|
ค่าของชีวิต
ค่าของชีวิต เด็กชายคนหนึ่งเติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถามผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยความรู้สึกหมดอาลัยในชีวิตอยู่เสมอว่า เด็กที่ไม่มีใครต้องการอย่างผม มีชีวิตอยู่ยังมีความหมายอะไรอีก ผู้อำนวยการได้แต่ยิ้มไม่ได้ตอบแต่อย่างใด มาวันหนึ่ง ผู้อำนวยการนำก้อนหินมาให้เด็กชายก้อนหนึ่งและบอกกับเด็กชายว่า พรุ่งนี้เช้า เธอจงเอาหินก้อนนี้ไปขายในตลาด แต่ไม่ใช่ ขายจริง จำไว้ ไม่ว่าใครจะให้ราคาแค่ไหนอย่างไร ห้ามขายเด็ดขาด วันรุ่งขึ้น เด็กชายนำก้อนหินไปแล้วนั่งอยู่ ณ มุมหนึ่งในตลาด เขาสังเกตุเห็นมีคนจำนวนไม่น้อยที่สนใจก้อนหินของเขาอย่างเหนือความคาดหมาย ราคายิ่งมาก็ยิ่งให้สูงขึ้นเรื่อยๆ เขากลับมาที่สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า รายงานให้ผู้อำนวยการทราบด้วยความตื่นเต้น ผู้อำนวยการได้แต่ยิ้มและบอกให้เขานำก้อนหินไปขายที่ตลาดทองคำในวันพรุ่งนี้ ในตลาดทองคำ มีคนเสนอราคาที่สูงกว่าเมื่อวานถึงสิบเท่า สุดท้าย ผู้อำนวยการให้เขานำก้อนหินไปจัดแสดงที่ตลาดเพชรพลอย ปรากฎว่าราคาก้อนหินพุ่งสูงขึ้นอีกสิบเท่า เนื่องจากเด็กชายยืนยันไม่ขาย หินก้อนนี้เลยเป็นข่าวแพร่สะพัดออกไปว่า เป็นของหายาก ที่ประเมินค่ามิได้ เด็กชายดีใจมากนำก้อนหินกลับมาที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ถามผู้อำนวยการว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ผู้อำนวยการไม่ยิ้ม มองหน้าเด็กชายและกล่าวอย่างช้าๆ ว่า ค่าของชีวิตก็เหมือนหินก้อนนี้ ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างก็จะมีความหมายที่แตกต่าง หินก้อนหนึ่งที่ดูธรรมดาๆ แต่เนื่องจากเธอรักและหวง แหน ไม่อยากขายราคาจึงเขยิบเพิ่มขึ้น กระทั่งเป็นข่าวลือว่าเป็นของมีค่าหายาก เธอก็เหมือนกับหินก้อนนี้ ขอเพียงแต่เห็นค่าของตนเอง รักตนเอง ชีวิตก็จะมีค่า มีความหมาย
*** ถ้าหากตนเองยังดูถูกตนเองแล้ว คนอื่นก็ยิ่งดูถูกเรา ค่าของชีวิตขึ้นอยู่ที่ว่าก่อนอื่นเรามีท่าทีต่อมันอย่างไร รักตัวของเราเอง ถนอมเวลาที่มีเพียงไม่กี่สิบปีของชีวิตนี้ และหมั่นฝึกฝนทำให้ตนเองสมบูรณ์แบบ ค้นพบตนเองให้ได้ ในที่สุดโลกนี้จึงจะยอมรับในคุณค่าของเรา
*****
Create Date : 13 กรกฎาคม 2553 | | |
Last Update : 13 กรกฎาคม 2553 16:41:58 น. |
Counter : 409 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สุดยอดวิธีของหนู
สุดยอดวิธีของหนู มีหนูอยู่ฝูงหนึ่งได้รับความทรมานจากการไล่ล่าของแมว พวกมันจึงเรียกเปิดประชุมใหญ่ขึ้น เรียกร้องให้สมาชิกทุกตัวช่วยกันใช้สติปัญญาปรึกษาหาหนทางรับมือกับแมว เพื่อแก้ไขปัญหาความอยู่รอดและเพื่อให้เหล่าหนูได้อยู่เย็นเป็นสุข เหล่าหนูเค้นสมองคิด บ้างก็เสนอหาวิธีการให้แมวเปลี่ยนความเคยชินไปกินปลากินไก่แทน บ้างก็เสนอให้คิดค้นผลืตยาฆ่าแมว บ้างก็เสนอ....... สุดท้าย ยังมีหนูแก่ที่ดูท่าทางเจ้าเล่ห์ได้เสนอวิธีที่ใครๆ ได้ฟังแล้วล้วนแต่ยอมรับอย่างสิโรราบ ถึงกับตะโกนโห่ร้องว่า สุดยอด สุดยอด วิธีการก็คือ ใส่กระพรวนที่คอแมว เพียงแต่แมวกระดิกเคลื่อนไหวก็จะเกิดเสียงดัง เหล่าหนูก็จะได้ยินสัญญาณและหลบหนีทัน มตินี้ผ่านการลงคะแนนอย่างเป็นเอกฉันท์ แต่จนแล้วจนรอดนโยบายที่ว่านี้ก็ยังไม่ได้รับการปฎิบัติที่เป็นจริง ไม่ว่าจะตั้งรางวัลสูงลิ่ว ประกาศแจกเกียรติบัตรก็แล้ว แต่ไม่ว่าจะเลือกใช้กระบวนท่าอะไรก็ดูเหมือนไม่อาจนำไปสู่ภาคปฎิบัติได้ ถึงขณะนี้ เหล่าหนูก็ยังคงอภิปรายโต้แย้งกันไม่สิ้นสุด และก็ยังเรียกประชุมใหญ่อยู่อีกเสมอ
*** ระบบหรือนโยบายจะอัจฉริยะเลอเลิศเพียงใด หากกปฎิบัติไม่ได้มันก็เท่านั้น
*****
Create Date : 12 กรกฎาคม 2553 | | |
Last Update : 12 กรกฎาคม 2553 16:58:47 น. |
Counter : 378 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ผมช่วยพวกคุณซื้อข้าว
ผมช่วยพวกคุณซื้อข้าว หนุ่มชนบทคนหนึ่งมาตะลุยใช้ชีวิตในกรุง เขามาสมัครเป็นเซลส์แมนขายรองเท้าในโรงงานแห่งหนึ่ง เนื่องจากวุฒิการศึกษาไม่ถึงจึงถูกปฎิเสธ เขาไปขอพบผู้จัดการฝ่ายธุรการ สาธยายถึงข้อเด่นของตนเอง จนสุดท้ายผู้จัดการบอกเขาว่า คุณรอจนกว่าการสัมภาษณ์สิ้นสุดลง แล้วค่อยมาใหม่ ในระหว่างรอคอย เด็กหนุ่มคนนี้ได้ทำเรื่องเช่นนี้ เขาเล่าให้ฟังในภายหลังว่า ....... ผมรอคอยอยู่หน้าโรงงานด้วยความหวัง ไหนไหนผมก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี แต่ท้องของผมก็ไม่ยอมให้ผมรอคอยอย่างสงบจิตสงบใจ เกือบจะ 11 โมงแล้ว ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้กิน ผมหิวจนแทบจะหมดแรง การสัมภาษณ์ก็ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ต้องกรอกแบบฟอร์มที่ละคน ตอบคำถาม ถึงเวลานี้ยังต้องเข้าแถวรอคิวอีก 70 80 คน ดูท่าทางคงต้องรอถึงประมาณบ่าย 4 5 โมงเป็นอย่างเร็ว เวลานี้ผมไม่กล้าหวังที่จะไปกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารของโรงงาน มีร้านขายของชำแห่งหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ โรงงาน แต่ถ้าจะกินข้าวต้องข้ามถนนแล้วเดินไปข้างหน้าอีกไกลโขจึงจะมีศูนย์การค้า ผมไม่มีอารมณ์ที่จะเดินไปไกลขนาดนั้นเพื่อหาข้าวกินสักมื้อ เลยต้องทนหิวรอพวกนักศึกษาทั้งหลายให้สัมภาษณ์ แต่ดู ๆ พวกเขาก็หิวจะแย่เหมือนกัน หลายคนหิวจนหมดแรงยืนพิงกำแพง อาจจะเหมือนผมที่ไม่ได้กินข้าวเช้า แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเดินไปไหนไกล กลัวจะพลาดการสัมภาษณ์ มีหลายคนโอดครวญว่าหิวมาก บอกว่าถ้ามีใครช่วยไปซื้อข้าวกล่องมาก็ดีซินะ จะยอมจ่ายค่าเหนื่อยให้ พอฟังเช่นนี้ผมก็ปิ๊งไอเดียทันที นี่เป็นโอกาสที่จะหาเงินได้เลย ผมเดินเข้าไปหาและพูดว่า ผมช่วยพวกคุณซื้อข้าว พวกเขาเหมือนพระเจ้ามาโปรด รีบหยิบเงินมาให้ผมเป็นการใหญ่ พวกเขาเสนอให้เงินค่าเดินกับผม ทีแรกผมก็ปฎิเสธ แต่ยิ่งปฎิเสธพวกเขาก็ยิ่งอยากจะให้ บอกว่าอะไรกันช่วยงานผู้อื่นแล้วยังไม่ยอมรับเงิน ผมรับเงินของคน 20 กว่าคน แล้วเดินข้ามถนนไปยังศูนย์การค้า พบร้านฟาสต์ฟูดแห่งหนึ่ง บอกว่าจะสั่งอาหารจานด่วน 60 กล่อง ผมถามเถ้าแก่ว่าจะลดราคาให้ได้บ้างไหม เถ้าแก่ตอบว่าตกลงลดจากกล่องละ 30 บาท เหลือ 25 บาท ผมบอกว่าขอจ่ายเงินครึ่งหนึ่งก่อน และให้เด็กในร้านช่วยผมหิ้วไปด้วย จะได้เก็บเงินส่วนที่เหลือ เถ้าแก่ตอบตกลง ผมและเด็กในร้านช่วยกันหิ้วเอาข้าวกล่องมาถึงหน้าโรงงาน ส่งข้าว 20 กว่ากล่องให้แก่คนที่ฝากผมซื้อก่อน ส่วนที่เหลืออีก 30 กว่ากล่องผมเสนอขายให้คนอื่นๆ ในราคากล่องละ 35 บาท ไม่คาดเลยว่าพวกเขาแย่งกันซื้อจนหมดเกลี้ยงในชั่วพริบตา ผมนึกเสียดายที่น่าจะซื้อมาให้มากกว่านี้ เพราะตัวเองก็ยังไม่ได้กิน ผมจ่ายเงินอีกครึ่งที่เหลือให้พนักงานร้านอาหารไป นับเงินแล้วผมได้กำไรตั้ง สี่ร้อยกว่าบาท ผมดีใจจนลืมไปว่าตัวเองกำลังรอเรียกสัมภาษณ์อยู่ ได้เงินแล้วก็เดินออก ได้ยินเสียงเรียกอยู่ด้านหลัง พอหันกลับมาดู ผู้จัดการฝ่ายธุรการกำลังโบกมือเรียกผม ที่แท้เขาได้เห็นเหตุการณ์ที่ผมขายข้าวกล่องแล้ว ชูนิ้วโป้งพูดว่า ไอ้หนุ่ม ไม่เลวเลย มีหัวนี่ ดูเหมือนตอนแรกเธอคงไม่ได้คุยโม้ ฉันตัดสินใจฝืนกฎแกณฑ์รับเธอเข้าเป็นพนักงานขาย ชั่วขณะนั้นผมยังไม่ทันรู้ตัวว่าโชคกำลังเข้าข้าง กลับตอบออกไปอย่างเซ่อๆ ว่า เดี๋ยวค่อยคุยกัน ขอผมไปกินข้าวก่อน ผู้จัดการเข้าใจว่าผมกำลังยั่วอารมณ์เขา ที่แท้ผมได้กำไรเงินดีใจจนลืมอะไรไปหมด ผู้จัดการบอกว่า เธอไม่ต้องไปไหน มากินข้าวที่โรงงานนี่แหละ ตอนนี้เที่ยงพอดี พวกเรากำลังจะกินข้าวเที่ยง ตอนนี้ผมเพิ่งรู้ว่าโชคมาเยือน ดีใจจนไม่รู้จะพูดอะไรดี
*** ผู้มีความสามารถ ช่วงชิงโอกาสได้ทุกเวลา
*****
Create Date : 11 กรกฎาคม 2553 | | |
Last Update : 11 กรกฎาคม 2553 17:28:52 น. |
Counter : 421 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
รักสีเลือดของแม่
รักสีเลือดของแม่
นิทานเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ประเทศออสเตรีย โรซ่า เด็กหญิงอายุ 13 ปี เธอเป็นเด็กขี้อาย ขี้กลัว และแปลกแยก พ่อของเธอจากโลกนี้ไปตั้งแต่เธอยังเล็กๆ โซเฟียแม่ของเธอเป็นพนักงานอยู่ในบริษัทรับจ้างทำความสะอาดแห่งหนึ่ง อาศัยเงินเดือนอันน้อยนิดเลี้ยงดูเธอมา เนื่องจากครอบครัวยากจน เพื่อนๆ ของโรซ่ามักจะดูถูกและกลั่นแกล้งเธอเสมอ สิ่งนี้ก็คือเงามืดที่ฝังอยู่ในใจของเด็กน้อย นานเข้า โรซ่าจึงรู้สึกโกรธและคับแค้นใจในแม่ของเธอ คิดว่านี่คือความต่ำต้อยของแม่ทำให้เธอต้องลำบาก วันหนึ่งในปลายเดือนกุมภาพันธ์ปี 2002 โซเฟียได้รับอนุญาติให้ไปพักร้อนได้หนึ่งอาทิตย์จากการเป็นพนักงานดีเด่น เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก โซเฟียตัดสินใจพาลูกสาวไปเล่นสกี แต่ความโชคร้ายก็มาเยือน พวกเธอหลงทางในหิมะ เนื่องจากขาดประสบการณ์ในพื้นที่ที่เป็นหิมะ พวกเธอหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ร้องตะโกนให้คนมาช่วยด้วยเสียงอันดัง ไม่คาดคิดว่าการตะโกนด้วยเสียงอันดังเป็นเวลายาวนานจะทำให้หิมะพังลงมา หิมะกลบเธอแม่ลูกสองคนเอาไว้ ด้วยสัญชาติณาณของการอยู่รอด แม่ลูกสองคนช่วยกันขุดคุ้ยมุดตัวออกจากกองหิมะด้วยความยากลำบาก สองแม่ลูกจูงมือกันเดินหาทางออกอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง ทันใดนั้น โซเฟียมองเห็นเฮลิคอปเตอร์กู้ชีพกำลังบินผ่าน แต่เนื่องจากสองแม่ลูกสวมใส่เสื้อผ้าที่กลมกลืนกับสีหิมะ ทำให้หน่วยกู้ชีพไม่สามารถมองเห็นพวกเธอได้ ขณะที่โรซ่าฟื้นขึ้นมา พบว่าตัวเธอนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แต่โซเฟียแม่ของเธอได้เสียชีวิตไปแล้ว หมอบอกกับโรซ่าว่า ผู้ที่ช่วยชีวิตของเธอที่แท้จริงแล้วเป็นแม่ของเธอเอง โซเฟียใช้แผ่นหินเชือดหลอดเลือดใหญ๋ที่ข้อมือตัวเอง หลังจากนั้นก็ละเลงเลือดของเธอในพื้นหิมะเป็นทางยาวสิบกว่าเมตรเพื่อให้หน่วยกู้ชีพสามารถค้นพบตำแหน่งของพวกเธอ และก็จากรอยเลือดสีแดงฉานนี่แหละที่ทำให้หน่วยกู้ชีพสังเกตุเห็นพวกเธอ
** พวกเราอาจจะเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน พวกเราอาจจะมีฐานะที่ต่ำต้อยกว่าครอบครัวอื่น พวกเรา อาจจะประสบพบเรื่องราวร้ายๆ ที่ขื่นขม แต่ขอให้เชื่อมั่นว่า ความรักของพ่อ แม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่และบริสุทธิที่สุดในโลก
*****
Create Date : 10 กรกฎาคม 2553 | | |
Last Update : 10 กรกฎาคม 2553 19:20:36 น. |
Counter : 428 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สุนัขจิ้งจอกกับแกะ
สุนัขจิ้งจอกกับแกะ
แกะตัวหนึ่งต้องสงสัยว่ากินไก่ไป 2 ตัว ถูกพิจจารณาคดีในศาลสัตว์ ผู้พิพากษาคือสุนัขจิ้งจอกที่ฉลาดปราดเปรื่อง แกะแก้ข้อกล่าวหาให้กับตัวเองว่า วันนั้นข้านอนหลับตั้งแต่เช้ายันค่ำ อีกอย่างเพื่อนๆ ที่สนิทสนมกับข้าทั้งหลายก็สามารถเป็นพยานได้ว่า ข้าเป็นชาวมังสะวิรัต ตลอดชีวิตนี้ไม่กินเนื้อสัตว์ทุกชนิด จากนั้น สุนัขจิ้งจอกผู้พิพากษากับพวกก็ลงมติเป็นเอกฉันท์และในที่สุดก็ตัดสินว่า พวกเราเห็นพ้องต้องกันว่า เหตุผลของแกะในการแก้ต่างนั้นไม่เพียงพอจึงฟังไม่ขึ้น เพราะว่าการปิดบังอำพรางพยานหลักฐานเป็นเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายที่ใช้กันบ่อยของผู้กระทำผิดมหันต์อยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นความใกล้ชิดสนิทกันกับไก่ขนาดนี้มีหรือที่แกะจะอดรนทนไหวต่อเนื้อไก่ที่เย้ายวนปากได้ ฉะนั้นอาศัยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของข้ามาตัดสินแล้ว แกะไม่มีทางที่จะปล่อยให้ไก่ลอยนวลไปได้ แกะถูกพิพากษาประหารชีวิต ให้รีบดำเนินการในทันที เนื้อแกะถูกริบโดยศาล หนังแกะก็ให้นำไปขายที่ตลาด
*** การตัดสินที่ไม่เที่ยงธรรมครั้งเดียว ผลร้ายนั้นหนักกว่าการกระทำผิดสิบเท่า เพราะการกระทำผิดเป็นการไม่เคารพกฎหมาย เปรียบเสมือนสายน้ำที่ถูกปนเปื้อน แต่การตัดสินที่ไม่ยุติธรรมเป็นการทำลายกฎหมาย เปรียบเสมือนการปนเปื้อนตั้งแต่ต้นน้ำ
*****
Create Date : 09 กรกฎาคม 2553 | | |
Last Update : 9 กรกฎาคม 2553 16:48:10 น. |
Counter : 466 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|