|
พระเจ้าอยู่ในใจเรา
ในที่สุดเด็กหนุ่มก็แต่งงานกับเด็กสาว และในวันแต่งงาน เด็กหนุ่มบอกความลับกับเด็กสาวเรื่องหนึ่ง ผมจะไม่ลืมคนแก่คนหนึ่งตลอดไป เด็กหนุ่มพูด ดีที่ได้รับการช่วยเหลือจากเขา ผมจึงมีโอกาสได้รู้จักกับคุณ โอกาสอะไรหรือคะ เด็กสาวหรี่ตายิ้มแล้วถามเขา ผมเคยไหว้วานคนแก่คนนั้น ตอนที่เราขึ้นลิฟกันเพียงลำพัง ขอให้เขาแอบหยุดลิฟสักห้านาที เพื่อให้ผมได้มองคุณเต็มตา คนแก่คนนั้นตอบรับทันที แล้วยังปิดไฟด้วย เด็กสาวพูด คุณรู้ได้ไง เด็กหนุ่มตกใจ คนนั้นเป็นคุณปู่ของฉัน ฉันให้ปู่ปืดไฟเอง ฉันจะทดสอบคุณว่าจะฉวยโอกาสแอบจูบฉันตอนไฟดับหรือไม่ แต่ผมไม่กล้าจูบ เพียงแต่บอกว่า ไม่ต้องกลัวนะครับ มีผมอยู่ด้วย ก็เพราะคำพูดคำนี้ที่แสดงถึงความสุภาพเรียบร้อยของคุณ ฉันจึงยอมเข้าใกล้คุณ ว่าแล้วเด็กสาวก็จูบที่เปลือกตาของเด็กชาย *** การรักษากฎทำให้ผู้คนรู้สึกหวานชื่นได้ ทุกคนควรรักษาความสุภาพ หลายครั้งที่คนทั้งหลายรู้สึกขอบคุณพระเจ้า ที่แท้พระเจ้าอยู่ในใจของทุกๆ คน ขอเพียงเราศรัทธาพระเจ้าในใจของเราตลอดไป ยังมีอะไรที่เราทำไม่ได้ *****
Create Date : 06 กันยายน 2553 | | |
Last Update : 6 กันยายน 2553 7:43:40 น. |
Counter : 429 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เกี๊ยวชามหนึ่ง
วันนั้น เธอทะเลาะกับแม่อีกแล้ว ด้วยความโกรธ เธอหันหลังวิ่งออกจากบ้านไป เธอเดินอยู่เป็นเวลานานมาก แลเห็นข้างหน้ามีบะหมี่หาบเร่อยู่เจ้าหนึ่ง จึงรู้สึกได้ว่าหิวข้าว แต่ว่า เธอคลำดูทั่วกระเป๋ากางเกง แม้แต่เหรียญเดียวก็ไม่มี เมื่อเห็นแม่ค้าบะหมี่หาบเร่จะรู้สึกได้ทันทีว่าเป็นแม่เฒ่าที่มีใจอ่อนโยน แม่เฒ่าเห็นเธอยืนอยู่ตรงนั้นจึงถามว่า ลูกเอ๋ย หนูอยากจะกินใช่ไหม แต่ว่า แต่ว่าหนู แต่ว่าหนูลืมพกเงินมา เธอตอบอย่างเกรงใจ ไม่เป็นไร ยายเลี้ยงเอง แม่เฒ่ายกเกี๊ยวมาชามหนึ่งพร้อมกับผักรวกอีกถ้วยหนึ่ง เธอรู้สึกซาบซึ้ง เพิ่งจะกินได้ไม่กี่คำ น้ำตาก็ไหลพรากลงมา หยดลงไปในชาม หนูเป็นอะไรไปหรือ แม่เฒ่าถามด้วยความเอาใจใส่ หนูไม่เป็นไร หนูเพียงแต่รู้สึกซาบซึ้งมาก เธอรีบเช็ดน้ำตาและพูดกับแม่เฒ่าว่า เราไม่เคยรู้จักกัน แต่ยายดีกับหนูขนาดนี้ ทำเกี๊ยวให้หนูกิน แต่แม่ของหนู หนูทะเลาะกับแม่ แม่กลับไล่หนูออกจากบ้าน ยังบอกว่าอย่ากลับมานะ แม่เฒ่าได้ฟังแล้วพูดอย่างราบเรียบว่า ลูกเอ๋ย หนูคิดอย่างนี้ได้อย่างไร หนูคิดดูซิ ฉันก็แค่ทำเกี๊ยวให้หนูกินชามเดียว หนูก็รู้สึกซาบซึ้งต่อฉันแล้ว แล้วแม่ของหนูหุงหาอาหารให้หนูกินมาตั้งสิบกว่าปี หนูทำไมไม่ซาบซึ้งแม่ หนูทำไมยังจะทะเลาะกับแม่ล่ะ เด็กหญิงตะลึงงัน เธอรีบเร่งกินเกี๊ยวจนหมดชาม เริ่มเดินกลับบ้านไป เมื่อเธอเดินเข้าใกล้บ้าน เห็นแม่ที่มีท่าทางอิดโรยอย่างหนักกำลังกวาดสายตามองหาเธอไปทั่ว ........แม่เห็นเธอเข้าใบหน้าแสดงถึงความดีใจ รีบมาเร็วเข้า อาหารทำเสร็จตั้งนานแล้ว ถ้าลูกยังไม่กลับมาอาหารก็จะชืดหมดแล้ว ตอนนี้น้ำตาของเด็กหญิงเริ่มไหลพรากลงมา ในบางเวลา เราจะรู้สึก ซาบซึ้งอย่างยิ่ง ในสิ่งที่ผู้อื่นให้ความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่กับญาติสนิทที่มีพระคุณต่อเราทั้งชีวิตแต่กลับ มองไม่เห็น *** การที่ รู้สึก ซาบซึ้งอย่างยิ่ง นั้นเป็นเพราะพระคุณอันนั้นเกิดขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย การที่ มองไม่เห็น ก็เพราะถือว่าความรักเอาใจใส่นั้นเป็นเรื่องที่ควรจะทำอยู่แล้ว *****
Create Date : 05 กันยายน 2553 | | |
Last Update : 5 กันยายน 2553 6:49:00 น. |
Counter : 466 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
บันทึกผจญภัยของหนูน้อย
วันหนึ่ง หนูน้อยที่ยังไม่เคยผ่านโลกกลับมาถึงบ้านเล่าให้แม่หนูฟังว่า แม่ แม่ วันนี้หนูตกใจแทบตายแน่ะ หนูเห็นสัตว์ชนิดหนึ่งใหญ่มหึมา เดินสองขา บนหัวของมันมีหมวกสีแดง สายตาดุร้ายมาก มันจ้องมาที่หนู มันยังมีปากที่แหลมมาก ทันใดนั้นมันยื่นคอยาวออกมา อ้าปากเสียจนกว้าง ร้องเสียงดังก้องกังวาน หนูเข้าใจว่ามันจะมากินหนูน่ะแม่ เลยวิ่งกลับบ้านอย่างไม่คิดชีวิต หนูไม่รู้ว่ามันคือสัตว์อะไร เจอมันเข้าช่างโชคร้ายเสียนี่ ไม่อย่างนั้น ก่อนหน้านี้หนูพบกับสัตว์อีกตัวหนึ่งช่างน่ารักจริง ๆ รูปร่างสูงใหญ่กว่าอีก ถ้าไม่เพราะเจ้าตัวที่บนหัวมีหมวกแดงล่ะก็ หนูก็ได้คบเป็นเพื่อนกับเจ้าสัตว์ตัวนั้นแล้ว ขนของมันอ่อนนุ่มเหมือนพวกเรา มีสีขาวปนเทา สายตาที่แสนอ่อนโยนของมัน ดูเหมือนยังสลึมสลือไม่ตื่นดี มันมองมาที่หนูด้วยสายตาที่เป็นมิตร แกว่งหางของมันไปมา หนูคิดว่ามันคงอยากพูดคุยกับหนู เดิมทีหนูคิดว่าจะเข้าไปใกล้ ๆ มัน แต่เจ้าสัตว์ตัวใหญ่ที่น่ากลัวก็เริ่มร้องกุ๊กกุ๊กกุ๊ก หนูเลยต้องรีบวิ่งกลับบ้าน แม่หนูฟังลูกพูดจบจึงพูดขึ้นว่า ลูกโง่ของแม่ ลูกวิ่งกลับมาน่ะถูกต้องแล้ว สัตว์ตัวใหญ่ที่ลูกบอกนั่นน่ะกลับจะไม่ทำร้ายลูก นั่นคือพ่อไก่ที่ไม่มีอันตราย แต่ตัวที่มีขนนุ่มและสวยงามนั้นคือแมว มันกลับจะกินลูกเข้าไปได้ในคำเดียว เพราะมันเป็นศัตรูที่ใหญ่ที่สุดในโลกของเรา *** ไม่อาจแยกแยะมิตรหรือศัตรูจากโฉมหน้าท่าทาง บางครั้งศัตรูกลับจะแสร้งทำเหมือนอ่อนโยน แต่พวกเขาได้ซ่อนเป้าหมายที่ไม่อาจบอกผู้อื่นได้ไว้ภายใต้ความอ่อนโยน ศัตรูก็คือศัตรู อย่าได้ถูกหลอกอย่างเด็ดขาด *****
Create Date : 04 กันยายน 2553 | | |
Last Update : 4 กันยายน 2553 8:10:25 น. |
Counter : 419 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
คำตอบที่ดีที่สุด
Nikolai Vasilievich Gogol เป็นนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ของรัสเซียในสมัยศตวรรษที่ 19 มีอยู่ครั้งหนึ่งเขากำลังท่องบทกวีที่ตนเองประพันธ์ใหม่ให้กับกวีเอก Bukovsky ฟังอย่างออกรสออกชาด ท่องไปท่องไป ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงกรนเบา ๆ ของกวีเอก เขาหยุดท่องทันที กวีเอกตกใจตื่นขึ้นมา รู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง แต่ว่า Gogol กลับพูดอย่างจริงใจกับกวีเอกว่า ผมหวังว่าจะได้คำวิจารณ์ของท่านอย่างจริงใจและเปิดเผย และการสัปหงกของท่านก็คือคำตอบที่ดีที่สุด พูดจบ เขาโยนต้นฉบับของเขาลงในเตาไฟทันที *** การจะรับฟังความจริง ก่อนอื่นตัวเองต้องมีความใจกว้างเสียก่อน *****
Create Date : 03 กันยายน 2553 | | |
Last Update : 3 กันยายน 2553 8:26:23 น. |
Counter : 427 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
คนที่ขโมยตัวเอง
Bailey เป็นโจรโจรกรรมเพชรที่ใคร ๆ ก็รู้จักดีในทศวรรษที่ 20 ของศตวรรษที่ 20 เป้าหมายโจรกรรมของเขาล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลมั่งคั่งที่มีฐานะทางสังคม เขายังเป็นนักวิจารณ์ผลงานทางด้านศิลปะอีกต่างหาก ฉะนั้นจึงได้รับฉายา โจรผู้ดี Bailey ถูกจับเพราะไปโจรกรรม ต้องโทษจำคุก 18 ปี หลังจากพ้นคุก นักข่าวทั่วประเทศต่างพากันมาขอสัมภาษณ์เขา หนึ่งในนักข่าวเหล่านั้นถามปัญหาที่น่าสนใจข้อหนึ่งกับเขาว่า คุณ Bailey คุณเคยขโมยของของผู้ที่ร่ำรวยมามากมาย ผมอยากทราบว่า ผู้ที่ได้รับความเสียหายที่สุดคือใครครับ Bailey ตอบอย่างไม่ต้องคิดเลยว่า คือผมเอง นักข่าวพากันแตกตื่น Bailey อธิบายต่อว่า ด้วยความสามารถของผม ผมควรจะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง เป็นผู้มีอิทธิพลในวอลล์สตรีท หรือเป็นผู้หนึ่งที่มีคุณูปการต่อสังคม แต่ผมโชคร้ายที่เลือกจะเป็นขโมย เป็นผู้ที่ขโมยของตัวเองมากที่สุด --------- ทุกคนก็รู้ว่าผมเสียเวลาถึง ¼ ของชีวิตในคุก เรื่องแบบเดียวกันยังมีให้เห็นไม่น้อย Wanninger เป็นจิตรกรที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เขาทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกาย ใช้เทคนิคอันวิจิตรพิศดารวาดธนบัตรใบละ 20 ดอลลาร์ เขาก็เหมือน Bailey ทำผิดกฎหมายและถูกจับกุม แต่เรื่องนี้มีนัยที่เสียดสีอย่างหนึ่งก็คือ ธนบัตรฉบับละ 20 ดอลลาร์ที่เขาวาดนั้นใช้เวลาเท่ากับที่เขาวาดภาพเหมือนที่สามารถขายได้ในราคา 500 ดอลลาร์ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จิตรกรผู้มีพรสรรค์ผู้นี้กลับเป็นขโมย เรื่องน่าเศร้าก็คือ ผู้ที่ถูกขโมยอย่างน่าสงสารนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน กลับเป็นตนเอง Bailey และ Wanninger พวกเขาล้วนแต่เป็นคนฉลาดที่มีพรสววรค์ ในบางอาณาจักร พวกเขาล้วนสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยความสามารถของตนเอง มีพื้นที่ยืนของตนอย่างแน่นอน ผู้ที่ขโมยของตนเอง ความจริงยังมีไม่น้อย ทำไมจึงมีคนทำเรื่องโง่ ๆ เช่นนี้อีกเล่า ก็เพราะพวกเขาไม่ได้รู้จักตนเองอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าคุณค่าของตนอยู่ไหน พวกเขาไม่เชื่อมั่นที่จะแสดงความรู้ความสามารถของตนเองอย่างเต็มที่ตรงไปตรงมา นั่นคือการเดินอยู่บนหนทางแห่งความสำเร็จที่สว่างไสว พวกเขายิ่งไม่รู้ว่า การที่ใช้วิธีการผิด ๆ เพื่อได้มาซึ่งเงินทอง ในความเป็นจริงก็คือการเดินเข้าสู่ซอยตัน ความจริงแล้ว ใครก็ตามที่ไม่เชื่อมั่นตนเอง ไม่เคยแสดงออกซึ่งความสามารถของตนอย่างเต็มที่นั้น ล้วนเรียกได้ว่าคือผู้ที่ขโมยของตนเอง ชีวิตของคนเรานั้นสั้นนัก คุณไม่ได้แสดงศักยภาพของตนออกมา คุณกำลังทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ก็คือการโยนทิ้งชีวิตอย่างเปล่าประโยชน์ และก็คือการขโมยสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของตนเอง ขโมยตัวเอง ความสูญเสียใหญ่หลวงนัก คุณถูกขโมยขโมยของไป ไม่ว่าจะเป็นของอะไรล้วนไม่น่ากลัว ยังสามารถใช้เงินซื้อกลับมา สิ่งที่น่ากลัวก็คือคุณขโมยตัวคุณเอง เพราะการขโมยเช่นนี้ สำหรับคุณแล้วอาจหา ข้อแก้ตัว ได้ ฉะนั้นมันจึงเกิดขึ้นตอนที่คุณรู้สึกชินชา และยังจะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ การขโมยตัวเอง กล่าวในแง่มุมเล็ก ๆ แล้ว คือทิ้งความผิดพลาดของตนเองไว้อย่างนั้นต่อไป กล่าวในแง่มุมที่ใหญ่กว่า คือทำให้พลังการผลิตของสังคมลดลง และเท่ากับเป็นการขโมยต่อสังคม เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนต้องพิจารณาทบทวนกันสักครั้งว่า เราใช่เป็นคนที่ขโมยตัวเองหรือเปล่า *** การที่ไม่รับผิดชอบต่อชีวิตของตน ก็เหมือนการขโมยตนเอง *****
Create Date : 02 กันยายน 2553 | | |
Last Update : 2 กันยายน 2553 7:48:40 น. |
Counter : 407 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|