที่สาม ปริซึม สีของความรู้สึก - ซนว็อนพย็อง 
ผู้คนบนโลกนี้ล้วนใช้ชีวิตกันด้วยความคิดและความเข้าใจหลากหลาย แล้วใครกันล่ะที่จะผ่านมาเชื่อมต่อเพื่อให้ชีวิตก้าวเดินไปพร้อมกันได้ เรื่องราวของชายหญิงสี่คนที่มีอะไรบางอย่างส่องแสง "หัวใจ" ให้ฟุ้งกระจายเป็นสีสันหลากหลาย ผ่านการพบและพราก เยจินกับโดวอน หนุ่มสาวออฟฟิศสองคนที่บังเอิญพบกันเพราะต่างหลบหลีกโลกวุ่นวายในระหว่างจิบกาแฟถ้วยโปรด ซึ่งทั้งคู่ต่างขีด "ระยะกำลังดี" ให้ตัวเอง โฮ-กเยกับแจอิน ชายหนุ่มผู้ไม่ชอบขนมปังแต่หลงใหลกลิ่นแห่งความเข้าใจในร้านขนมปังเล็กจิ๋วของหญิงสาว "เธอหยิบปริซึมนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วยื่นไปที่ผนังสีขาว ปล่อยให้แสงแดดทะลุผ่าน แสงสีงดงามแตกกระเจิงไปทั่ว แสงซึ่งมีความยาวคลื่นทั้งสั้นและยาวกระจายอยู่บนกำแพง แถบสีเหล่านั้นเรียงต่อกันกลับกลายเป็นสายรุ้งสลัวดูละมุนตา...ฉันอยากเป็นคนที่ส่องแสงให้กับใครสักคนหนึ่ง"

สะดุดตากับปกที่ดูเรียบๆ แล้วก็ออกใหม่ล่าสุด อ่านเรื่องราวที่สำนักพิมพ์ลงแล้วน่าสนใจก็เลยตัดสินใจใส่ลงตะกร้า แล้วก็ชอบประโยคสุดท้ายของปกหลังที่ว่า ฉันอยากเป็นคนที่ส่องแสงให้กับใครสักคนหนึ่ง มันดูน่าสนใจดี หวังว่าน้องจะตรงใจเรานะ 


เล่มที่สี่ เราจะได้พบกันเมื่อวันซากุระบาน - มิกิโตะ ชิเน็น
ทุกคนล้วนมีระเบิดเวลาอยู่ในตัวเองทั้งนั้น ถ้าไม่รู้ว่า "วันพรุ่งนี้" จะมีชีวิตอยู่หรือไม่ ก็ขอให้ใช้ชีวิตใน "วันนี้" ไปด้วยกันก็พอ

ปกหนังสือดูสวยดีแต่เล่มนี้ตัดสินใจซื้อเพราะอ่านรีวิวคร่าวๆแล้วดูน่าสนใจ เรื่องราวที่อ่านจากในเว็บก่อนซื้อก็ดูมีปมของเรื่องที่น่าอ่าน อยากรู้ว่าตกลงมันเป็นยังไงกันแน่ นางเอกมีตัวตนเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายของโรงพยาบาลจริงๆหรือว่าไม่เคยมีตัวตนกันแน่ ภาพปกหน้าที่มีผู้หญิง กับปกหลังที่มีผู้ชายมันดูเศร้าๆ เหงาๆชอบกลแต่มีรีวิวที่บอกว่าอบอุ่นใจอยู่ด้วย


เล่มที่ห้า หากวันใดคุณหลงทาง จงฟังเสียงที่อยู่ในหัวใจ - มิยาชิตะ นัตสึ
"คนเราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพราะมีพรสวรรค์ มีหรือไม่มีของพรรค์นั้น เราก็ยังต้องอยู่ต่อไป ชีวิตไม่ควรขึ้นอยู่กับสิ่งที่ไม่รู้ว่ามีหรือไม่มีแต่ต้องความหาสิ่งที่แน่นอนกว่าด้วยมือคู่นี้เอง" นับตั้งแต่วันที่โทมุระได้ดูการจูนเสียงเปียโนของช่างคนหนึ่งในโรงพละ ขณะเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย โลกของเขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง โทมุระหลงใหลในโลกแห่งการจูนเสียงจนย้ายออกจากเมืองเล็กๆเพื่อไปเรียนต่อด้านนี้โดยเฉพาะ หลังจากนั้นจึงย้ายกลับมาทำงานที่บ้านเกิดอีกครั้ง ทว่าการกลับมาในครั้งนี้กลับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการค้นหาตัวตนและเป้าหมายในชีวิต เมื่อสิ่งที่ชอบกลับไม่ใช่สิ่งที่เขามีพรสวรรค์ เช่นนี้เขาควรจะยอมแพ้หรือเพียรพยายามต่อไปจนถึงที่สุด

ออกใหม่ล่าสุดอีกแล้ว สำนักพิมพ์นี้ขยันออกมากจนเราเครียดกับจำนวนการสั่งที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ปกก็น่ารักมาก ดึงดูดใจมากแล้วเรื่องราวก็น่าสนใจจนไม่อาจที่จะไม่ซื้อเพิ่มมาอีกสักเล่มได้ แล้วยอดขายกว่า ๑.๒ ล้านเล่มในประเทศญี่ปุ่นก็ทำให้เรารู้สึกว่าต้องอ่านเล่มนี้ดูสักครั้ง

 

 

เล่มแรก ร้านไม่สะดวกซื้อของคุณทกโก - คิมโฮย็อน
ร้านสะดวกซื้อเป็นสถานที่ที่ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินเข้าออก มันคือสถานที่ที่ทุกคน ไม่ว่าลูกค้าหรือพนักงานจะหยุดชั่วครู่ก่อนจะเดินต่อไป เป็นดังปั๊มน้ำมันที่แวะมาเพื่อเติมให้เต็ม ที่นี่...ผมไม่ได้แค่มาเติมน้ำมันเท่านั้น แต่มาซ่อมรถด้วย เมื่อซ่อมเสร็จแล้วก็ต้องออกเดินทางต่อ" ออลเวย์ส ร้านสะดวกซื้อเล็กๆในแขวงช็องพา คนที่อาศัยส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ไม่ก็นักศึกษาที่อาศัยอยู่ในหอพัก วันหนึ่งชายร่างใหญ่เหมือนหมี ผู้เคยเป็นคนไร้บ้านปรากฏตัวขึ้นที่ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ในฐานะพนักงานพาร์ทไทม์กะกลางคืน หลังจากนั้นสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงอันแสนสดชื่นก็เริ่มก่อตัวขึ้น ผู้คนหลากหลายต่างแวะเวียนมาหาที่ร้านสะดวกซื้อซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีเส้นกั้นบางๆระหว่างโซนปลอดภัยของตัวเองกับพื้นที่สาธารณะ พวกเขาต่างได้รับการปลอบโยนในวันอันแสนเหนื่อยล้าจากชายไร้บ้านคนนี้โดยไม่รู้ตัว

ปกสวยมากอีกแล้ว ถึงเราจะมีหนังสือสารพัดร้านที่ถูกแปลออกมา ร้านนี้เราก็ยังคงต้องซื้ออีกอยู่ดีแล้วค่อยว่ากันเราชอบร้านไหนมากที่สุด เพราะร้านออลเวย์สก็ดูอบอุ่นหัวใจเหมือนกัน


เล่มที่สอง ที่ร้านอูคิกิ มีคนเปลี่ยนชะตาชีวิตให้คุณได้ - หลินถิงอี๋
เมื่อผมเขียนบทเสร็จ คุณจะได้ชีวิตใหม่ของคุณทันที ณ ร้านอูคิกิ อิซากายะริมถนนของซีเหมินติงดาวน์ทาวน์ในไทเป มีองค์กรลับที่แสนประหลาดอยู่องค์กรหนึ่ง องค์กรนั้นชื่อว่า อั้นเจวี๋ย ว่ากันว่า พวกเขาทำงานกันที่ห้องลับใต้หลังคา งานที่เปลี่ยนชะตาชีวิตของคนได้ แต่การทำงานขององค์กรนี้ต้องทำกันอย่างลับๆเพราะไม่ถูกกฎหมายสักเท่าไหร่ ชะตาชีวิตที่เปลี่ยนแปลงได้ ย่อมต้องแลกกับอะไรบางอย่าง เมื่อยามรัตติกาลมาเยือน ผมจะทำหน้าที่เขียนบทให้กับองค์กรนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งพบว่า คนที่อยากเปลี่ยนชะตาชีวิตของตนเองนั้นมีมากมายเหลือเกิน

ปกดูน่ารัก น่าสนใจอีกแล้ว คราวนี้เราไปร้านที่ประเทศไต้หวันดูบ้าง เพราะเรื่องราวดูน่าสนใจบวกกับปกสวยเราก็เลยซื้อมา


เล่มที่สาม โกโก้อุ่นๆกับคุณในวันพฤหัสฯ - มิจิโกะ อาโอยามะ
"มาร์เบิ้ลคาเฟ่ยินดีต้อนรับ" ร้านกาแฟที่ฉันทำงานอยู่มีเรื่องประหลาดบางอย่าง เธอจะมาที่นี่ในวันพฤหัสฯ สั่งโกโก้ ณ เก้าอี้ตัวเดิม และเขียนจดหมาย ฉันเรียกเธอว่า "คุณโกโก้" วันหนึ่ง คุณโกโก้มาที่ร้านเช่นเคย เธอนั่งอยู่เฉยๆและดูเศร้า ก่อนที่จะหลั่งน้ำตาออกมา... แล้วเรื่องราวของผู้คนที่ผ่านมาที่มาร์เบิ้ลคาเฟ่ก็เริ่มต้นขึ้น คุณแม่ผู้ตัดสินใจทำข้าวกล่องให้ลูกชายเป็นครั้งแรก ,คุณครูมือใหม่ต้องเข้าไปสอนโรงเรียนอนุบาลร่วมกับคุณครูสุดเนี้ยบ, ว่าที่เจ้าสาวที่ตามหาของ ๔ อย่างในวันสำคัญ, หญิงสาวที่เพียรวาดภาพที่เธอชื่นชอบด้วยสีเขียวเพียงสีเดียว, ชายหนุ่มผู้ลาออกจากงานธนาคารและไปเปิดร้านแซนด์วิชที่ซิดนีย์ และเรื่องราวของผู้คนอีกมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาในคาเฟ่แห่งนี้ คาเฟ่ที่จะช่วยเยียวยาหัวใจของผู้คนที่ผ่านเรื่องราวมามากมายทุกคน

หนังสือเล่มเล็กๆที่ปกน่ารักมาก และพาเราไปเยือนร้านกาแฟมาร์เบิ้ลคาเฟ่ หวังว่าร้านนี้จะได้เจอเรื่องราวดีๆอีกร้านหนึ่ง


เล่มที่สี่ รสชาติอาหารจานครอบครัว - เอโกะ ยามากุจิ
ที่นี่คือ "ร้านอาหารฮาจิเมะ" ร้านอาหารซึ่งหันหน้าออกสู่ถนนใหญ่แห่งเขตซึคุดะ ช่วงกลางวันขายอาหารชุด กลางคืนจะกลายเป็นอิซากายะ ไม่ว่าคุณจะเจอทุกข์ใดมา คุณป้าสองคนแห่งร้านฮาจิเมะก็พร้อมเสิร์ฟอาหารอร่อยราคาสบายกระเป๋า เพื่อชาร์ตพลังให้คุณพร้อมสู้ในวันรุ่งขึ้น ดั่งได้ซดซุปอุ่นๆเคล้าเสียงหัวเราะและหยาดน้ำตาเยียวยาหัวใจอันอ่อนล้า

อีกหนึ่งร้านอาหารที่น่าสนใจ และปกสวยสีสันสะดุดตามากจนเราต้องซื้อ ซึ่งดูเหมือนเรื่องราวแต่ละร้านก็จะช่วยชุขชูจิตใจให้มีความสุขมากขึ้นหลังพบเจอเรื่องราวหนักๆมา แต่ถ้าเราอ่านทุกร้านที่ซื้อมารวมถึงของเก่าด้วยเราน่าจะเป็นทุกข์มากกว่า555 เข้าร้านนั้นออกร้านนี้จนปวดหัวกันเลยทีเดียว

แล้วไปดูกันต่อนะคะว่าเราซื้อหนังสือที่จะพาไปร้านไหนอีกบ้างในตอนต่อไป

 



Create Date : 10 กรกฎาคม 2565
Last Update : 17 กรกฎาคม 2565 10:47:55 น.
Counter : 890 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Day-afterday.BlogGang.com

สมาชิกหมายเลข 3651244
Location :
สมุทรปราการ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด