ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง
Group Blog
 
All Blogs
 

ถึงถูกไล่ออกก็จะพูดความจริง

Michelangelo ชอบการวาดภาพตั้งแต่ยังเด็ก มุ่งมั่นที่จะเป็นศิลปิน แต่พ่อของเขาไม่ให้การสนับสนุนเลย
ตอนที่เขาอายุ 13 ปี วันหนึ่ง ระหว่างทางไปโรงเรียน บังเอิญเดินเข้าไปในห้องวาดภาพแห่งหนึ่ง ข้างในเต็มไปด้วยกระดานสำหรับวาดภาพ ขาตั้งภาพวาดและกรอบภาพ บนผนังบนพื้นกระเซ็นและเปรอะเปื้อนไปด้วยสีและน้ำมัน ในสายตาของMichelangeloแล้วที่นี่ดูคล้ายกับตำหนักที่ยอดเยี่ยมและน่าพิศวงยิ่งนัก เขามองดูสิ่งเหล่านี้ด้วยความตื่นเต้นดีใจและอยากรู้อยากเห็นจนลืมไปโรงเรียน สุดท้ายถึงกับช่วยจิตกรเหล่านั้นบดและผสมสีอย่างคึกคักสนุกสนาน และสิ่งที่ทำให้เขาดีใจอย่างเหนือความคาดหมายก็คือ Ghirlandaio เจ้าของห้องวาดภาพผู้เป็นอาจารย์สอนวาดภาพที่มีชื่อเสียงเห็นเขาเข้า ถึงกับหมายตัวเขาคิดจะรับไว้เป็นลูกศิษย์
Ghirlandaio บอกความคิดของตนแก่พ่อของ Michelangelo พ่อของเขาฟังแล้วรู้สึกเดือดดาลอยู่ในใจ เขาตั้งใจจะบ่มเพาะลูกชายให้เป็นข้าราชการใหญ่ที่มีชื่อเสียง แต่ Ghirlandaio กลับจะให้ลูกชายไปเป็นช่างผู้ต่ำต้อย ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี เขาไม่ได้ปฎิเสธ Ghirlandaio ในทันที เขาคิดว่าลูกชายคงจะนึกสนุกชั่ววูบ หาใช่จะไปเป็นช่างวาดภาพชั่วชีวิต จึงเจตนาพูดอย่างช้า ๆ กับ Michelangelo ว่า “อืม ลูกพ่อ เจ้ายินดีที่จะจากบ้านอันแสนสุขและได้รับการยกย่องจากผู้คนทั้งหลายนี้เพื่อไปเป็นเด็กรับใช้ของคุณคนนี้ เขามีสิทธิ์ที่จะใช้ให้เจ้าทำงานที่สกปรกโสโครก และยังสามารถทุบตีด่าว่าเจ้าได้ตามอำเภอใจหรือไม่”
Michelangelo รู้ดีว่าพ่ออยากจะได้ยินคำตอบแบบไหน แต่เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการจะเป็นศิลปินที่แท้จริงนั้นจำเป็นจะต้องมีความกล้าหาญในการพูดความจริง
ดังนั้น เขาจึงตอบว่า “ครับ คุณพ่อ ผมยินดีที่จะไปหัดวาดภาพ” ด้วยประการฉะนี้ Michelangelo ในวัย 13 ปีจึงได้ลาจากครอบครัวที่มั่งคั่งสุขสบาย ย้ายเข้าไปอยู่ในห้องวาดภาพ เริ่มต้นชีวิตกึ่งคนงานกึ่งลูกศิษย์ที่ยากลำเค็ญ ณ.ที่นี่ เขาตั้งใจอดทนฝึกฝนวาดภาพเหมือน สร้างสรรค์งานกระทั่งลืมกินลืมนอน ความทุ่มเทของเขาไม่สูญเปล่า เพียงผ่านไปปีเดียว เทคนิคในศิลปะการวาดของเขาก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด ในบางด้านยังถึงกับล้ำหน้าGhirlandaio อาจารย์ของเขาเสียอีก ใครจะรู้ว่า Ghirlandaio เป็นคนใจคอคับแคบ เขาอิจฉาริษยาในอัจฉริยภาพทางศิลปะของ Michelangelo กลัวว่าจะเหนือกว่าตน ดังนั้นมักจะกลั่นแกล้งหาเรื่องจับผิดเขาอยู่ตลอดเวลา กระทั่งคิดที่จะไล่เขาออกจากห้องภาพ
ครั้งหนึ่ง Ghirlandaio เรียกให้ Michelangelo ทำการก๊อปปี้ภาพเสกตช์ที่เป็นผลงานของเขาเอง เมื่อ Michelangelo ตั้งอกตั้งใจก๊อปปี้จนเสร็จแล้ว เขาก็ฟื้นฝอยหาตะเข็บเหมือนเช่นเคยว่า “นี่เธอวาดอะไรของเธอนะ” เขายังไม่ทันได้ดูแต่อย่างใดก็กระชากภาพจากมือ Michelangelo คำรามต่อหน้าผู้คนทั้งหลายว่า “เธอดูเอาเองก็แล้วกัน เละเทะขนาดนี้ ฉันล่ะอายแทนเธอ”
Michelangelo มองดูภาพวาด ถึงกับตกตะลึง-----ภาพภาพนั้นอาจารย์เป็นผู้วาดเอง หัวใจของเขาเต้นตุ๊บ ๆ “ฉันควรจะบอกความจริงกับอาจารย์หรือไม่”
เขาพูดในใจกับตัวเองหลายตลบ “ฉันรักอาจารย์ของฉัน แต่ก็รักในสัจธรรม” เขารวบรวมความกล้าพูดว่า “อาจารย์ครับ ท่านผิดแล้ว ภาพภาพนี้ท่านเป็นผู้วาดเอง”
“อะไรนะ” Ghirlandaio อุทานออกมา มองภาพในมือตัวเองอย่างละเอียดอีกครั้ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นขาวซีด เขาจนด้วยคำพูดจึงคำรามออกมาว่า “ไสหัวออกไป เธอรีบไสหัวออกไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธออีก”
Michelangelo ไม่พูดว่ากระไร หมุนตัวกลับเงยศีรษะยืดอกแล้วเดินออกจากห้องภาพไป
Michelangelo ถูกไล่ออกจากห้องภาพ แต่เขาไม่ได้ท้อใจเพราะเหตุนี้แต่อย่างใด บนเส้นทางสู่จุดสูงสุดทางศิลปะ เขายังคงปีนป่ายขึ้นไปอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว เนื่องจากความขยันหมั่นเพียรและใฝ่รู้ของเขา กล้าที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในที่สุดเขาก็ได้เป็นหนึ่งในสุดยอดศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ในยุคฟื้นฟูศิลปะของอิตาลี
***ไม่ว่าเผชิญกับปัญหาอะไร อยู่ในสภาพเช่นใด ควรต้องยืนหยัดในสัจธรรมความเป็นจริง แน่วแน่ในศรัทธาของตน แม้ว่าจะตกอยู่ในสภาพการณ์ที่ยากลำบาก แต่ต้องมีสักวันที่คุณจะได้รับการยอมรับและเคารพจากผู้อื่น
*****





 

Create Date : 20 ตุลาคม 2554    
Last Update : 20 ตุลาคม 2554 7:52:26 น.
Counter : 2347 Pageviews.  

เสียงปรบมือที่ดังก้องเสียงหนึ่ง

ในการแข่งขันร้องเพลงของนักเรียนมัธยมปลายในอำเภอแห่งหนึ่ง เด็กชายที่ดูท่าทางขี้อายคนหนึ่งขึ้นร้องบนเวที อาจจะเป็นเพราะความประหม่า หรืออาจจะเป็นเพราะเขาร้องได้ธรรมดาๆ ไม่โดดเด่นแต่อย่างใด หลังจากบทเพลงซึ่งมีความยาว 3 นาทีได้ร้องจบลง ข้างล่างเวทีไม่มีปฎิกิริยาใด ๆ เกิดขึ้นเลย แม้แต่เสียงปรบมือสักเสียงก็ไม่มี หัวใจของเด็กชายเหมือนดิ่งลงสู่หุบน้ำแข็งที่ลึกไร้ที่สิ้นสุด “ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ปรบมือให้ฉันเลย ฉันสาบานว่าจะไม่ร้องเพลงอีกเลยตลอดกาล”
ในขณะที่เด็กชายรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจอยู่นั้น ทันใดนั้นเขาได้ยินข้างล่างเวทีมีคนปรบมือให้เขา เสียงนั้นดังกึกก้อง เขามองไปยังมุมที่เสียงดังก้องมา ชายคนหนึ่งชูมือทั้งสองขึ้นสูง เด็กชายรอคอยให้เขาปรบมือต่อไป แต่เขาต้องผิดหวัง ชายผู้นั้นลดมือลงอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าชายผู้นั้นจะปรบมือให้เขาเพียงทีเดียว ก็เพียงพอที่เขาจะจดจำมันไปชั่วชีวิต เด็กชายจดจำใบหน้าและลักษณะเฉพาะของเขา และเลียบเคียงสืบทราบถึงที่อยู่ของเขา เขาตัดสินใจเงียบๆ ว่าแม้จะเป็นเสียงปรบมือเพียงทีเดียวก็ตามก็จะยืนหยัดร้องเพลงต่อไปให้ดีที่สุด
สิบปีผ่านไป เด็กชายซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นนักร้องมีชื่อหวนคืนสู่บ้านเกิดอีกครั้ง เพื่อที่จะตอบแทนชายคนที่ครั้งหนึ่งในปีนั้นเคยปรบมือให้กับตัวเอง เขาได้ซื้อของขวัญที่สูงค่าชิ้นหนึ่งไปคารวะเขาถึงบ้าน
“การที่ผมมีความสำเร็จในวันนี้ได้ เป็นเพราะการสนับสนุนและให้กำลังใจของท่านในตอนนั้น ท่านคงไม่อาจจินตนาการได้หรอกว่าเสียงปรบมือของท่านมีความสำคัญมากเพียงใดสำหรับเด็กชายที่พ่ายแพ้คนหนึ่งแล้ว...........” นักร้องร้องไห้จนพูดเสียงไม่เป็นส่ำ
ชายดังกล่าวพูดขึ้นอย่างเรียบๆ ว่า “ความจริงแล้วฉันไม่ได้ทำอะไรเลยทั้งนั้น วันนั้นพอดีมียุงตัวหนึ่งบินอยู่ตรงหน้า ฉันยกมือขึ้นก็เพื่อตบยุงตัวนั้น.......”
***เสียงปรบมือที่ไม่ได้ตั้งใจก็สามารถให้กำลังใจแก่ผู้คน ขับเคลื่อนพลังที่ไร้ขอบเขต หากว่าพวกเราชื่นชมและให้กำลังใจแก่ผู้อื่นอยู่เสมอๆ ก็จักเกิดผลลัพธ์ที่ปาฎิหาริย์มหัศจรรย์อย่างยิ่งได้เป็นแน่
*****




 

Create Date : 13 ตุลาคม 2554    
Last Update : 13 ตุลาคม 2554 7:36:55 น.
Counter : 1333 Pageviews.  

ทำไมเด็กจึงโกหก

วันหนึ่ง พี่สาวชวนหลิงจื่อที่เป็นครูโรงเรียนประถมมาเที่ยวที่บ้านของเธอ บ้านของพี่สาวมีลานบ้านขนาดใหญ่ ขณะที่หลิงจื่อเดินมาถึงหน้าลาน เห็นพี่สาวกำลังกระชากลากถูลูกชายของเธอที่เพิ่งจะแปดเก้าขวบด้วยความโกรธกริ้ว ปากของเธอกำลังดุด่าลูกชายไม่ยอมหยุด เด็กชายได้แต่เบ้ปากไม่พูดอะไรสักคำ พี่สาวโกรธจัด หลิงจื่อรู้สึกว่าขั้นตอนต่อไปเด็กน้อยคงจะต้องโดนไม้เรียวเป็นแน่
คิดได้ดังนี้ หลิงจื่อรีบก้าวขึ้นหน้าไปดึงมือของพี่สาวออกมา ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นรึ”
เมื่อพี่สาวเห็นหลิงจื่อ พูดด้วยอารมณ์โกรธว่า “เด็กคนนี้ชักไม่ไหวแล้วจริง ๆ ตัวเองไม่อยากทำการบ้านเลยฉีกสมุดการบ้านทิ้ง แล้วกลับบอกว่าถูกเพื่อนในห้องเรียนฉีกขาด ตัวเล็กแค่นี้ก็โกหกเป็นแล้ว เธอว่าน่าโมโหหรือไม่”
หลิงจื่อฟังแล้วพูดกับพี่สาวว่า “พี่อย่าโกรธไปเลย เข้าบ้านไปดื่มน้ำเย็นสักแก้วก่อน เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นธุระของฉันเอง”
หลังจากที่พี่สาวเดินเข้าบ้านไปแล้ว เด็กชายมองหลิงจื่อด้วยสายตาซาบซึ้ง เรียกทักทาย”คุณน้าครับ”
หลิงจื่อขานรับแล้วทรุดตัวลงข้าง ๆ ถามหลานชายด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “วันนี้หนูอารมณ์ไม่ดีใช่ไหมจ๊ะ ทำไมถึงฉีกสมุดการบ้านทิ้งเสียล่ะ”
“เพราะว่าการบ้านเยอะเกิน ผมไม่อยากทำ”
“งั้นพรุ่งนี้น้าจะไปบอกคุณครูที่โรงเรียนให้พวกเขาลดการบ้านลงมาหน่อยดีไหมจ๊ะ”
“ขอบคุณคุณน้าครับ”
หลิงจื่อเห็นได้จังหวะจึงพูดต่อว่า “น้ารู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาหนูเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์มาโดยตลอด แต่ว่าวันนี้หนูพูดโกหก หนูรู้ไหมว่าการพูดโกหกเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีเลย”
เด็กชายก้มศรีษะลง ตอบเสียงเบาว่า “รู้ครับ”
“ถ้าเช่นนั้นหนูทำไมยังทำเช่นนี้ล่ะ”
“ผมกลัวถูกตี”
“เป็นไปได้อย่างไร หนูซื่อสัตย์ออก คุณแม่จะทำใจตีหนูได้เชียวรึ”
“ครั้งที่แล้วผมไม่ระวังทำแก้วแตกไป หลังจากที่ผมบอกคุณแม่ แม่โกรธมากยังตีผมอีก”
ถึงตอนนี้หลิงจื่อจึงรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงในการโกหกของเด็ก ต่อมา เธอได้พูดกับพี่สาวอย่างจริงจังว่า “เป็นเรื่องปกติที่เด็กเล็กอาจจะกระทำผิดบ้าง ถึงเวลานั้นควรจะให้อภัย โดยเฉพาะการที่เขากล้าหาญที่จะยอมรับผิดด้วยแล้ว ยิ่งไม่ควรที่จะไปทำร้ายจิตใจโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นแล้ว เขาจะเข้าใจว่าการที่ซื่อสัตย์รังแต่จะทำให้โดนด่า โดนทำโทษ ทีหลังก็จะไม่กล้าพูดความจริงอีกต่อไป”
***ความซื่อสัตย์ของเด็กจะต้องบ่มเพาะตั้งแต่เล็ก ประคบประหงมอย่างระมัดระวัง ขณะที่เขาพูดความจริงนั้นควรให้กำลังใจ เพราะความซื่อสัตย์ของเด็กนั้นช่างเปราะบางจริง ๆ
*****




 

Create Date : 06 ตุลาคม 2554    
Last Update : 6 ตุลาคม 2554 9:24:23 น.
Counter : 1524 Pageviews.  

อย่าปล่อยให้รอยด่างกระทบคุณทั้งชีวิต

พ่อของเขาเป็นช่างทาสีที่ลำบากยากไร้ อาศัยค่าแรงเพียงน้อยนิดส่งเขาจนจบชั้นมัธยมปลาย
โชคดีที่ปีนี้เขาได้รับการคัดเลือกให้เข้าศึกษาต่อที่ เยล มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง สองพ่อลูกต่างดีใจอย่างยิ่งแต่ก็รู้สึกจนหนทางที่ไม่รู้ว่าจะไปรวบรวมเงินได้จากไหนเพื่อจ่ายค่าเล่าเรียน เขาตัดสินใจใช้ช่วงเวลาปิดเทอมสองเดือนนี้ออกไปทำงานทาสีเช่นเดียวกับพ่อของเขา เพื่อหาเงินสำหรับค่าเล่าเรียน
เขารับงานได้ชิ้นหนึ่ง ไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่มาก เขาทำอย่างเอาการเอางานขยันขันแข็ง วันนี้ ดูท่างานใกล้จะเสร็จแล้ว เขาเอาประตูตู้ที่ถอดออกทาสีเสร็จยกขึ้นเพื่อผึ่งให้แห้ง ขณะนั้นพอดีเสียงกริ่งประตูดังขึ้น เขารีบร้อนจะเปิดประตู บังเอิญไปสะดุดเข้ากับไม้กวาดบนพื้น ไม้กวาดเกี่ยวถูกประตูตู้ทำให้ล้มลงไปพิงกับผนังห้องสีขาวที่เพิ่งทาสีเสร็จเมื่อวาน บนผนังจึงเปื้อนรอยสีเส้นหนึ่ง เขารีบผสมสีและทาทับรอยเปื้อนที่ว่านี้ หลังจากทุกอย่างทำเสร็จเรียบร้อย เขาเหลียวซ้ายแลขวา รู้สึกได้ว่าสีผนังที่ซ่อมใหม่นี้ดูอย่างไรก็ผิดเพี้ยนไปจากสีผนังเดิมอยู่บ้าง รู้สึกว่าควรจะทาสีผนังด้านนี้ใหม่อีกครั้ง
เขาทำงานเหนื่อยแทบขาดใจ วันรุ่งขึ้นพอเปิดประตูเข้ามา พบว่าผนังด้านที่ทาใหม่เมื่อวานนี้สียังเพี้ยนกับผนังด้านอื่น ๆ อยู่อีก และยิ่งพิจารณาโดยละเอียดยิ่งดูออกชัดขึ้น สุดท้ายเขาตัดสินใจทาสีผนังใหม่หมดทุดด้าน.........
เจ้าของบ้านย่อมรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก จ่ายเงินค่าตอบแทนเขาอย่างเพียงพอ แต่กล่าวสำหรับเขาแล้ว หากหักค่าสีและค่าใช้จ่ายอื่นๆ แล้วแทบจะไม่เหลือเลย ทำอย่างไรก็ไม่พอจ่ายค่าเล่าเรียนอยู่ดี
เรื่องช่างบังเอิญ ไม่ทราบว่าลูกสาวเจ้าของบ้านทราบต้นสายปลายเหตุนี้ได้อย่างไร จึงนำเรื่องราวบอกเล่าให้พ่อของเธอรับทราบ เจ้าของบ้านฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งและสะเทือนใจมาก และจากการร้องขอให้ช่วยของผู้เป็นลูกสาว เจ้าของบ้านเห็นด้วยที่จะช่วยเหลือสนับสนุนเขาจนเรียนจบมหาวิทยาลัย
หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ชายหนุ่มมิเพียงได้แต่งงานกับลูกสาวเจ้าของบ้านผู้นี้ ยังเข้าทำงานในบริษัทเดียวกับพ่อตา สิบปีผ่านไป เขาได้เป็นประธานของบริษัทนี้ เขาก็คือ แซม วอลตัน ผู้ก่อตั้งวอลมาร์ทบริษัทค้าปลีกที่ยิ่งใหญ่ที่มีบริษัทอยู่ทั่วโลกถึง 500 กว่าบริษัท
***ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากรอยด่างนั้นไม่ใช่ตัวรอยด่าง หากอยู่ที่ท่าทีที่จะเผชิญหน้ากับรอยด่างนี้อย่างไรต่างหาก
*****




 

Create Date : 29 กันยายน 2554    
Last Update : 29 กันยายน 2554 7:56:45 น.
Counter : 497 Pageviews.  

ร่วมลิ้มรสขนมเปี๊ยะถุงเดียวกัน

เย็นวันหนึ่ง สตรีผู้หนึ่งนั่งรอเวลาเครื่องบินออกอยู่ที่สนามบิน ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าเครื่องบินจะออก เธอซื้อหนังสือมาเล่มหนึ่งจากร้านค้าในสนามบิน หลังจากนั้นซื้อขนมเปี๊ยะมาถุงหนึ่งแล้วเธอก็หาที่นั่งลง เธอจดจ่ออยู่กับการอ่าน ด้วยความไม่ได้ตั้งใจเธอมองเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเธอช่างไร้มารยาทสิ้นดี ยังไม่ได้รับอนุญาตจากเธอ กลับกล้าที่จะล้วงเอาขนมเปี๊ยะที่ตั้งอยู่ระหว่างตัวเธอกับเขาใส่เข้าปากกินอย่างเอร็ดอร่อย
เธอทดลองควบคุมอารมณ์ตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ ขณะที่ “เจ้าหัวโขมยขนม” ยังคงกินขนมของเธอต่อไปเรื่อย ๆ เธออ่านหนังสือต่อไป เคี้ยวขนมแรงๆ มองดูเวลา เวลาผ่านไปแต่ละนาที เธอยิ่งรู้สึกโกรธขึ้ง เธอคิด “หากฉันไม่ได้ใจกว้างขนาดนี้ คงต้องใช้ความรุนแรงแน่”
เวลาที่เธอหยิบขนมเปี๊ยะขึ้นมาหนึ่งชิ้น เขาก็จะหยิบตามทันที ขณะที่เหลือขนมชิ้นสุดท้าย เธอคิดเดาว่าเขาจะทำอย่างไร ใบหน้าของเขาปรากฎรอยยิ้มขึ้น และแสดงอาการสำรวม เขาหยิบขนมเปี๊ยะชิ้นสุดท้ายขึ้นมา หักมันออกเป็นสองชิ้น เขายื่นให้เธอครึ่งชิ้น ตัวเองกินครึ่งที่เหลือ เธอแย่งขนมเปี๊ยะครึ่งชิ้นจากมือของเขามาและคิดว่า “โอ พระเจ้า หมอนี่ยังพอใช้ได้ แต่ช่างไร้มารยาทสิ้นดี ทำไมแม้แต่คำขอบคุณเขายังไม่ยอมกล่าวสักคำ”
เมื่อสายการบินประกาศเรียกขึ้นเครื่อง เธอเหมือนยกภูเขาออกจากอก จัดสัมภาระของตัวเองเสร็จรีบเดินไปที่ประตูทางเข้า ในใจปฎิเสธที่จะหันกลับมามอง “เจ้าคนขี้โขมยแล้วยังทำเฉยไร้ยางอาย”
หลังจากขึ้นเครื่องแล้วนั่งอยู่บนตำแหน่งที่นั่งตัวเอง เธอหยิบหนังสือเล่มที่อ่านจนเกือบจะจบแล้วเล่มนั้นออกมา
ขณะที่เธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋านั้น เธอแปลกใจและตื่นเต้นจนแทบหายใจไม่ออก-----มือของเธอคลำเจอถุงขนมเปี๊ยะ
“ถ้าหากถุงนี้เป็นของฉัน” เธอคาดการณ์ด้วยอาการใจฝ่อ “ถ้าเช่นนั้น ขนมถุงนั้นก็ต้องเป็นของเขาน่ะสิ และเขายังให้ฉันได้ร่วมลิ้มรสอย่างเต็มใจ” สายไปแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะได้กล่าวคำขอโทษ เธอรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง เจ้าคนขี้ขโมยที่ไร้มารยาท ทำเฉย ไร้ยางอายคนนั้น กลับเป็นตนเองเสียนี่
***ขณะที่เราคบหาสัมพันธ์กับผู้อื่น ควรจะสำรวจคำพูดและการกระทำของตัวเราเองให้มาก ไม่ควรจ้องแต่จะ “จับผิด”ผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา เข้มงวดต่อตนเอง ใจกว้างต่อผู้อื่น เป็นหัวใจสำคัญของมนุษยสัมพันธ์
*****




 

Create Date : 23 กันยายน 2554    
Last Update : 23 กันยายน 2554 8:22:52 น.
Counter : 510 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  

syrubbocaboro
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add syrubbocaboro's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.