รีวิวหนังสือ "Brain rules 12 กฎทองของคนใช้สมองเป็น - John Medina"

 


เป็นหนังสือที่เขียนถึงงานวิจัยเกี่ยวกับสมองทั้งหมด ๑๒ เรื่อง

๑.มนุษย์มีวิวัฒนาการ สมองของมนุษย์ก็เช่นกัน - เป็นการเล่าว่าสมองคนเราออกแบบมาเพื่ออะไร และวิวัฒนาการมาจากสมองส่วนสัตว์เลื้อยคลานสู่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จนกระทั่งกลายมาเป็นสมองมนุษย์ ขณะที่วิวัฒนาการของมนุษย์ก็เปลี่ยนจากการอาศัยบนต้นไม้มาสู่ทุ่งหญ้า จากเดินสี่ขามาเป็นสองขา จึงทำให้มีพลังเหลือพอที่จะพัฒนาสมองสุดซับซ้อนขึ้นมา

๒.ออกกำลังเพิ่มสมอง - ถ้าอยากพัฒนาความคิด จงเคลื่อนไหวร่างกาย เพราะมันช่วยสูบฉีดเลือดเข้าสู่สมอง และสิ่งที่มันนำมาด้วยก็คือ กลูโคสซึ่งเป็นพลังงานกับออกซิเจนที่ช่วยดูดซับอิเล็กตรอนที่เป็นพิษซึ่งตกค้างอยู่ในร่างกาย ทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างสารโปรตีนที่ทำให้เซลล์ประสาทเชื่อมโยงกันอยู่เสมออีกด้วย

๓.หลับให้เต็มอิ่ม คิดได้เต็มที่ -ขณะที่เราหลับเซลล์ประสาทในสมองจะยังคงทำกิจกรรมต่อไปอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน และการที่เรารู้สึกง่วงในช่วงบ่ายนั้นเป็นสิ่งที่เราทุกคนเป็นเหมือนกันหมด ส่วนการอดนอนนั้นส่งผลเสียต่อสมาธิ กระบวนการคิด ความจำระยะสั้น อารมณ์ ทักษะการคิดคำนวณ ความสามารถในการใช้เหตุผล และความคล่องแคล่วในการเคลื่อนไหวร่างกาย

๔.สมองที่ตึงเครียดย่อมเรียนรู้ได้ย่ำแย่ - เมื่อตกอยู่ในความเครียดเรื้อรัง อะดรีนาลินจะสร้างแผลเป็นในหลอดเลือดของเราจนอาจทำให้เสี่ยงเป็นโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดสมองได้ ส่วนคอติซอลจะสร้างความเสียหายแก่เซลล์ในฮิปโปแคมปัส และทำลายความสามารถในการเรียนรู้และจดจำของเรา

๕.สมองของคนเรามีการเชื่อมโยงที่แตกต่างกัน - สิ่งที่เราทำและเรียนรู้จะปรับเปลี่ยนการเชื่อมโยงของสมอง และส่วนต่างๆของสมองจะพัฒนาขึ้นมาด้วยอัตราความเร็วที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน อีกทั้งไม่มีสมองของคนคู่ใดที่จะเก็บข้อมูลแบบเดียวกันไว้ในบริเวณเดียวกันในรูปแบบเดียวกัน และความฉลาดของคนเรานั้นมีอยู่มากมาย บางครั้งไม่สามารถวัดได้ด้วยแบบทดสอบวัดไอคิว

๖.คนเราไม่จดจ่อกับสิ่งที่น่าเบื่อ - ความจดจ่อของสมองสามารถพุ่งเป้าไปยังสิ่งต่างๆได้ทีละอย่างเท่านั้น ดังนั้นเราจึงไม่ควรทำอะไรหลายๆอย่างพร้อมกัน และผู้ฟังจะเลิกจดจ่อหลังจากผ่านเวลาไปสิบนาที แต่เราสามารถทำให้เขาหันมาจดจ่อได้เสมอ ด้วยการเล่าเรื่องหรือสร้างสถานการณ์ที่อบอวลไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกขึ้นมา

๗.ทบทวนซ้ำๆเพื่อให้จำได้ - ข้อมูลที่ป้อนเข้ามาในสมองจะถูกแบ่งออกเป็นชิ้นๆทันที เพื่อส่งไปเก็บเอาไว้ในส่วนที่แตกต่างกันของสมอง ยิ่งเราแปลงข้อมูลในตอนต้นอย่างละเอียดซับซ้อนมากเท่าไหร่ ความจำที่เกิดขึ้นภายหลังจะยิ่งฝังแน่นมากขึ้นเท่านั้น และเราสามารถเพิ่มโอกาสในการจดจำอะไรบางอย่างให้มากขึ้นได้ ด้วยการจำลองสภาพแวดล้อมขึ้นมาใหม่ให้เหมือนกับครั้งแรกที่ป้อนข้อมูลนั้นสู่สมอง

๘.กระตุ้นประสาทสัมผัสให้ทำงานดีขึ้น - กลิ่นมีพลังอันน่าทึ่งในการช่วยรื้อฟื้นความจำ บางทีอาจเป็นเพราะสัญญาณกลิ่นสามารถใช้ทางลัดผ่านทางทาลามัสและมุ่งตรงไปยังจุดหมายปลายทางของตัวเองได้ทันทีโดยจุดหมายที่ว่านั้นก็รวมถึงอะมิกดาลา ซึ่งเป็นสมองส่วนที่คอยกำกับดูแลอารมณ์ของเรา

๙.การมองเห็นเหนือกว่าประสาทสัมผัสทุกอย่าง - ซึ่งเป็นประสาทสัมผัสที่มีอิทธิพลมากที่สุด โดยใช้ทรัพยากรในสมองของเราไปถึงครึ่งหนึ่งของทั้งหมด และสิ่งที่เห็นเป็นเพียงสิ่งที่สมองบอกให้เราเห็นเท่านั้น มันอาจไม่ได้ตรงตามความเป็นจริงร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอไป และเราเรียนรู้และจดจำได้ดีที่สุดผ่านทางภาพ ไม่ใช่ตัวหนังสือหรือคำพูด

๑๐.เรียนหรือฟังดนตรีเพื่อเพิ่มพลังสมอง - การเรียนดนตรีอย่างจริงจังช่วยพัฒนาทักษะทางสังคม คนที่เล่นดนตรีจะสังเกตอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่นจากคำพูดได้ดีกว่า รวมถึงมีความเข้าอกเข้าใจ และมีพฤติกรรมที่ส่งผลดีต่อคนอื่นในสังคมมากกว่าด้วย แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะแตกต่างกันไปเมื่อนักวิจัยทำการศึกษากับผู้ใหญ่ นักศึกษามหาวิทยาลัย นักเรียน และเด็กทารก

๑๑.สมองของชายหญิงนั้นไม่เหมือนกัน - สมองของผู้ชายและผู้หญิงมีความแตกต่างกันทั้งในแง่โครงสร้างและการผลิตสารชีวเคมี และตอบสนองต่อความเครียดฉับพลันแตกต่างกัน โดยอะมิกดาลาในสมองซีกซ้ายของผู้หญิงทำให้จดจำรายละเอียดทางอารมณ์ได้ดีกว่า ในขณะที่ผู้ชายจะถูกกระตุ้นที่อะมิกดาลาที่สมองซีกขวา ส่งผลให้จดจำใจความสำคัญของประสบการณ์ได้ดีกว่า

๑๒.เรามีความเป็นนักสำรวจผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในสายเลือด - เราสามารถจดจำและเลียนแบบพฤติกรรมได้เพราะ "เซลล์ประสาทกระจกเงา" ซึ่งกระจายตัวอยู่ทั่วสมอง และบางส่วนของสมองผู้ใหญ่ยังอยู่ในสภาพที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอเช่นเดียวกับสมองของทารกน้อย ดังนั้น เราจึงสามารถสร้างเซลล์ประสาทขึ้นมาเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้ตลอดชีวิต

 
 

เป็นหนังสือที่ตอนแรกเราหวั่นใจว่าไม่น่าซื้อมาเลย น่าจะอ่านยาก เข้าใจยากแต่เพราะว่าไม่เห็นรีวิวหนังสือเล่มนี้ทำให้อยากรู้ว่ามันเป็นหนังสือเกี่ยกับอะไรเลยต้องหามาอ่านเอง และคิดว่าเล่ม"พลังจิตแห่งปัจจุบัน" น่าจะอ่านง่ายกว่าเลยอ่านไปก่อน ที่ไหนได้เล่มนี้อ่านง่ายมาก แม้ว่าจะมีศัพท์แสงเรียกส่วนต่างๆของสมองมากมาย แต่คนเขียนเขียนออกมาได้ดีมาก เล่าเรื่องราวได้ไหลลื่น เข้าใจง่ายเห็นภาพ ประกอบกับการยกตัวอย่างภายในเล่มก็จะใช้เรื่องเดิมตั้งแต่ต้นที่เคยเล่ามาใส่ในบทต่อๆไปให้เราเข้าใจง่ายและเชื่อมโยงกับบทก่อนหน้าเสมอ ไม่ทำให้เราสับสนหรือมีตัวอย่างอะไรมากเกินไปในเรื่องยากที่เข้าใจไปแล้ว

รวมถึงท้ายบทจะมีการสรุปออกมาเป็นข้อๆถึงเรื่องราวหลักที่เขียนไว้ โดยตัดตัวอย่างและผลงานวิจัยต่างๆออกไปทำให้มันง่ายสำหรับเราเพื่อทบทวนเรื่องหลักที่อ่านมา

เป็นหนังสือที่เรายกย่องคนเขียนจริงๆว่าเขาเขียนเรื่องยากๆให้เห็นภาพได้ชัดเจนและน่าสนใจ ตัวอย่างในเล่มก็เป็นผลงานวิจัยที่เขามั่นใจแล้วเท่านั้นถึงเอามาใส่ แล้วเขาก็ยังเป็นอาจารย์ด้วย ได้รางวัลดีเด่นซะด้วย ไม่แปลกใจเลย เพราะเราเป็นคนที่เข้าใจอะไรยากแต่ถ้าใครสอนให้เข้าใจเห็นภาพได้นี่รักสุดใจเลย และแน่นอนว่าเราก็ขอคารวะคนแปลที่แปลออกได้ราบรื่นอ่านสบายไม่ติดขัดเลย




Create Date : 21 สิงหาคม 2564
Last Update : 22 สิงหาคม 2564 15:16:50 น.
Counter : 485 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Day-afterday.BlogGang.com

สมาชิกหมายเลข 3651244
Location :
สมุทรปราการ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด