ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง
Group Blog
 
All Blogs
 

อย่ารอให้เหลือน้อยกว่าเดิม

เมื่อตอนเด็ก มีอยู่ครั้งหนึ่งผมตามคุณปู่เข้าป่าไปดักไก่ป่า คุณปู่สอนให้ผมใช้เครื่องมือจับสัตว์ มันคล้ายกับลังใบหนึ่ง ใช้ไม้อันหนึ่งค้ำเอาไว้ เอาเชือกผูกติดกับไม้แล้วโยงยาวมาที่พุ่มไม้ที่ผมซ่อนตัวอยู่ ขอเพียงไก่ป่าถูกล่อด้วยเมล็ดข้าวโพดที่โปรยไว้ จิกกินมาตามทาง ก็จะเดินเข้ามาในลังเอง ผมเพียงแต่กระตุกเชือกก็สำเร็จแล้ว
ค้ำไม้กับปากลังเสร็จแล้ว ซ่อนตัวอยู่ไม่นานนัก ก็มีไก่ป่าฝูงหนึ่งบินมา มีทั้งหมด 9 ตัว ประมาณว่าคงอดมานาน ชั่วครู่เดียวก็มีไก่เดินเข้าในลัง 6 ตัว ผมกำลังจะกระตุกเชือก พลันคิดว่าที่เหลืออีก 3 ตัวก็คงจะเดินเข้ามาในลังแน่ รอหน่อยดีกว่า รออยู่สักครู่ 3 ตัวนั้นมิเพียงไม่ได้เดินเข้าไป แต่กลับเดินออกมา 3 ตัว ผมนึกเสียใจ บอกกับตัวเองว่า ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเข้าไปอีกตัวเดียวก็กระตุกเชือกเลย จากนั้นก็เดินออกมาอีก 2 ตัว ถ้าหากกระตุกเชือกตอนนี้ ยังสามารถจับได้ 1 ตัว แต่ผมรู้สึกเสียดายโอกาสดีที่เสียไป คิดในใจว่า คงจะมีบางตัวที่เดินกลับเข้าไปกระมัง ในที่สุด แม้แต่ตัวสุดท้ายที่เหลือก็เดินออกจากลังไป
ครั้งนั้น ไก่ป่าแม้แต่ตัวเดียวผมก็จับไม่ได้ แต่กลับจับได้เหตุผลข้อหนึ่งที่มีประโยชน์ชั่วชีวิต ความต้องการของคนไม่มีวันพอ โอกาสเพียงปล่อยไปนิดเดียวก็หลุดมือ ความโลภไม่เพียงทำให้ผมไม่สามารถได้มามากขึ้น กระทั่งแม้แต่ของที่มีอยู่เดิมก็เสียไปด้วย
*** คนที่เคยเล่นหุ้นมาแล้วจะเข้าใจนิทานเรื่องนี้ได้ลึกซึ้ง เมื่อหุ้นในมือเริ่มทำกำไรนั้น คิดว่าคงจะขึ้นไปได้อีก รอหน่อยน่ะ ตอนที่มันดิ่งลงนั้น คิดว่าหลายวันก่อนอยู่ที่จุดสูงกว่านี้ยังไม่ขาย ขายตอนนี้ก็ได้กำไรนิดเดียว รอให้ขึ้นกว่านี้ค่อยขายแล้วกัน สุดท้ายต้องติดหุ้นแหงก นี่คือเหตุผลเดียวกัน
*****




 

Create Date : 08 ตุลาคม 2553    
Last Update : 8 ตุลาคม 2553 7:54:55 น.
Counter : 445 Pageviews.  

นายพลกลายเป็นนายพัน

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง นายพลโซเวียตคนหนึ่งที่เพิ่งกลับจากเบิอร์ลินมาถึงมอสโคว์เข้ารายงานข้อมูลหน้าที่การงานต่าง ๆ กับสตาลิน สตาลินพึงพอใจมาก ชื่นชมและยกย่องเขาเป็นการใหญ่
จบการรายงาน นายพลยังคงนั่งอยู่กับที่ อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ สีหน้าแสดงท่าทางที่ลำบากใจ สตาลินถามอย่างเอาใจใส่ว่า
“ สหายนายพล คุณยังมีปัญหาอะไรหรือ ”
“ ผมมีปัญหาส่วนตัวเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ทราบว่าจะบอกคุณอย่างไร........ ”
“ เชิญพูดมาเลย ”
นายพลลังเลครู่หนึ่ง พูดว่า “ ผมนำของที่ชื่นชอบจากเยอรมันกลับมาจำนวนหนึ่ง ถูกสถานีตรวจตราที่ชายแดนอายัดเอาไว้ หากเป็นไปได้ ผมจะขอร้องให้พวกเขาคืนให้ผมด้วย ครับ ”
“ ได้ คุณช่วยเขียนรายการมาด้วย ”
นายพลรีบล้วงเอารายการของที่ถูกอายัดจากกระเป๋าที่เขาเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วแต่แรกออกมา สตาลินเซ็นต์อนุมัติให้คืนของตามจำนวนทันที
นายพลกล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า สตาลินบอกว่า “ ไม่จำเป็น ”
นายพลอ่านดูหนังสือที่เซ็นต์อนุมัติอย่างละเอียด พบว่าในเอกสารดังกล่าวสรรพนามที่เรียกเขานั้นไม่ใช่ “ นายพล ” แต่เป็น “ นายพัน ” จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ สหายสตาลิน ตรงนี้คุณเขียนผิดกระมังครับ ”
“ ไม่ ไม่ เขียนถูกต้องทีเดียว แบบนี้พวกเราแลกเปลี่ยนกันอย่างยุติธรรมดี สหายนายพัน ”
*** ของฟรีไม่มีในโลก สิ่งที่ได้มาล้วนต้องมีค่าตอบแทน ปัญหาอยู่ที่ว่าจะเอาอะไรมาแลกกับอะไร

*****




 

Create Date : 07 ตุลาคม 2553    
Last Update : 7 ตุลาคม 2553 7:47:45 น.
Counter : 406 Pageviews.  

ขัดรองเท้าของใคร

ในขณะที่ลินคอร์นกำลังขัดรองเท้าหนังของตัวเองอยู่นั้น มีข้าราชการกระทรวงต่างประเทศคนหนึ่งเดินมาหาเขา
“ ทำไมหรือครับ ท่านประธานาธิบดีถึงกับขัดรองเท้าของตัวเอง “
“ ถูกต้องครับ “ ลินคอร์นตอบ “ ถ้าเช่นนั้นคุณขัดรองเท้าของใครหรือครับ “
*** ความหมายของข้าราชการต่างประเทศคือ คุณเป็นถึงประธานาธิบดี ทำไมยังต้องขัดรองเท้าให้ตัวเองอีก ลินคอร์นเข้าใจว่าเขากำลังหมายความว่าอย่างไร แต่ประธานาธิบดีสามัญชนคนนี้ก็ไม่อธิบายว่ากระไร แต่พูดติดตลกเหมือน “ ไม่เข้าใจ “ ในความหมายของข้าราชการต่างประเทศ จึงเน้นไปที่จุดขัดรองเท้าของ “ ตัวเอง “ ทำไมหรือ หรือคุณจะขัดรองเท้าผู้อื่น ?

*****




 

Create Date : 06 ตุลาคม 2553    
Last Update : 6 ตุลาคม 2553 7:58:35 น.
Counter : 600 Pageviews.  

สวรรค์กับนรก

สมัยก่อน ญี่ปุ่นมีพระเซนรูปหนึ่งชื่ออาจารย์ไป๋อิ่น เป็นที่เลื่อมใสของชาวบ้าน มีวันหนึ่ง ขุนนางผู้มีราชศักดิ์มากราบท่านด้วยความศรัทธา ขอคำชี้แนะในความหมายของพระธรรม
ขุนนางผู้นี้เมื่อได้พบกับอาจารย์เซนไป๋อิ่นแล้ว ถามอาจารย์ด้วยความนอบน้อมยิ่งว่า “ ได้ยินคนพูดกันว่า หากทำดีก็จะได้ขึ้นสวรรค์ หากทำชั่วก็จะต้องตกนรก แต่ว่าตอนนี้ข้าพเจ้ายังอยู่ในโลกมนุษย์ ไม่เห็นสวรรค์เบื้องบน และก็ไม่เห็นนรกเบื้องล่าง ท่านอาจารย์จะสามารถแสดงให้ปรากฎแก่ข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้าเชื่อได้อย่างแท้จริงว่าสวรรค์และนรกนั้นมีอยู่จริงได้หรือไม่ “
อาจารย์เซนไป๋อิ่นเมื่อได้ฟังเขาพูดจบแล้ว แสดงสีหน้าที่รำคาญใจอย่างยิ่ง จากนั้นก็เริ่มต้นด่าว่าขุนนางผู้นี้ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ขุนนางถูกด่าว่าอย่างไม่มีสาเหตุ หน้าตาแดงก่ำทันที โมโหเลือดพล่านกำลังจะอ้าปากตอบโต้อยู่นั้น อาจารย์พูดขึ้นทันทีว่า “ ตอนนี้แหละท่านกำลังตกอยู่ในนรกแล้ว “ ขุนนางได้ฟังดังนั้น ตื่นรู้และเข้าใจทันที รีบคุกเข่าลงต่อหน้าอาจารย์เซนและพูดว่า “ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าอาจารย์กำลังชี้แนะ ช่างเสียมารยาทจริง ๆ “
อาจารย์เซนไป๋อิ่นพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “ ถูกต้องแล้ว และนี่ก็คือสวรรค์ “

*** หากใจคิดร้าย ก็คือนรก มีใจใฝ่ดี ก็คือสวรรค์

*****




 

Create Date : 05 ตุลาคม 2553    
Last Update : 5 ตุลาคม 2553 7:09:08 น.
Counter : 425 Pageviews.  

เมื่อเราหว่านพืช

สมัยที่ผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย มีนักเรียนเกเรที่อยู่ชั้นมัธยมต้นคนหนึ่งใช้หมัดชกเข้าที่ท้องของผม เขามิเพียงทำร้ายร่างกายผม ทำให้ผมโกรธ แต่ยังทำเอาผมรู้สึกถูกหยามจนอับอายอีกด้วย ผมคิดจะต่อสู้กับเขาแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ผมเตรียมการไว้ว่าวันรุ่งขึ้นจะให้เขาได้ลองลิ้มรสของโซ่จักรยานสักหน่อย
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผมเล่าเรื่องนี้ให้คุณย่าฟัง ------นี่คือข้อผิดพลาดอย่างยิ่ง ------เพราะคุณย่าฟังแล้วกล่าวคำปาฐกถากับผมราวหนึ่งชั่วโมง ( ผู้หญิงช่างพูดเก่งจริง ๆ ) คำปฐกถาของคุณย่าเป็นยาดีที่ขมปาก แต่ผมเพียงจำได้เลือนลางในคำบอกของย่า ผมไม่ต้องการให้เขามารังควานผมอีก
คุณย่าบอกว่า “ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ” ผมตอบคุณย่าอย่างมีมารยาทว่าคำพูดของย่านั้นไม่ผิด แต่ผมทำดีมาโดยตลอด ผลตอบแทนของผมกลับแย่มาก แต่คุณย่ายังคงยืนยันจุดยืนของท่าน ย่าพูดว่า
“ ผลแห่งกุศลกรรมต้องมาถึงสักวัน และผลแห่งกรรมชั่วที่ทำก็ต้องได้รับการตอบสนองสักวันเหมือนกัน ”
เวลาผ่านไป 30 ปี ผมจึงจะเข้าใจภูมิปัญญาในคำพูดของย่า ย่าอาศัยอยู่ในสถานพักฟื้นในชนบทแห่งหนึ่ง ทุก ๆ วันอังคารผมจะไปเยี่ยมย่า พาท่านไปทานอาหารเย็น ผมมักจะเห็นท่านแต่งตัวอย่างเรียบร้อยนั่งบนเก้าอี้ที่ใกล้กับประตู ผมจำได้อย่างชัดเจนว่ามื้ออาหารค่ำคืนก่อนที่ย่าจะเข้าอยู่ในสถานพักฟื้นนั้น พวกเราขับรถมายังร้านอาหารสไตล์ครอบครัวเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ผมสั่งเนื้ออบให้ย่า และสั่งแฮมเบอร์เกอร์ให้ตัวเอง หลังจากอาหารยกมาแล้วพวกเราก็เริ่มลงมือรับประทาน แต่ย่ากลับนั่งเฉย ท่านได้แต่จ้องมองอาหารในจาน ผมยกจานของผมออก แล้วยกจานของย่ามาไว้ข้างหน้า ใช้มีดหั่นเนื้อออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วเลื่อนจานไปที่ย่าอย่างเดิม
ขณะที่ท่านส่งก้อนเนื้อเข้าปากอย่างอ่อนแรงและยากลำบากนั้น ทันใดผมนึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง น้ำตาคลอเบ้าจนนัยตาพร่ามัว สี่สิบปีก่อน ตอนที่ผมยังเป็นเด็กชายอยู่นั้น คุณย่าก็มักจะหั่นเนื้อในจานของผมออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อให้ผมสามารถเคี้ยวกินได้ ผ่านไปแล้วสี่สิบปี คุณย่าพูดถูก ทำดีได้ดี สิ่งที่เราเก็บเกี่ยวก็คือสิ่งที่เราหว่านออกไป “ กระทำกรรมดีต้องได้รับการตอบแทนในที่สุด ”
เด็กเกเรที่อยู่ชั้นมัธยมต้นล่ะ ตอนมัธยมปลายเขาก็ยังคงเกเรต่อไป
*** คนมักพูดว่า คำพูดจากใจจริงมักจะแสลงหู คำพร่ำบ่นของย่าถึงแม้จะน่ารำคาญ-----ปฐกถาหนึ่งชั่วโมง-----อาจจะเป็นเรื่องที่มักเกิดขึ้น แต่เรื่องเล่าจากประสบการณ์ของท่านเหล่านั้นมีประโยชน์อย่างยิ่ง ขอให้อดทนฟังด้วยเถิด

*****




 

Create Date : 04 ตุลาคม 2553    
Last Update : 4 ตุลาคม 2553 8:04:30 น.
Counter : 484 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  

syrubbocaboro
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add syrubbocaboro's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.