ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง
Group Blog
 
All Blogs
 
คนที่พึ่งได้

ครูกัวไข้สูงมาก ดูจากฟิล์มเอกซเรย์เห็นเงาของก้อนเนื้อใหญ่ประมาณกำปั้นมือ สงสัยว่าจะเป็นเนื้องอก
เพื่อนร่วมงานต่างพากันไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล ผู้ที่ไปเยี่ยมกลับมาแล้วพูดว่า “ มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อหวังรุ่ย รีบเดินทางจากปักกิ่งมาที่ถางซานเยี่ยมครูกัว ไม่รู้ว่าหล่อนเป็นอะไรกับครูกัว ” ยังมีคนพูดว่า “ คนที่ชื่อหวังรุ่ยนี่ไม่ธรรมดาเลยล่ะ แต่เช้ายันค่ำเฝ้าอยู่หน้าเตียงของครูกัว ป้อนข้าวป้อนน้ำยังเทกระโถนฉี่ให้อีก ดูท่าทางความสัมพันธ์ของหล่อนกับครูกัวคงไม่ธรรมดาแน่เลย ” ด้วยเหตุนี้คนที่ไปเยี่ยมครูกัวมักจะมีเรื่องราวบางอย่างที่เกี่ยวกับหวังรุ่ยนำกลับมาเล่าเกือบทุกวัน ถ้าไม่เล่าว่าเวลาหล่อนวัดไข้ให้ครูกัวนั้นศรีษะแทบจะชนกันอยู่แล้ว ก็จะเล่าว่าเธอมักจะหันหลังแล้วน้ำตาร่วง และยังมีคนเล่าเรื่องที่เหลือเชื่อกว่านั้นอีกว่า ครูกัวและหวังรุ่ยถือตะเกียบคนละอันเคาะกล่องข้าวเล่น หวังรุ่ยเคาะกี่ที ครูกัวก็จะเคาะแค่นั้นที เคาะไปเคาะไปทั้งคู่ก็ร้องไห้และหัวเราะกันไป คนที่ละเอียดอ่อนกว่าหน่อยยังสังเกตุเห็นว่า เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างครูกัวกับหวังรุ่ยนั้น คนรักของครูกัวไม่รู้สึกหึงหวงแม้แต่น้อย ดังนั้น มีคนแสดงอาการอิจฉาอย่างไม่ปิดบังต่อวาสนาด้านความรักของครูกัว
สิบกว่าวันต่อมา โรคของครูกัวได้รับการวินิจฉัยอย่างแน่นอนแล้วว่าไม่ใช่เนื้องอกแต่อย่างใด ไม่นาน ครูกัวก็กลับมาทำงานอย่างสดชื่นเบิกบาน มีคนถามถึงเรื่องของหวังรุ่ย
ครูกัวเล่าว่า “ หวังรุ่ยคือเพื่อนบ้านของผมเมื่อสมัยก่อน เมื่อครั้งแผ่นดินไหวครั้งใหญ่หวังรุ่ยติดอยู่ใต้ตึกที่สลักหักพัง พื้นตึกแผ่นใหญ่ซ้อนเป็นชั้น ๆ อยู่ข้างบน หวังรุ่ยร้องไห้อยู่ใต้ตึก เพื่อนบ้านหาชะแลงมาช่วยกันงัดพื้นตึก แต่งัดอย่างไรก็ไม่ขยับ จึงบอกว่ารอให้รถยกมาช่วยยก หวังรุ่ยร้องไห้อยู่ใต้ตึกจนเสียงแหบเสียงแห้ง------เธอหวาดกลัวมาก ศพของพ่อแม่เธออยู่ข้าง ๆ ตัวเธอ ฟ้ามืดแล้ว ผู้คนต่างลือกันว่าแผ่นดินกำลังจะถล่ม ดังนั้นจึงต่างหนีเอาตัวรอด มีเพียงผมไม่ไปไหน บ้านของผมมีเพียงผมคนเดียวที่รอดชีวิต ผมถือว่าหวังรุ่ยเป็นคนที่ผมพึงพึ่งได้ ก็เหมือนกับที่หวังรุ่ยพึ่งผมเช่นกัน ผมตะโกนลงไปยังรอยแยกของพื้นตึกว่า หวังรุ่ย ฟ้ามืดแล้ว ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอบนนี้ เธอไม่ต้องกลัว…. ตอนนี้พวกเราหาอิฐมาคนละก้อน เธอเคาะอยู่ข้างบน ฉันจะเคาะอยู่ข้างล่าง เธอเคาะกี่ครั้ง ฉันก็จะเคาะเท่านั้นครั้ง------เอาล่ะ เริ่มเลย เธอเคาะตังตัง ผมก็จะเคาะตังตัง เธอเคาะตังตังตัง ผมก็จะเคาะตังตังตัง.......เสียงจากข้างล่างค่อยลง ๆ และขาดหายไป ผมก็สะลึมสะลือและหลับไปในที่สุด ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เสียงเคาะจากข้างล่างดังขึ้นมาทันใด ผมรีบหาก้อนอิฐมาเคาะรับเสียงที่ฟังดุจการขอความช่วยเหลือ หวังรุ่ยตะโกนเรียกชื่อของผมด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ และสะเทือนใจจนร้องไห้ออกมา วันรุ่งขึ้น รถยกมาแล้ว หวังรุ่ยได้รับการช่วยเหลือ-------ปีนั้น หวังรุ่ยอายุ 11 ปี ส่วนผมอายุ 19 ปี ”
เพื่อนร่วมงานหญิงต่างซาบซึ้งตื้นตัน เพื่อนร่วมงานชายไม่ปริปากได้แต่อัดบุหรี่ มิตรภาพที่ใสบริสุทธิ์เบื้องหน้าความตายเช่นนี้ ผู้คนรู้สึกสำนึกและละอายใจที่ตนกลับมีจิตใจสามานย์ เห็นภาพและเข้าใจกันไปเองอย่างผิดๆ และก็ด้วยเวลาเพียงสั้น ๆ นี้ ทุกคนเข้าใจในบัดดล ชีวิตจริงของคนเราน่าหลงไหลกว่ามโนภาพโรมานส์ที่วาดฝันกันขึ้นมาเอง
***ในชีวิตจริงอาจจะมีส่วนที่สามานย์อยู่จริง ๆ แต่คุณอย่าได้เปลี่ยนชีวิตให้สามานย์เลยทีเดียว
*****




Create Date : 20 พฤษภาคม 2554
Last Update : 20 พฤษภาคม 2554 7:23:54 น. 0 comments
Counter : 435 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

syrubbocaboro
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add syrubbocaboro's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.