Business, Management, Skill, Experiences--แลกเปลี่ยน เรียนรู้ แบ่งปัน ประสบการณ์ บริหาร และอื่น ๆ
Group Blog
 
All blogs
 

การเลือกรองเท้ากีฬาให้เหมาะสม

การเลือกรองเท้ากีฬาให้เหมาะสม




ใครที่กำลังมองหารองเท้ากีฬามาใส่ออกกำลังกาย วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีการเลือกรองเท้ากีฬาให้เหมาะสมมาฝาก...

- รองเท้าวิ่ง
รองเท้าวิ่งจะต้องมีแผ่นรองเท้าที่กันกระแทกและจะต้องมีหุ้มส้นที่พอเหมาะ รองเท้าจะป้องกันเอ็นอักเสบ ปวดส้นเท้า และกระดูกหัก

- รองเท้าสำหรับเดิน
ควรเป็นรองเท้าที่มีน้ำหนักเบาและควรมีแผ่นกันกระแทกที่ส้นเท้าและกลางบริเวณฝ่าเท้า ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดบริเวณส้นเท้าและฝ่าเท้า พื้นรองเท้าจะออกป้านๆเพื่อให้การถ่ายน้ำหนักจากส้นเท้าไปยังนิ้วเท้าและลดแรงที่ฝ่าเท้า รองเท้าสำหรับเดินจะมีส่วนหน้าซึ่งค่อนข้างแข็งกว่ารองเท้าวิ่ง

- รองเท้าสำหรับเต้นแอโรบิค
รองเท้าต้องมีน้ำหนักเบาเพื่อมิให้เกิดอาการเมื่อยเวลาออกกำลังกาย ตรงฝ่าเท้าต้องมีแผ่นกันกระแทกที่นุ่มเพราะส่วนนี้เป็นส่วนที่มีการกระแทกมากที่สุด

- รองเท้าสำหรับการเล่นเทนนิส
ต้องเป็นรองเท้าที่ป้องกันข้อเท้าขณะที่มีการสไลต์ออกข้าง พื้นรองเท้าไม่จำเป็นต้องมีแผ่นกันกระแทกที่หนาเกินไป

- รองเท้าสำหรับการเล่นเบสบอล
พื้นรองเท้าต้องหนาและแข็งเพื่อการทรงตัวที่ดี และต้องเป็นรองเท้าหุ้มข้อเพื่อป้องกันข้อพลิก หากใส่รองเท้าแล้วมีปัญหาปวดที่ส้นเท้า ฝ่าเท้าอาจจะต้องหาอุปกรณ์เพิ่มเช่น แผ่นรองส้นเท้า แผ่นรองฝ่าเท้า

รู้อย่างนี้แล้ว ควรเลือกซื้อรองเท้ากีฬาให้เหมาะกับประเภทกีฬาดีกว่า เพื่อความปลอดภัย.




ที่มา: //www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=74402&NewsType=2&Template=1




 

Create Date : 30 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 30 พฤษภาคม 2552 10:04:03 น.
Counter : 723 Pageviews.  

วิธีป้องกันตัวแบบญี่ปุ่น (Japanese self - defence technique)


วิธีป้องกันตัวแบบญี่ปุ่น (Japanese self - defence technique)


สวัสดีครับเพื่อน ๆ วันนี้มีภาพแสดงวิธีการป้องกันตัวแบบญี่ปุ่น (Japanese self - defence technique) มาฝาก

อาจจะไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะคุณผู้หญิง เพราะผู้ชายก็ควรเรียนรู้ และฝึกไว้ให้คล่องนะครับ


ที่มา: FWD Email


















































































 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 30 พฤษภาคม 2552 10:06:20 น.
Counter : 2870 Pageviews.  

เคล็ดลับลูกน้อย สมองดีมีคุณธรรม (((นำมาฝาก)))

เคล็ดลับลูกน้อย สมองดีมีคุณธรรม





สมองของคนเรา ร้อยละ 80 จะเติบโตในช่วง 0-2 ปีแรก และจะพัฒนาได้ดีจนถึงช่วง 3 ปีแรก เรียกว่าเป็นหน้าต่างของโอกาสที่กำลังเปิดกว้างอย่างเต็มที่ พ่อแม่จึงต้องกระตุ้นพัฒนาการให้กับลูกอย่างครบถ้วนทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม

นิตยสารรักลูก ร่วมกับโรงพยาบาลบี.แคร์ฯ โรงพยาบาลไทยนครินทร์ จัดสัมมนา เจาะกล ยุทธ์... สร้างลูกสมองดี เชิญแพทย์ด้านพัฒนาการเด็กมาให้คำแนะนำ

พ.ญ.ดวงรัตน์ วังเกล็ดแก้ว กุมารแพทย์โรงพยาบาลไทยนครินทร์ กล่าวว่า สมองดี หมายถึงสมองที่ทำให้เจ้าของเป็นคนดี มีความสุข มีการเรียนรู้ได้ดีตามศักยภาพ ตามวัย ฉลาด เอาตัวรอดได้ มีความสร้างสรรค์ แต่ต้องไม่ละเลยเรื่องคุณธรรมและต้องเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นด้วย

"พ่อแม่เปรียบเสมือนครูคนแรกของลูก เลี้ยงดูลูกได้เองด้วยวิธีตามธรรมชาติ เริ่มต้นด้วยการปลูกฝังให้ลูกได้คิด ได้เล่น ได้เรียนรู้ กระตุ้นให้ลูกได้พัฒนาสมองด้วยกิจกรรมง่ายๆ ในช่วงขวบปีแรก พ่อแม่ควรดูแลลูกอย่างใกล้ชิด และควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ นอกจากลูกจะได้สารอาหารครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว เวลาที่ลูกอยู่ในอ้อมแขนของแม่ยังเป็นการกระตุ้นและส่งเสริมประสาทสัมผัสทั้ง 5 ไม่ว่าจะเป็น ตา หู ผิวหนัง จมูก ลิ้น หรือเวลาอุ้มลูกก็ให้อยู่ในระดับที่ลูกมองแม่ได้ เพราะเป็นช่วงที่ลูกต้องการความรักและความผูกพันจากพ่อแม่ผ่านการพูดคุย เลี้ยงดู และเล่นไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะวัยต่ำกว่า 2 ขวบเด็กกำลังเตาะแตะ ควรเรียนรู้ผ่านการสื่อสารพูดคุยและการอ่านหนังสือ เล่านิทาน เพราะจะเป็นตัวกระตุ้นการสร้างเครือข่ายสมองของลูกด้วย"



สิ่งสำคัญในการพัฒนาศักยภาพสมอง คือกรรมพันธุ์ การเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อม อาหาร แต่ในเด็กที่สมองปกติถ้าขาดการกระตุ้น ขาดการเอาใจใส่จะส่งผลเสียได้ ที่สำคัญการที่เด็กคนหนึ่งจะเป็นเด็กเก่งได้ไม่ใช่ส่งเสริมเพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น ต้องพัฒนาทั้งสติปัญญา กล้ามเนื้อมัดเล็ก (มือ) กล้ามเนื้อมัดใหญ่ (แขน ขา) ภาษา สังคม และอารมณ์ควบคู่กันไปด้วย

พ.ญ.อดิศร์สุดา เฟื่องฟู กุมารแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่า สมองของคนเรามีอิทธิพลอย่างมากในการเรียนรู้ต่อความฉลาด บุคลิกภาพ และสภาพจิตใจของเด็กทั้งหมด การที่เด็กสมองดีควรเรียนรู้ได้ดีตามศักยภาพตามวัยของเขา และมีวิธีการคิดที่มีเหตุผล มีความคิดสร้างสรรค์ พฤติ กรรมเหล่านี้ล้วนเกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่

"ช่วงวัยที่สมองลูกกำลังพัฒนาพ่อแม่ต้องให้โอกาสลูกได้เรียนรู้และลองทำสิ่งใหม่ๆ ส่งเสริมตามพัฒนาการง่ายๆ เช่น การเลือกนิทานให้เหมาะสมกับอายุ ในช่วงอายุตั้งแต่ 6 เดือนจนถึง 1-2 ขวบ หนังสือรูปภาพและหนังสือสอนคำศัพท์จะเหมาะกับช่วงนี้ ในช่วงอายุ 3 ขวบจะเริ่มมีพัฒนาการด้านจินตนาการ สังเกตได้จากการที่เขาเริ่มกลัวโน่นกลัวนี่ หนังสือที่เหมาะสมและแนวที่ชอบจะเป็นพวกเจ้าหญิงเจ้าชาย คุณพ่อคุณแม่อาจต้องดูด้วยว่าลูกเราชอบตัวละครตัวไหน เพราะความชอบจะเพิ่มความสนใจให้กับเขามากเป็นพิเศษ ต้องพิจารณาว่านิทานแต่ละเล่มที่เลือกเหมาะสมกับลูกของเราด้วย หลักในการเสริมสร้างให้ลูกมีมุมมองที่ดีทำได้ด้วยการเล่านิทานหรืออ่านหนังสือให้ฟัง เพราะจะทำให้เด็กมีสมาธิดี สร้างสรรค์ประสบการณ์และจินตนา การ ช่วยกระตุ้นกระบวนการคิดในการมีส่วนร่วมและเข้าใจเรื่องราว

สิ่งสำคัญคือพ่อแม่ต้องไม่ละเลยเรื่องจิตใจ ด้วยการให้เข้าใจความรู้สึกของคนอื่น อย่าให้เขาเป็นคนฉลาดแต่เอาเปรียบคนอื่น ควรปลูกฝังลูกเรื่องคุณธรรม จริยธรรม เพื่อให้เขาเข้าใจจิตใจของคนอื่น เพราะการที่โตขึ้นจะเก่งอยู่คนเดียวแต่ไม่สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้จะทำให้เขาอยู่ร่วมกับสังคมยาก

พ.ญ.กันดาภา ฐานบัญชา สูตินรีแพทย์ฯ โรงพยา บาลบี.แคร์ เมดิคอลเซ็นเตอร์ กล่าวในหัวข้อ "กิน เล่น นอน สูตรลับสร้างลูกฉลาด" ว่าเรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวันที่พ่อแม่ทำได้คือฝึกให้ลูกให้ทำกิจวัตรประจำวัน เริ่มต้นจากทักษะด้านต่างๆ สร้างนิสัยและวินัยไปพร้อมๆ กับการส่งเสริมพัฒนาการให้ลูก

"การสร้างบรรยากาศในการกินของลูกนั้น ควรทำไปพร้อมๆ กับคุณพ่อคุณแม่ ชวนลูกกินแล้วยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น "เห็นไหมคุณพ่อก็กินผัก คุณแม่ก็กินผัก คุณตาคุณยายก็กินผักแล้วลูกกินผักหรือยังคะ" ครั้งแรกลูกอาจยังไม่กิน เราต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ อย่าใจร้อน ค่อยเป็นค่อยไป ใจเย็นๆ อาจต้องใช้การเล่านิทาน ต้องเลือกนิทานที่มีเนื้อหาของเด็กที่รับประทานผักแล้วร่างกายแข็งแรง เล่าให้ฟังสัก 2-3 สัปดาห์ลูกจะรู้สึกว่ากินผักแล้วก็ดีนะ

ส่วนการนอน พ่อแม่เริ่มต้นด้วยการฝึกให้เด็กนอนเป็นเวลา ทำกิจกรรมก่อนนอนสม่ำเสมอจนเป็นกิจวัตร เช่น อาบน้ำ นวดสัมผัส หรือสร้างบรรยา กาศก่อนนอน เช่น อ่านนิทาน ฟังเพลงหรือกล่อมเบาๆ เพื่อให้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย วิธีนี้พิสูจน์แล้วว่าจะช่วยให้ลูกน้อยหลับสนิทและยาวนานยิ่งขึ้น ฝึกการเข้านอนด้วยตัวเอง เป็นการสร้างนิสัยเพื่อพัฒนาการที่ดีของลูกน้อย



ที่มา: //www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROc1lXUXdNVEk1TURVMU1nPT0=§ionid=TURNeE5BPT0=&day=TWpBd09TMHdOUzB5T1E9PQ==




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2552 17:13:15 น.
Counter : 670 Pageviews.  

รุก-รับ-รอด สไตล์ รพ.กรุงเทพ


รุก-รับ-รอด สไตล์ รพ.กรุงเทพ


------------------------------------------------------------------------------
((( รพ. กรุงเทพ วิธีการบริหารที่น่าสนใจ จึงเอามาฝาก เผื่อจะเป็นประโยชน์กับหลายคน )))
------------------------------------------------------------------------------

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


เมื่อตลาดในประเทศไทยเริ่มสั่นคลอน แนวทางรับมือของ รพ.กรุงเทพ คือ รุกตลาดต่างประเทศ

ผลจากการที่โรงพยาบาลกรุงเทพมีส่วนลูกค้าต่างประเทศ 40% และลูกค้าไทย 60% ส่งผลให้ นายแพทย์ชาตรี ดวงเนตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลกรุงเทพ รู้สึกเป็นกังวล หากสถานการณ์ทางการเมืองภายในยังส่งผลเชิงลบต่อภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาชาวต่างชาติ

เมื่อตลาดในประเทศไทยเริ่มสั่นคลอน แนวทางรับมือของ รพ.กรุงเทพ คือ รุกตลาดต่างประเทศ

กำหนดพื้นที่เป้าหมายอยู่ในแถบยุโรป ตะวันออกกลาง UAE ญี่ปุ่น และประเทศเพื่อนบ้าน พม่า บังคลาเทศ

ส่วนการทำงานเชิงรุกตลาดในประเทศนั้น นพ.ชาตรี ปักธงไว้ที่ CRM (Customer Relationship Management) เพื่อสร้างเชื่อมั่นในคุณภาพการรักษาพยาบาลที่ได้มาตรฐานเหนือคู่แข่ง และความภักดีต่อแบรนด์แบบยั่งยืน

“เรานำระบบ SIEBEL CRM มาใช้ เพื่อเสริมศักยภาพระบบการจัดเก็บฐานข้อมูลลูกค้าที่ได้จากบัตรชีววัฒนะ เพื่อให้บริการลูกค้าสัมพันธ์ดียิ่งขึ้น”

การที่ รพ.กรุงเทพ จะก้าวข้ามปัญหาต่างๆ ไปได้ นพ. ชาตรี บอกว่า ต้องนำการตลาดแบบผสมผสาน IMC (Integrated Marketing Communication) ภายใต้งบประมาณที่พอดี และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด
รวมถึง การนำ Lean Organization Model มาใช้บริหารงานองค์กร

โดย 3 ส่วนหลักของการบริหารงาน คือ

บริหารต้นทุน ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า และเกิดศักยภาพที่สุด

บริหารคน พัฒนาศักยภาพของบุคลากร แพทย์ พยาบาล และพนักงานทั่วไปให้มีความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขา

พัฒนานวัตกรรม จัดหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาให้บริการ

“ในภาวะวิกฤต ต้องมองปัญหาให้รอบด้านมากขึ้น วิเคราะห์ปัญหาอย่างมีเหตุผล และสำคัญต้องสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด”

แม้ปีนี้จะไม่มีการลงทุนเพิ่ม แต่โดยภาพรวมของธุรกิจยังคงให้ความสำคัญกับโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ โรงพยาบาลวัฒโนสถ โรงพยาบาลเฉพาะทางโรคมะเร็ง พร้อมผลักดันศูนย์สมองกรุงเทพให้เป็นศูนย์กลางทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญครบวงจร

หากเดินได้ตามเกม การผ่านเส้นทางวิกฤต ของ รพ.กรุงเทพ จะเป็นอีกขั้นการทำงานที่ขยับสู่มาตรฐานสากล


ที่มา: //www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/100_CEO/20090521/43426/รุก-รับ-รอด-สไตล์-รพ.กรุงเทพ.html




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2552 15:54:46 น.
Counter : 685 Pageviews.  

โออิชิ กรุ๊ป รู้วิธีรบใต้วิกฤต


โออิชิ กรุ๊ป รู้วิธีรบใต้วิกฤต


............................................................................................
((( พูดถึงคุณ ตัน .... ต้องยอมรับความสามารถที่เขามี เขาสามารถสร้างธุรกิจและสร้างแบรนด์ โออิชิ จนเกือบทุกคนในประเทศไทยรู้จัก ... ลองดูวิธีคิดของเขานะครับ )))
............................................................................................
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


หากเอ่ยถึงชาเขียวคนจะนึกถึง “โออิชิ” กลับกัน หากพูดถึงชาเขียวแบรนด์นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “ตัน ภาสกรนที” คนต้นคิด ปั้นธุรกิจนี้จนโด่งดัง

ในฐานะประธานบริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) นักบริหารและสร้างแบรนด์ตัวยงของ ตัน ไม่ได้เรียบง่ายเสมอไป เพราะที่ผ่านมามีหลายวิกฤตที่ผ่านเข้ามาทดสอบ รวมถึงวิกฤตการเงินโลกครั้งนี้

วิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 หรือ ต้มยำกุ้ง โจทย์ใหญ่ในชีวิตธุรกิจที่ ตัน เจอและผ่านมันมาแล้วด้วยอาการที่ไม่สะบักสะบอมนัก ที่สำคัญกว่านั้น คือ วิกฤตทำให้เขาแข็งแรงขึ้น

และ ทำให้รู้ถึง “วิธีรบในสถานการณ์วิกฤต”

การมองหาโอกาสในช่วงวิกฤตให้เจอได้นั้น ตัน บอก ต้องมาจากการเตรียมตัวเองให้พร้อมเสมอ กับอีกสิ่งต้องใช้ประสบการณ์ที่สั่งสม และเรียนรู้มาเข้าช่วย

วิกฤตเศรษฐกิจการเงินของโลกครั้งนี้ ตัน บอก เลือกที่จะเดินหน้าลงทุน ขณะที่คนอื่นหยุด

นั่นเพราะความเชื่อที่ว่า วิกฤตเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการลงทุนเมื่อตลาดมีความชัดเจน เพราะเท่ากับว่า คุณอาจช้ากว่าคนอื่นแล้ว

ทันทีที่สัญญาณปัญหาเศรษฐกิจเริ่มชัดเจน ตัน หันมาลงทุนโฆษณาเพื่อสื่อสารกับตลาดพร้อมๆ กันทีเดียว 8 เรื่อง ออกอากาศตลอดถึงสิ้นปี 2552

เท่ากับ สินค้าในโออิชิ กรุ๊ปจะมีโอกาสสื่อสารกับตลาดได้มากกว่าใคร ๆ โดยเฉพาะคู่แข่ง

นอกจากอาศัยจังหวะรุกในช่วงที่คนอื่น “หยุดนิ่ง” การบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ เป็นอีกแนวรบที่ต้องทำในช่วงวิกฤต

ตัน ลดความเสี่ยงจากการบริหารต้นทุน และสินค้าใน Portfolio ให้สมดุลมากขึ้น

สิ่งที่เรียนรู้จากอดีต การพึ่งพารายได้จากชาเขียวสัดส่วนมากถึง 80% แม้จะสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่เมื่อเกิดเหตุนอกเหนือการควบคุม ก็เป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่ ตัน จะบริหารความเสี่ยงนี้ได้เพียงลำพัง

เขา เจอมากับตัวแล้วจากปัญหาการพบสิ่งแปลกปลอมในชาเขียวโออิชิ เหตุการณ์ครั้งนี้บั่นทอนทั้งความน่าเชื่อถือของแบรนด์ และรายได้ลง

การแก้เกมด้วยวิธีซื้อเครื่องสแกนหาสิ่งแปลกปลอมซึ่งทุ่มทุนถึง 100 ล้านบาท แต่ก็คุ้มเมื่อสามารถแก้วิกฤติศรัทธาให้กับโออิชิได้

ทันทีที่พลิกฟื้น ตัน ปรับสมดุลสินค้าในมือ โดยลดบทบาท โออิชิ ให้ลดลงในเชิงของสัดส่วนรายได้ ขณะที่ปรับความสำคัญสินค้ากลุ่มอื่น อาทิ น้ำส้มเซกิ กาแฟคาฟิโอ ฯลฯ ให้มีบทบาทมากขึ้น

“ในสงครามไม่ใช่มีแต่คนแพ้เสมอไป” ตัน บอก และ เขา ก็เรียนรู้ที่จะผ่านวิกฤตมาให้ได้



ที่มา: //www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/100_CEO/20090527/45013/โออิชิ-กรุ๊ป-รู้วิธีรบใต้วิกฤต.html




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2552 15:47:55 น.
Counter : 1281 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

byonya
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]




I am not a perfect, but simple!

 
 
Custom Search



 
 

Website น่าสนใจ  
 
หนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท

เว็บการศึกษา Eduzones.com

Business Web Directory .biz - Business Directory
 


Word of the Day

This Day in History

Quote of the Day

Hangman




Friends' blogs
[Add byonya's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.