ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง
Group Blog
 
All Blogs
 

พลังแห่งการให้อภัย

การให้อภัยเป็นคุณธรรมที่ดีงามอย่างหนึ่งโดยแท้จริง
การให้อภัยอย่างอบอุ่นทำให้ผู้คนยากแก่การลืมเลือนจริง ๆ
ขอให้เราลองมาดูตัวอย่างสองเรื่องนี้
บนรถเมล์โดยสารผู้คนเบียดเสียดกันแน่น สตรีผู้หนึ่งเหยียบเข้าที่เท้าของชายคนหนึ่งอย่างแรงจนเขารู้สึกเจ็บ เธอรีบกล่าวคำขอโทษด้วยใบหน้าแดงเรื่ออย่างเกรงใจว่า “ ขออภัยด้วยค่ะที่เหยียบถูกคุณ ” ไม่คาดว่าชายผู้นั้นยิ้ม ๆ พูดว่า “ ไม่ ไม่ ผมต้องขอโทษคุณจึงจะถูก ขาของผมก็ดูไม่ดีอยู่แล้ว ” เสียงหัวเราะของผู้คนบนรถดังกระหึ่มทันที เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการแสดงความชื่นชมต่อความสุภาพและมีอารมณ์ขันของชายผู้นั้น และผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จะไม่ต้องสงสัยเลยว่าการให้อภัยที่งดงามเช่นนี้จะเหลือไว้ซึ่งความทรงจำที่สวยงามแก่สตรีผู้นี้ตราบนานเท่านาน
สตรีผู้หนึ่งขาดความระมัดระวังลื่นล้มลงที่พื้นไม้ที่สวยสะอาดของร้านค้าแห่งหนึ่ง ขนมเค็กในมือของเธอทำให้พื้นไม้ในร้านเปรอะเปื้อนไปหมด เธอยิ้มให้เถ้าแก่เจ้าของร้านด้วยความรู้สึกเกรงใจ ไม่คาดว่าเถ้าแก่จะพูดว่า “ ต้องขออภัย ผมต้องกล่าวคำขออภัยแทนพื้นของเราจริง ๆ มันคงชอบกินขนมเค็กของคุณแน่ ๆ เลย ” ดังนั้น สตรีผู้นี้หัวเราะออกมาได้ เธอหัวเราะอย่างสดใสทีเดียว และในเมื่อจิตใจอันเร่าร้อนของเถ้าแก่ทำให้เธอสะเทือนใจ เธอจึงรีบตัดสินใจตอบแทนเขาโดยการซื้อสินค้าหลายอย่างจากร้านของเขาก่อนออกจากร้านไป
ใช่แล้ว นี่ก็คือการให้อภัย-----มันหวานชื่น สวยงาม อบอุ่น สนิทสนม และสว่างไสว
มันคือแสงแดด มีใครที่จะปฎิเสธแสงแดดได้เล่า
และแล้วก็คิดถึง Churchill อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ
สงครามโลกครั้งที่สองยุติลงไม่นาน ในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง เขาพ่ายแพ้ไม่ได้รับเลือก เขาเป็นนักการเมืองที่เลื่องชื่อทั้งในและต่างประเทศ กล่าวสำหรับเขาแล้ว ความพ่ายแพ้น่าจะป็นเรื่องลำบากมากอย่างแน่นอน แต่จิตใจของเขากลับสงบมาก ขณะนั้นเขากำลังว่ายน้ำอยู่ในสระน้ำของบ้านเขาเอง เลขาของเขาวิ่งกระหืดกระหอบมารายงานให้เขาทราบว่า “ แย่แล้ว ท่าน Churchill ครับ ท่านแพ้การเลือกตั้งครับ ” ไม่คาดคิดว่า Churchill กลับหัวเราะอย่างเบิกบานแล้วพูดว่า “ ดีมากทีดียว นี่แสดงว่าพวกเราชนะแล้ว สิ่งที่พวกเราแสวงหาก็คือประชาธิปไตย ประชาธิปไตยชนะแล้ว หรือว่าไม่ควรค่าแก่การยินดีเฉลิมฉลอง วานเพื่อนส่งผ้าขนหนูให้ผมหน่อย ผมควรจะขึ้นจากสระได้แล้ว ”
ต้องนับถือ Churchill จริง ๆ ช่างดูใจเย็น มีสติสัมปชัญญะ คำพูดเพียงคำเดียวก็แสดงออกถึงบุคคลิกภาพของนักการเมืองที่มีจิตใจกว้างขวางและสง่างามอีกครั้งได้อย่างยอดเยี่ยม
ยังมีอีกครั้งหนึ่งระหว่างงานเลี้ยงเหล้า หญิงผู้หนึ่งซึ่งเป็นศัตรูทางการเมืองถือแก้วเหล้าเดินมาทาง Churchill และชี้มาที่แก้วเหล้าของ Churchill พูดว่า “ ฉันเกลียดคุณ ถ้าหากฉันเป็นภรรยาของคุณ ฉันจะต้องใส่ยาพิษในแก้วเหล้าของคุณแน่ ” เห็นได้ชัดว่านี่คือคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยความแค้นที่ท้าทาย แต่ Churchill ยิ้มๆ พูดอย่างเป็นมิตรว่า “ คุณวางใจได้ ถ้าหากผมเป็นสามีของคุณ ผมจะต้องดื่มมันจนหมดแก้วแน่นอน ” สุดยอด ช่างใจเย็นไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ในเมื่อคำพูดของคุณเป็นเพียงเรื่องสมมุติมิใช่หรือ ผมก็สมมุติต่อไปด้วยไม่เห็นเป็นอย่างไร และแล้วการสมมุติเช่นนี้ได้ให้ภาพพจน์ที่ให้อภัยอย่างยิ่งแก่ฝ่ายตรงข้าม และให้การชี้แนะที่สำคัญมากแก่ผู้คนทั้งหลายว่า-----ที่แท้การเข่นฆ่ากันอย่างเอาเป็นเอาตายนั้นเป็นได้ทั้งในรูปของศาตราวุธ และยิ่งกว่านั้นยังมาในรูปของใบหน้าที่ยิ้มแย้มเบิกบาน
ถูกต้อง นี่คือการให้อภัย เป็นสติปัญญา เป็นความชาญฉลาด
คำโบราณว่าไว้ ใจกว้างจึงยิ่งใหญ่ เปรียบเหมือนทะเล ก็เพราะมันยอมรับได้กับแม่น้ำลำธารทั้งหมดอย่างนอบน้อมยิ่ง จึงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่อลังการของโลก
ใจกว้างให้เหมือนทะเลเถิด นั่นหาใช่จนใจ แต่คือพลัง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ใยจึงไม่ให้อภัย------แม้ขณะที่ช่วงชิงกับคู่ต่อสู้
*****






 

Create Date : 24 มิถุนายน 2554    
Last Update : 24 มิถุนายน 2554 8:13:09 น.
Counter : 511 Pageviews.  

คำโกหกที่ซื่อสัตย์

มีเด็กวัยรุ่นที่ซุกซนคนหนึ่งมาสารภาพบาปกับบาทหลวงว่า “ คุณพ่อครับ ผมขโมยไก่ของผู้อื่นมาตัวหนึ่งครับ ”
บาทหลวงรู้สึกประหลาดใจพูดว่า “นี่เป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง เธอผิดศีลข้อลักขโมย ”
“ พ่อครับ ถ้าอย่างนั้นผมมอบไก่ตัวนี้ให้พ่อ ดีไหมครับ ”
“ โอ พ่อไม่เอาหรอก เจ้ารีบนำไก่ไปคืนให้กับเจ้าของเดิม ”
“ ถ้าหากเจ้าของบอกว่าไม่เอาแล้ว ผมจะต้องทำอย่างไรดีครับ ”
บาทหลวงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “ ถ้าหากเจ้าของไม่เอาแล้ว งั้นเธอก็เอากลับบ้านไปก็แล้วกัน ต่อไปคราวหน้าอย่าไปลักขโมยอีกเป็นอันขาด ”
วัยรุ่นผู้นี้ดีใจมากแล้วกล่าวอำลาบาทหลวงจากไป
บาทหลวงกลับมาถึงบ้านตนเอง พบว่าแม่ไก่ที่เขาเลี้ยงจนอ้วนใหญ่ตัวนั้นได้หายไปแล้ว
“ ฉันไม่น่าตกหลุมพรางเจ้าตัวแสบนั่นเลย ” บาทหลวงพูดด้วยความโกรธ
***ไม่มีใครปกปิดความจริงได้ตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นผู้ที่พูดโกหกรังแต่จะทำให้ตัวเองไม่มีความสุข เพราะว่าจะต้องคอยระวังตลอดเวลาว่าคำโกหกของตนนั้นจะถูกเปิดโปงเข้าสักวัน
*****




 

Create Date : 22 มิถุนายน 2554    
Last Update : 22 มิถุนายน 2554 8:04:54 น.
Counter : 509 Pageviews.  

ลูกสาวกับลูกสะใภ้

หญิงสองคนนั่งพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่ในสวนสาธารณะ หนึ่งในสองคนนั้นถามว่า “ ลูกชายของคุณสบายดีอยู่รึ ”
“ อย่าเอ่ยถึงเขาดีกว่า ช่างโชคร้ายเสียนี่กะไร ” หญิงอีกคนพูดพรางถอนหายใจ “ ความจริงเขาช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน แต่งเมียเมียก็ช่างขี้เกียจจะตาย ไม่ยอมหุงข้าว ไม่ยอมกวาดบ้าน ไม่ซักเสื้อผ้า อีกทั้งยังไม่ยอมดูแลลูกเต้า วันทั้งวันเอาแต่นอน ลูกชายของฉันยังจะต้องยกสำรับอาหารเช้าไปให้ถึงที่นอน ” พูดพรางน้ำตาไหลพรากอาบแก้ม
“ แล้วลูกสาวล่ะ เป็นไงบ้าง ”
“ โอ้ นั่นเธอกลับวาสนาดีจริง ๆ ” หญิงคนนี้เปลี่ยนจากเศร้าเสียใจเป็นยิ้มแก้มปริทันที “ เธอได้สามีที่ไม่เลวเลยนะ บอกว่าไม่ต้องทำงานบ้านใด ๆ ทั้งสิ้น คนเป็นสามีรับเหมาทำแทนหมด ตั้งแต่หุงข้าว กวาดบ้าน ซักผ้า เลี้ยงลูก แม้แต่อาหารเช้ายังประเคนถึงที่นอนทุกเช้าเลยล่ะ ”
*** ในสภาพเดียวกัน มองจากมุมที่ต่างกัน ก็จะเกิดสภาพจิตใจที่แตกต่าง ฉะนั้นปัญหาใด ๆ ควรจะคิดในมุมบนจุดยืนของผู้อื่นบ้าง ก็จะลดความกลุ้มอกกลุ้มใจได้ แล้วจะมีความรักและเมตตามากขึ้น
*****




 

Create Date : 20 มิถุนายน 2554    
Last Update : 20 มิถุนายน 2554 8:06:12 น.
Counter : 419 Pageviews.  

ระหว่างความปรารถนากับความสำเร็จ

ในปี 1864 สงครามฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ในอเมริกายุติลง นักข่าวคนหนึ่งชื่อ Marvell ได้มาสัมภาษณ์ประธานาธิบดี ลินคอร์น
นักข่าว :เท่าที่ผมทราบมา อดีตประธานาธิบดีสมัยที่ผ่านมาสองท่านล้วนเคยคิดที่จะยกเลิกระบบทาสผิวดำ แถลงการณ์ประกาศเลิกทาสก็ได้ร่างเสร็จแล้วในสมัยของพวกเขา แต่ว่าพวกเขาล้วนไม่ได้จรดปากกาเซ็นต์ชื่อลงไป ขอถามท่านประธานาธิบดีว่า เป็นเพราะว่าพวกเขาคิดที่จะทิ้งภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้ไว้ให้เป็นวีรกรรมของท่านใช่หรือไม่
ลินคอร์น :อาจจะหมายความเช่นนั้นก็ได้ แต่ว่า ถ้าหากพวกเขารู้ว่าการหยิบปากกาขึ้นมาก็เพียงแค่ต้องการความกล้าเพียงนิดเดียว พวกเขาคงจะต้องเสียใจมาก
ประโยคสนทนานี้เกิดขึ้นระหว่างที่ลินคอร์นเดินทางไป Patterson ยังไม่ทันที่ Marvell จะถามต่อ รถม้าของลินคอร์นก็ขับออกไปแล้ว ดังนั้น เขาจึงไม่อาจทำความเข้าใจในคำพูดของลินคอร์นประโยคนี้ว่ามีความหมายอย่างไรกันแน่ กระทั่งปี 1914 หลังจากที่ลินคอร์นถึงแก่อสัญกรรมไปแล้ว 50 ปี Marvell จึงได้รับคำตอบนี้จากจดหมายของลินคอร์นที่มีถึงเพื่อนของเขา ในจดหมาย ลินคอร์นพูดถึงประสบการณ์ในวัยเด็กของเขาตอนหนึ่งว่า :
“ พ่อของผมมีฟาร์มแห่งหนึ่งอยู่ที่ Seattle บนผืนดินมีแต่ก้อนหินจำนวนมาก ก็ด้วยเพราะเหตุนี้ พ่อจึงซื้อมันมาได้ในราคาถูก มีอยู่วันหนึ่ง แม่เสนอให้ขนย้ายก้อนหินเหล่านั้นออกไปทิ้งเสีย พ่อบอกว่าถ้าหากก้อนหินเหล่านั้นสามารถขนย้ายได้แล้ว เจ้าของก็คงไม่ขายให้เราหรอก พวกมันเป็นเนินเล็ก ๆ ที่เชื่อมต่ออยู่กับภูเขา
“ มีอยู่ปีหนึ่ง พ่อเข้าเมืองไปซื้อม้า แม่นำพาพวกเราทำงานในฟาร์ม แม่พูดว่า ให้พวกเราขนย้ายสิ่งที่เป็นอุปสรรคเหล่านี้ออกไปเสีย ดีไหม ดังนั้น พวกเราเริ่มต้นขุดเอาก้อนหินออกทีละก้อน ๆ ไม่นานนัก ก็เอาพวกมันทิ้งไปได้ เพราะว่าพวกมันไม่ใช่ภูเขาอย่างที่พ่อเข้าใจ แต่เป็นก้อนหินที่อยู่ของมันโดด ๆ ขอเพียงแต่ขุดลงไปสักฟุต ก็สามารถโยกมันออกได้แล้ว ”
ลินคอร์นได้พูดในท้ายจดหมายว่า มีเรื่องบางอย่างที่คนบางคนไม่ไปทำ ก็เพราะพวกเขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เรื่องเป็นไปไม่ได้จำนวนมากเป็นเพียงจินตนาการที่อยู่ในความคิดของพวกเขา
ขณะที่อ่านจดหมายฉบับนี้ Marvell เป็นชายชราอายุ 76 ปี แต่ในปีนั้นเองเขาได้ตัดสินใจที่จะเรียนภาษาต่างประเทศ ได้ข่าวว่าในปี 1922 ขณะที่เขามาทำข่าวสัมภาษณ์ที่กวางเจา เขาใช้ภาษาจีนแมนดารินที่ลื่นไหลสนทนากับดอกเตอร์ซุนยัดเซน
***มีความยากลำบากจำนวนมากที่จิตของเราจินตนาการมันออกมาเอง แม้จะประสบกับอุปสรรคปัญหาจริง ๆ ก็ควรจะไปทำ จึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ
*****




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2554    
Last Update : 17 มิถุนายน 2554 8:33:54 น.
Counter : 451 Pageviews.  

เสียงเปียโนที่ไพเราะ

***คนหาใช่งามจึงน่ารัก หากแต่น่ารักจึงงาม
นอกกรุงเวียนนาในออสเตรีย มีคฤหาสน์หลังงามที่ปลูกซ่อนอยู่ใต้เงาไม้ที่ร่มคลึ้มหลังหนึ่ง พลบค่ำของทุกวันจะได้ยินเสียงเปียโนอันแสนไพเราะพริ้วออกมาทางหน้าต่างของคฤหาสน์หลังนี้ ผุ้ที่เล่นเปียโนคือเด็กสาวที่น่ารักและแสนสวยคนหนึ่ง ชื่อลูซี่
ค่ำวันนี้ มีขอทานเฒ่ามาที่คฤหาสน์ พ่อของลูซี่เห็นเข้ากำลังจะไปขับไล่ขอทาน ทันใดนั้นเห็นลูซี่เดินมาตรงหน้าขอทานพูดอย่างสนิทสนมว่า “ หนูจะช่วยอะไรคุณได้บ้างไหมคะ” ขอทานเฒ่าพยักหน้า ลูซี่ถามอีกว่า “ คุณหิวแล้วใช่ไหมคะ” ขอทานเฒ่าพยักหน้าอีก ลูซี่รีบพูดว่า “ คุณรอเดี๋ยวนะคะ หนูเก็บเศษเหรียญไว้จำนวนหนึ่ง หนูจะไปเอามาให้คุณ ........”
ในที่สุดขอทานเฒ่าจึงเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “ ไม่ต้องหรอก เด็กน้อย น้ำใจของเธอฉันรับไว้แล้ว ความจริงสิ่งที่ฉันชอบมากที่สุดคือเสียงเปียโนของเธอ ขอเพียงฟังเสียงเปียโนของเธอ ท้องของฉันก็หายหิวแล้วล่ะ” ลูซี่ได้ฟังเช่นนี้พูดอย่างมีความสุขว่า “ คุณตา รอเดี๋ยวนะคะ “ พูดจบก็วิ่งเข้าบ้านไป ชั่วครู่ เสียงเปียโนก็พริ้วออกมาทางหน้าต่าง.......ขณะนี้ ขอทานเฒ่าพูดขึ้นอีกว่า “ เด็กน้อย เธอดีกับฉันขนาดนี้ ฉันควรจะขอบใจเธออย่างไรดี “ ลูซี่ยิ้มแล้วตอบว่า “ ไม่ต้องขอบใจ หรอกค่ะ คุณตาชอบเสียงเปียโนของหนู คุณตาก็คือผู้รู้ใจของหนู หนูควรจะขอบคุณคุณตาต่างหากค่ะ “ ขอทานเฒ่าพูดอีกว่า ฉันเคยเขียนโน็ตให้กับนักดนตรีคนหนึ่ง หากว่าเธอพอใจวันหลังฉันจะเขียนมาให้เธอ “ ลูซี่ได้ฟังแล้วดีใจมากพูดว่า “ ถ้าเช่นนั้นดีจริง ๆ เลย ขอบคุณคุณตานะคะ “
จากนั้นมา ขอทานมาที่นี่และเขียนโน็ตให้ลูซี่ทุกวัน แต่ไม่เคยคิดค่าตอบแทนแม้แต่น้อย ลูซี่บรรเลงเพลงที่ขอทานเฒ่าเขียนให้ เทคนิคการบรรเลงดีขึ้นทุกวัน ในตอนแรกพ่อของลูซี่รังเกียจขอทานเฒ่าอย่างมาก แต่เห็นว่าเขาเขียนโน็ตให้ด้วยความทุ่มเท จึงค่อยๆ รู้สึกชอบเขา วันหนึ่ง ขอทานเฒ่าพูดกับพ่อของลูซี่ว่า “ ลูกของคุณมีพรสรรค์ทางดนตรีมาก ควรจะหาครูฝึกที่ดีให้เธอสักคน “ พ่อของลูซี่ตอบว่า “ ความจริงฉันอยากจะเชิญนักเปียโนชื่อดังศาสตราจารย์ Giselle ให้มาสอน แต่เมื่อฉันไปเรียนเชิญท่านที่บ้าน พูดอย่างไรท่านก็ไม่ยอมให้เข้าพบ ”
ขอทานเฒ่าได้ฟังแล้วถอนหายใจ พูดว่า “ เอาอย่างนี้ ฉันจะเขียนจดหมายให้คุณฉบับหนึ่ง คุณนำจดหมายฉบับนี้ไปพบเขา เห็นแก่หน้าของฉัน เขาอาจจะให้โอกาสกับคุณสักครั้ง ”
พ่อของลูซี่ได้ฟังคำพูดของขอทานเฒ่าแล้ว เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็รับจดหมายของขอทานเฒ่าเอาไว้
พาลูซี่ไปที่บ้านของศาสตราจารย์ Giselle คนรับใช้เห็นจดหมายของขอทานเฒ่ารีบพาแขกไปที่ห้องทำงานของศาสตราจารย์ Giselle ด้วยความเกรงอกเกรงใจ ชี้ไปที่ชายชราที่กำลังเล่นเปียโนว่า “ เขาก็คือศาสตราจารย์ Giselle ”
ลูซี่ยืนอยู่ตรงนั้น ฟังเสียงอันแสนไพเราะของเปียโนอย่างเงียบ ๆ โอ้ พระเจ้า บทเพลงนี้ช่างคุ้นเคยเสียนี่กระไร นี่เป็นบทเพลงที่ขอทานเฒ่าเขียนให้มิใช่หรือ เพลงจบลง เธอเดินขึ้นหน้าไปโค้งคำนับให้ศาสตราจารย์ผู้เฒ่าด้วยความนอบน้อม ศาศตราจารย์ผู้เฒ่าค่อย ๆ หันกายมา สองพ่อลูกตกใจมาก ศาสตราจารย์ผู้เปี่ยมไปด้วยความรู้ความสามารถที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี้ไม่ใช่ใครอื่น คือขอทานเฒ่าที่เขียนโน็ตเพลงให้แก่ลูซี่นั่นเอง
ศาสตราจารย์ Giselle มองดูสองพ่อลูกแล้วยิ้ม ๆ บอกความจริงแก่พวกเขาว่า ที่แท้ ศาสตราจารย์ Giselle เป็นนักดนตรีที่เข้มงวดและเคร่งครัดมาก ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาได้รับจดหมายจากพ่อของลูซี่ ในจดหมายเชิญให้เขาไปเป็นครูสอนเปียโนให้แก่ลูกสาว แต่ว่า ศาสตราจารย์ Giselle มีหลักการในการรับลูกศิษย์ ว่า หากจะเรียนรู้ศิลป ก่อนอื่นจะต้องเรียนรู้การเป็นมนุษย์ เพื่อที่จะเข้าใจนิสัยใจคอของลูซี่ ศาสตราจารย์ Giselle จงใจปลอมตัวเป็นชายขอทาน เพื่อที่จะไปลองใจลูซี่ สิ่งที่ทำให้เขาชื่นชมมากก็คือ เจ้าเด็กน้อยลูซี่มิเพียงแต่มีความสามารถเล่นเปียโนในระดับสูงแล้ว ยังมีดวงจิตที่ใสบริสุทธิ์และเปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรม และนี่คือคุณสมบัติที่ดีงามที่ศิลปินจะขาดเสียมิได้เลย ดังนั้น ศาสตราจารย์ Giselle ตัดสินใจรับลูซี่ไว้เป็นศิษย์
*****




 

Create Date : 13 มิถุนายน 2554    
Last Update : 13 มิถุนายน 2554 8:25:02 น.
Counter : 397 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  

syrubbocaboro
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add syrubbocaboro's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.