รีวิวหนังสือ "The unlikely pilgrimage of Harold Fry ความตายครั้งที่มีความหมายมากที่สุด - เรเชล จอยซ์

เรื่องราวของฮาโรลด์ ฟราย ชายวัยเกษียณ ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆของประเทศอังกฤษ กับมอรีน ภรรยาของเขา ผู้ที่เอาแต่รู้สึกหงุดหงิดกับทุกสิ่งที่สามีทำ แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้รับจดหมายที่บนซองระบุชื่อผู้ส่งว่า "ควีนนี เฮนเนสซี" ซึ่งเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานแผนกการเงินที่เคยทำงานที่โรงเบียร์กับเขา และจดหมายกล่าวว่าเธอเป็นมะเร็ง เขียนมาเพื่อบอกลาเขา ทำให้เขานึกถึงเธออีกครั้งและเขียนจดหมายตอบ ก่อนที่จะนำไปส่งที่ตู้ไปรษณีย์ แต่เมื่อเขาไปถึงหน้าตู้กลับพบว่ามันดูเล็กน้อยเหลือเกิน เขาควรทำอะไรมากกว่านี้เพื่อเธอ

ระหว่างการเดินทางเขาได้พบเด็กสาวที่ร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมันซึ่งเป็นคนคิดเงิน และเป็นคนที่ทำให้เขาเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าในการเดินเพื่อควีนนี เพราะเธอเล่าว่าป้าเธอก็ป่วยเป็นมะเร็ง และสิ่งสำคัญคือแค่ต้องมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ แค่ต้องเชื่อว่าใครคนหนึ่งจะอาการดีขึ้นได้ ถ้ามีศรัทธาซะอย่างเราก็จะทำได้ทุกอย่าง ต้องเชื่อว่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อได้ยินอย่างนั้นเขาจึงตัดสินใจโทรไปหาศูนย์ดูแลตามหน้าซองจดหมายที่เขาได้รับ ตัดสินใจว่าจะเดินเพื่อไปลาเธอด้วยตัวเองถึงเมืองเบอริกซึ่งเป็นระยะทางถึงหกร้อยไมล์ทางเหนือของอังกฤษด้วยรองเท้าแล่นเรือ และให้เจ้าหน้าที่บอกเธอด้วยว่าให้รอเขาก่อน เขากำลังเดินไปหา

ซึ่งระหว่างการเดินทางเขาก็ต้องพบความลำบากมากมายทั้งจากการเดินทางระยะไกลโดยไม่มีอุปกรณ์ใดๆที่จำเป็นต้องมีสักอย่าง การเดินหลงทางทำให้เสียเวลาบ้าง ความเหนื่อยยากจากร่างกายที่อายุมากและแทบไม่เคยออกกำลังกายของเขา ความหิว และผู้คนแปลกหน้ามากมายที่สงสัยในการกระทำของเขา ซึ่งระหว่างการเดินทางเขาจะคอยโทรหามอรีนเสมอว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนแล้ว แต่หลายครั้งที่เขามักไม่กล้าโทรหาเธอเพราะกลัวว่าเธอจะพูดอะไรที่ทำให้เขาถอดใจจนเดินไปไม่ถึง และเวลาที่เขาโทรหาเธอก็มักพูดว่ายุ่งเสมอเพื่อเป็นการตัดสายเหมือนไม่รู้ว่าทั้งคู่จะคุยอะไรกันดี ซึ่งมันเป็นมานานแล้วตั้งแต่ที่พวกเขาผิดใจกันเรื่องลูกชายในวันหนึ่งและเธอคิดว่าเขาทำผิด เขาทำหน้าที่พ่อได้ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น นั่นทำให้เธอพูดกับเขาน้อยลงเรื่อยๆจนกระทั่งแทบไม่ได้พูดอะไรกันเลยแล้วตัดสินใจแยกห้องนอนกับเขา

และระหว่างการเดินทางฮาโรลด์ก็ได้ย้อนนึกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวของเขาที่แม่ตัดสินใจทิ้งเขาไว้กับพ่อที่ไม่ได้รักเขาเลย และเธอก็รู้ดีแต่เธอก็บอกว่าต้องการไปมีชีวิตของตัวเอง นี่ไม่ใช่ชีวิตอย่างที่เธอต้องการ ความรู้สึกในวัยเด็ก สิ่งที่เขาพบเจอ จนกระทั่งวันที่เขาได้พบกับมอรีน ได้หลงรักเธอและได้มาเป็นครอบครัวเดียวกันจนกระทั่งมีลูก ช่วงเวลาที่เธอเคยมีชีวิตชีวาและความรักของพวกเขายังดีอยู่ และลูกชายของพวกเขาที่เขาคิดว่าเขาเป็นพ่อที่ดีพอหรือยังสำหรับลูกชาย และโดยเฉพาะช่วงเวลาการทำงานที่โรงเบียร์ร่วมกับควีนนี หญิงสาวร่างใหญ่ที่กลายมาเป็นเพื่อนกับเขา เธอคือเพื่อนที่ดีมากแต่เขากลับไม่ได้ติดต่อหาเธอเลยหลังเกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้น และเธอก็เข้ามารับผิดชอบเรื่องราวต่างๆให้ ความรู้สึกผิดหวังท่วมท้นใจของเขาไปหมด

ช่วงเวลาระหว่างการเดินทำให้เขาได้คิดทบทวนเรื่องราวมากมายในชีวิตตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันที่ดูเหมือนความสัมพันธ์แย่ลงเรื่อยๆ และการเดินทางยังทำให้เขาได้พบกับผู้คนมากหน้าหลายตาที่เข้ามาในชีวิตทำให้ได้พบมิตรภาพที่สวยงามที่ไม่คิดว่าจะได้พบเจอ เช่น คุณหมอที่ลี้ภัยมาแต่กลับต้องมาทำงานทำความสะอาดเท่านั้น เพราะไม่ได้รับการยอมรับ แต่ก็ได้ใช้อาชีพที่แท้จริงของเธอในการดูแลและรักษาเท้าของฮาโรลด์ รวมถึงได้มอบของใช้สำหรับการเดินทางของแฟนเธอให้กับเขา หรือไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนที่ได้ข่าวจากการออกสื่อของเขาเรื่องการเดินเพื่อควีนนีที่ขอมาร่วมเดินทางกับเขา 

ซึ่งระหว่างทางเขาได้ทั้งการทบทวนตัวเอง ได้มิตรภาพ ความช่วยเหลือ ได้รับรู้เรื่องราวของผู้คนมากมายที่ได้เล่าเรื่องราวที่น่าสนใจและบางเรื่องก็น่าเศร้า ได้พบเจอผู้คนที่แตกต่างและประสบการณ์จากคนที่มาร่วมเดินทางทั้งดีและร้าย แต่สิ่งที่สำคัญคือเขาได้ค้นพบคำตอบ และหลุดพ้นจากความหม่นหมองที่มีในใจมานานแสนนาน เกิดการยอมรับและอภัยซึ่งกันและกัน


เป็นหนังสือที่เราอยากอ่านมานานแล้ว พอได้อ่านก็ชอบเลย มันสมจริงดี มีความใจฟูตอนที่ระหว่างการเดินทางฮาโรลด์ได้พบบ้านเมือง วิว ทิวทัศน์ที่ไม่เคยได้สนใจมาก่อนตลอดชีวิต ได้พบเจอมิตรภาพกับผู้คนรายทาง แล้วก็ได้ความสมจริงว่าคนก็ไม่ได้ดีไปทั้งหมดมีคนที่เข้ามาเพราะหวังผลก็มี และในการเดินทางก็มีวันที่ดีอากาศเป็นใจ ร่างกายสู้ไหว แล้วก็ต้องมีวันที่ฝนตก ร่างกายอ่อนแรง บาดเจ็บเกินกว่าจะอยากเดินต่อไป แล้วในเรื่องเราก็จะได้เห็นความสัมพันธ์ของฮาโรลด์กับครอบครัวทั้งพ่อ แม่ ของตัวเอง กับมอรีน ลูกชาย ที่อ่านแล้วสงสารมากที่เขาต้องเจอและแบกรับอะไรขนาดนี้ แล้วก็ชอบปมต่างๆของเรื่องและการคลี่คลายที่แต่ละเรื่องสร้างอารมณ์ให้เรื่องราวได้มากเลย แล้วก็ชอบมอรีนมากที่สุดท้ายก็เลิกโกหกข้างบ้านสักทีว่าฮาโรลด์ยังอยู่ที่บ้านทั้งที่เพื่อนบ้านรู้แต่แรกแล้วว่าเขาไป แล้วทำให้เรื่องราวไม่หนักเกินไปเพราะระหว่างที่ฮาโรลด์ไม่อยู่ มอรีนก็ค่อยๆได้ใช้เวลาทบทวนความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเขาและเห็นอะไรอย่างแท้จริง ไม่ได้ถูกความผิดหวังหรืออารมณ์ใดๆมาบิดเบือน



ประโยคที่เราชอบจากหนังสือค่ะ

"มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ให้เต็มที่"
"โลกสร้างขึ้นจากผู้คนที่วางเท้าข้างหนึ่งลงตรงหน้าเท้าอีกข้าง และชีวิตอาจดูปกติธรรมดา เพียงเพราะผู้ที่เป็นเจ้าของชีวิตนั้นๆทำอย่างนั้นมาเนิ่นนาน ฮาโรลด์ไม่อาจเดินผ่านคนแปลกหน้าได้อีกต่อไปโดยไม่รับรู้ถึงความจริงที่ว่า ทุกคนล้วนเหมือนกัน ทั้งยังมีความพิเศษเฉพาะตัว และนี่คือความยากลำบากในการเป็นมนุษย์"
"เขาเห็นว่าเมื่อใครคนหนึ่งห่างไกลจากสิ่งที่ตนคุ้นเคย และเป็นคนผ่านทาง สิ่งแปลกประหลาดต่างๆจะกลายเป็นความสำคัญอย่างใหม่ และการรับรู้ในข้อนี้ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เขาได้ทำตามสัญชาตญาณอย่างแท้จริง ซึ่งทำให้เขาเป็นฮาโรลด์ที่ต่างจากคนอื่น"
"ไม่มีใครน่ากลัวเกินไปนักหากคุณหยุดและรับฟังพวกเขา"



Create Date : 06 ตุลาคม 2566
Last Update : 26 ตุลาคม 2566 12:40:34 น.
Counter : 103 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Day-afterday.BlogGang.com

สมาชิกหมายเลข 3651244
Location :
สมุทรปราการ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด