Group Blog
 
All Blogs
 

"ผมนี่แหละ...มืออาชีพ...ตัวจริง ตอนที่ 36 ลาออกจากยิบอินซอย"

วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน ซึ่งเป็นอาทิตย์ที่ 23 ของปี 2521



ลุงเข้าoffice สายหน่อย เพราะตอนเช้าต้องไปรับจดหมายรับเข้าทำงานของ บริษัท ซัมมิท คอมพิวเตอร์จำกัด




จะหาว่าลุงเขี้ยว.....ก็ว่าเขี้ยวละ......ลุงถือว่า “การรับปากจาก ซี. เจ. ฮวง นั้นเป็นเพียงคำพูด” แกอาจจะเปลี่ยนใจในวันเสาร์อาทิตย์ หรือมีคนที่จบดร. เขามาสมัคร แล้วอีก็ตัดสินใจรับเขา ทั้งๆ ที่เราประกาศไปทั่วบริษัทแล้วว่า





“เราได้งานใหม่แล้วโว้ย......ไปเป็น MD ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งของเอ็งเสียด้วย” หน้าของลุงก็จะไม่อาบไปด้วยเลือด
เพราะที่เรียกว่า “หน้าแตก” หรือ





อย่างไรก็ตาม ลุงจะต้องได้รับจดหมายเป็นทางการก่อน





เช้าวันจันทร์ ลุงก็เลยไปหาพี่ตั๋นตั้งแต่ 8 โมงเช้า......พี่ตั๋นแซวว่า “แหม...วันนี้มาแต่เช้าเชียวนะ” คล้ายๆ กับว่าเธอจะรู้ว่าลุงกำลังคิดอะไรอยู่





พอพี่ตั๋นเอาซองจดหมายสีขาวซึ่งจ่าหน้าซองว่า

To……Mr. Amorn Tarvornmard





ปรากฏอยู่.....ลุงจึงใจชื้นขึ้นมาหน่อย......เปิดซองอ่านเสียหน่อย ก็เป็นซองรับเราเข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2521 จริงๆ ด้วย พร้อมระบุตำแหน่ง เงินเดือน ค่าเช่าบ้าน
และอื่นๆ ที่เราคุยกันในวันศุกร์ครบถ้วน





ลุงอ่านจนพอใจแล้ว........ก็ลาพี่ตั๋นกลับ Office ที่ตึกเตียวฮง...........................................................................





ประการแรก.....เมื่อไม่ให้เป็นที่เอิกเกริกเกินไป ทั้งที่รู้กันอยู่พอสมควรแล้ว ลุงก็ต้องเรียกลูกน้องคนสนิท ซึ่งมีเจ้าแก้ว มีสุวิมล เลขาฯ คนเก่ง และอีกสองสามคน เข้ามาบอกกล่าวกัน พร้อมกับเอาจดหมายที่ ซี.เจ. เซ็นให้อ่าน





เจ้าแก้วถึงกับอึ้งไปเลย เมื่อเห็นจดหมายของ ซี.เจ. ลุงถามเจ้าแก้วว่าจริงหรือเปล่าว่า ที่ซี.เจ. บอกว่าไม่เคยรับใครที่เงินเดือนสูงเท่าลุง เจ้าแก้วก็บอกว่า ซี.เจ ไม่น่าจะโกหก เพราะเท่าที่รู้ ขนาดกรรมการของบริษัท ซัมมิท อินดัสเตรียล บางท่านที่เจ้าแก้วรู้จัก เงินเดือนยังไม่เท่า “เฮีย”เลย





เจ้าแก้วเรียกลุงว่า “เฮีย” ตั้งแต่เข้ามาที่บริษัทใหม่ๆ และเป็นคนเดียวที่ยังเรียก “เฮีย” อยู่ถึงบัดนี้ ลุงก็ไม่เคยถามดูว่าทำไมเขาจึงเรียกลุง เป็น “เฮีย” ไปได้ ทั้งๆ ที่ลุงไม่ได้มีเค้าว่าจะเป็นคนจีนไปได้เลย





ที่ลุงเลือกถามเจ้าแก้ว และเจ้าแก้วรู้ เพราะเขาเป็นคน Run Pay Slips ของบริษัททั้งหมดในเครือ จากเครื่องเมนเฟรม “ยูนิแวค” ที่ลุงจะเข้าไป Take Over ในเร็ววันนี้





บ่ายวันนั้น......ข่าวที่ลุงลาออกจากบยิบอินซอยก็แพร่สะพัดไปทั่วบริษัท





ลุงยังไม่ได้เข้าบริษัท ยิบอินซอย เพราะมีเวลาอีกอาทิตย์นี้เพียงอาทิตย์เดียวที่ลุงต้องเคลียร์งานที่ยังคงค้างอยู่ที่บริษัท ศูนย์คอมพิวเตอร์ประเทศไทย จำกัด





เรียกลูกน้องมาสั่งงานที่ละคน......แต่ละคน ต้องอธิบายกันยาวมาก.....ไม่ใช่เรื่องงานหรอก แต่เป็นเรื่องของ “ทำไมจึงออก”




ลุงก็พูดติดตลกไปว่า "เฮ้ย.....เขาไม่ให้เราเป็นกรรมการผู้จัดการ
เราก็ต้องหาทางไปซีวะ........"






จนในวันที่ 30 มิถุนายน 2521 เวลา 16.30 น. ซึ่งลุงมีนัดกับคุณเทียนชัย.......เพื่อไปยื่นใบลาออกอย่างเป็นทางการ........





คุณเทียนชัยไม่ได้พูดอะไรมาก......อาจจะเป็นเพราะเขารู้กันทั้งเมืองแล้วว่า ลุงได้งานใหม่.....และจะยื่นใบลาออกในวันที่ 30 มิถุนายนนี้.......เพียงแต่ถามพอเป็นพิธีว่า.....จะไปทำหน้าที่อะไร......พอเล่าให้ฟังว่า......เขาจะให้ไปเป็น GM ในตอนแรก......ต่อไปก็คงได้เป็นกรรมการบริษัท และได้เป็น MD คุนเทียนชัยก็แสดงความยินดีด้วย.......................





จากนั้นก็ลงไปลาคุณธวัชดัวยกันกับคุณเทียนชัย......ซึ่งคุณธวัชก็อวยชัยให้พรมาตามประสาผู้ใหญ่ (ซึ่งในตอนหลังลุง
ถูกด่าเสียไม่มีดีที่ไปแย่งลูกค้าของยิบอินซอยมาได้.....แล้วลุงจะเล่าให้ฟังต่อไป).........................................................





วันเสาร์ที่ 1 กรกฏาคม.......เวลาบ่ายสองโมง ลุงกับคุณเทียนชัยก็ไปเก็บของกันที่ตึกเตียวฮง..............................................



นึกถึงตอนนี้แล้วขำไม่หาย.......นึกถึงตอนที่ไล่คนอื่นเขาออก.....โดยเฉพาะเจ้าเซลส์ขี้เมาคนนั้น.....แล้วเดินตามมาให้เขาเก็บของออกจากบริษัทไปเดี๊ยวนั้น

ลุงก็เหมือนกัน “ก็ต้องไปเก็บของ” โดยมีคุณเทียนชัยยืนเฝ้าอยู่ ลุงเก็บของไปด้วย อธิบายไปด้วยว่า แฟ้มไหนอยู่ที่ไหน....เพราะตั้งแต่วันจันทร์ที่ 3 นี้ ลุงก็ต้องไปอบรมของยูนิแวคเป็นเวลา 2 อาทิตย์แล้ว...............................................





เสร็จแล้วก็ไปนั่งกินเบียร์กันที่โรงแรมไฮแอท รามา......กินกันไป.....คุยกันไป.....ปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน.....อะไรที่ลุงทำผิดพลั้งไปบ้าง.....ลุงก็ขออภัย......อะไรที่คุณเทียนชัยทำบางอย่างรุนแรงไปบ้าง แกก็ขอโทษลุง............





ซึ่งเป็นเรื่องดี....ที่ทำให้ลุงกับคุณเทียนชัย คบกัน รู้ใจกัน เป็นเพื่อนฉันมิตรสนิทกัน......ทั้งที่ต่างคน ต่างก็มีวิถีชีวิตของตนเองที่บางครั้งก็เดินทางร่วมกัน และในบางครั้งก็ต้องต้องแยกกันเดิน เมื่อถึงเวลา....และบัดนี้ก็ถึงเวลานั้นแล้ว





ลุงเคยคิดเสมอมาว่า ในการทำงานนั้น เราต่างคนก็เกิดมาต่างพ่อ ต่างแม่กัน การศึกษาก็ต่างกัน สังคมก็ต่างกัน แต่เรามารวมกันทำงานไปด้วยกัน ก็เพราะในชาติที่แล้ว “เราอาจจะเคยร่วมทำสิ่งเดียวกันมาก่อน”





แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากกัน......ก็ไม่มีสิ่งใดจะมาห้ามได้ “ชีวิตมันลิขิตไว้แล้ว” ว่ามันจะต้องจากกันสักวันหนึ่ง




แล้วทำไม.....เราต้องทำให้วันที่เราจากกัน เป็นวันที่ต้องทะเลาะกัน โกรธกัน หัวเสียเข้าใส่กัน........ทั้งๆ ที่เราก็ยังคงอยู่ในสังคมเดียวกัน ยังต้องเจอหน้ากันในสมาคม ในสังคมต่างๆ





ดังนั้น เราควรจะทิ้งไว้เหลือแต่ความทรงจำที่ดีๆ ที่มีค่า ที่เราเคยร่วมทุกข์ ร่วมสุขกันมาไม่ใช่หรือ...........................





คืนนั้น “สองเรา” ทั้งลุงและคุณเทียนชัย ก็รำลึกถึงความหลัง พร่ำพรอด เอ้ย....ไม่ใช่ พรรณนากันถึงเรื่องเก่าๆ กันจนถึงห้าทุ่มกว่า.........แล้วทั้งสองก็แยกย้ายกันขับรถกลับบ้าน ซึ่งในสมัยนั้น เขายังไม่มีกฎห้าม “เมาห้ามขับ” อย่างสมัยนี้...........................จึงทำให้เรากลับถึงบ้านได้โดยสวีสดิภาพ





วันอาทิตย์.....นอนทั้งวัน.....ด้วยความเพลีย ละเหี่ยใจ........
ทั้งระโหย และโรยแรง........................................................





ใครเคยเป็นอย่างลุงบ้างไหมที่มีอาการ “เพลีย ละเหี่ยใจ” และ “ระโหย”......มันบอกไม่ถูกจริงๆ ว่า อาการมันเป็นอย่างไร แต่พูดได้คำเดียวว่า “ที่ทำงานกับยิบอินซอยมาทั้งหมด 14 ปี.....มันมาโถมระโหยโรยแรง และเกิดอาการเพลีย ละเหี่ยใจ” เอาทั้งหมดในวันนี้





มันไม่ได้ “เพลีย” เฉย........แต่มัน “ระโหย” ไปด้วย ซึ่งอาการของมันสาหัสยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ลุงนอนหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่ที่โซฟาตัวยาวในบ้าน......แม่บ้านจะมาชวนให้ลุกไปทานข้าวเที่ยง ก็แทบจะไม่มีแรง.......วันนั้น ต้องทานแต่ข้าวต้มทั้งวัน





เพราะ.......ดูในตารางวันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันจันทร์ที่ 3 กรกฏาคม ลุงมีงานต้องทำเต็มไปหมด.....เป็นการเคลียร์งานวันสุดท้ายที่ยิบอินซอย เพื่อไปต่อสู้ชีวิตใหม่ที่ บริษัท ซัมมิท คอมพิวเตอร์ จำกัด ซึ่งอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้





วันจันทร์ที่ 3 ลุงเข้าไปเอาตั๋วเครื่องบินที่คุณนงลักษณ์ ก็ทราบข่าวจากคุณนงลักษณ์ว่า ได้มีการพูดคุยกันว่า





“ที่นี่.....ไม่เคยส่งใครไปอบรมมาก่อน......ถ้าคุณอมรเข้ามาใหม่ๆ......ยังไม่ทันได้ทำงานแสดงฝีมืออะไร......ก็ได้ไปอบรมถึงสิงค์โปร์เสียแล้ว......อย่างนี้มันก็เกินไป.......สรุปแล้ว คือบริษัท ยอมเสียสตางค์ ส่งไปเรียนอีกหนึ่งคนซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายช่าง......”






“ดีไหมคุณอมร”........คุณนงลักษณ์ถามลุง.......จะให้ลุงตอบว่าอย่างไรละครับ.......ดีครับ.....ดีทีเดียว......ลุงจะได้มีเพื่อนที่รู้เรื่องเครื่องยูนิแวคไปเรียนด้วยกัน ....มีอะไรก็ไต่ถามกันได้





คุณนงลักษณ์เลยบอกว่า งั้นขึ้นไปที่ชั้น 10 กัน....เขาอยู่ชั้น 10 ซึ่งเป็นชั้นของฝ่ายขายและฝ่ายช่าง





ลุงขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 10 กับคุณนงลักษณ์เพื่อไปพบกับหัวหน้าช่างของแผนกยูนิแวค ซึ่งลุงจะต้องมาปกครองเขาในอนาคต





ในสภาพของห้องทำงานของหัวหน้าช่างที่ลุงเห็น เป็นสภาพทึมๆ เพราะไฟนีออนกลางห้องซึ่งมีอยู่ 2 ดวงขาดเสียหนึ่งดวง ข้างฝาผนังทั้ง 3 ด้าน ไม่มีด้านใดที่เปิดออกได้เพื่อให้ได้อากาศหายใจเลย ประตูจึงต้องเปิดโล่งไว้ โดยมีไม้ค้ำไม่ให้ประตูปิดกลับโดยอัตโนมัต




“คุณพรเทพ.....ดิฉันขอแนะนำคุณอมร จีเอ็มใหม่ของเรา”คุณนงลักษณ์แนะนำ




คุณพรเทพหันมายิ้มกับลุงนิดหนึ่ง แล้วพูดว่า





“หาเก้าอี้มานั่งซิ.....ผมอยากคุยอะไรบางอย่างด้วย”




ทำเอาคุณนงลักษณ์งง......เพราะในห้องนั้นไม่มีเก้าอี้รับแขกแม้แต่ตัวเดียว และคุณนงลักษณ์ก็อยู่ในฐานะรักษาการผู้จัดการใหญ่





คุณนงลักษณ์รีบไปยกเก้าอีกมาให้ และลุงก็ไปช่วยเอามาอีกตัวหนึ่งในขณะที่คุณพรเทพนั่งเฉยที่โต๊ะของแกตามเดิม





“ผมมีเรื่องจะคุยด้วย.....เรื่องที่จะไปสิงคโปร์เย็นนี้”





ลุงนั่งนิ่ง พร้อมด้วย “ฟัง” อย่างระมัดระวัง เพราะมีบางอย่างส่อว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น





“ทำไมหรือคุณพรเทพ........”





“คุณเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงให้เราน้อยไป......ไอ้แค่ 20 เหรียญนี่นะมันไม่เคยปรับปรุงมาตั้งแต่โบราณแล้ว .....ผมอยู่ที่นี่มาเกือบ 10 ปี ไปไหน ไปไหนก็ได้ 20 เหรียญเท่านั้น ทั้งๆ ที่บริษัทอื่นเขาขึ้นกันโครมๆ .........”



ลุงนั่งฟังเฉย .....เพราะไม่รู้จะพูดอะไร





“คุณต้องเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้นะคุณอมร”......คราวนี้คุณพรเทพหันมาทางลุง




“เอาอย่างนี้ไปก่อนได้ไหม......วันนี้มันทำอะไรไม่ทันแล้ว
แล้วคุณอมรกลับมาจากทริปนี้ ค่อยขออนุมัติซี. เจ. ปรับให้ใหม่ก็แล้วกัน...”
คุณนงลักษณ์ชิงพูดขึ้นเพื่อตัดบท





“คุณอมรเขาก็ได้ 20 เหรียญเท่าคุณเหมือนกัน...” คุณนงลักษณ์ย้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นคุณพรเทพทำท่าจะต่อรองอะไรบางอย่าง





ลุงเลยถึงบางอ้อ.....ว่าที่บริษัทนี้เขาให้เบี้ยเลี้ยงเท่ากันไม่ว่าตำแหน่งจีเอ็ม หรือหัวหน้าแผนก คือ 20 ยูเอสดอลล่าห์ ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น คือ 24 บาท ซึ่งเท่ากับ 480 บาทไทย




“ก็ได้.....แต่คุณอมรต้องรับปากว่า กลับมาแล้วจะจัดการให้”




“ตกลงครับ.....แล้วเจอกันที่แอร์ปอร์ต 6 โมงเย็นนะครับ”





ลุงพูด พลางลุกขึ้นยืน.........คุณนงลักษณ์เห็นลุงกำลังจะออกจากห้องไป ก็เดินตามออกมาด้วย




“คุณพรเทพแกก็อย่างนี้แหละ.......ขอนั่นขอนี่อยู่เรื่อย”





ลุงบอกคุณนงลักษณ์ว่า 20 เหรียญมันน้อยไปจริงๆ เราควรมีเรทที่แตกต่างกันตามลำดับชั้นตำแหน่ง และระยะทางใกล้ไกล.....เมื่อลุงอยู่ที่ยิบอินซอย ลุงได้เคยทำเรื่องเหล่านี้ไว้แล้ว เพราะต้องเดินทางไปอบรมดูงานบ่อย .....ไว้กลับมาแล้วลุงจะจัดการให้





ลุงบอกกับคุณนงลักษณ์ว่า “ไม่ต้องห่วง”




แต่ที่ลุงกำลังเป็นห่วงก็คือ ไม่ใช่เรื่องค่าเบี้ยเลี้ยง แต่เป็นเรื่องของ “บรรยากาศ......และทัศนคติ....ของการทำงาน”





ซึ่งลุงทำใจไว้แล้วว่า “ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เข้าจนได้”





และก็ได้ “เจอจริงๆ” ในการพบกันครั้งแรกกับผู้จัดการฝ่ายช่าง ซึ่งมีไม่การแสดงความยินดี หรือชื่นชมในการมารับตำแหน่งใหม่ของผู้ที่จะมาเป็นผู้บังคับบัญชา





ไม่มีการยกน้ำมาให้กินสักแก้ว......แม้แต่เก้าอี้จะนั่งคุยกันก็ต้องยกเข้ามาเอง




และเริ่ม Start ด้วยการ Complain และเรียกร้องในสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่





มันไม่ใช่เป็นการปรึกษาหารือ แต่มันเป็นการ “เรียกร้อง และบังคับ” ว่าต้องทำให้ได้





ลุงกำลังโดน “ประลองกำลังเข้าแล้ว” ใช่ไหมนี่





ถ้าใช่......ก็ดีซิ.......ลุงเองก็อยากลอง.......เพราะการ





“เข้าถ้ำเสือ ถ้าไม่เอาลูกมันมาอยู่ในมือให้ได้ เมื่อนั้น เสือมันต้องอยู่เหนือเราจนได้ แต่ตราบใดที่ลูกของมันอยู่ในกำมือของเรา มันก็ต้องสยบให้แก่เราอย่างราบคาบ”





ลุงจะทำอย่างไรนั้น......จากการสังเกตเท่าที่คุยกันเมื่อสักครู่ ลุงคิดว่า ลุงกำลังหาทางออกได้แล้ว.........และ ลุงคิดว่า ลุงจะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน




เวลา 19.15 น. ของวันที่ 3 กรกฏาคม 2521 ลุงได้ลงบันทึกไว้ว่า





“เดินทางออกจากดอนเมือง เวลา 19.15 น. Flight TG 401 – ไปสิงคโปร์ พักที่แมนดาริน โฮเตล ............”





ไว้ตอนหน้าจะเล่าให้ฟังว่า “การเข้าถ้ำเสือ....ของลุงนั้นเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเสือที่แก่กว่าเราเกือบ 10 ปี"



//lungadd.pantown.com/
amorntvm@anet.net.th




 

Create Date : 05 มกราคม 2549    
Last Update : 5 มกราคม 2549 17:12:52 น.
Counter : 8539 Pageviews.  

ผมนี่แหละ...มืออาชีพ...ตัวจริง ตอนที่ 35 “ไปสัมภาษณ์เป็นจีเอ็ม”

วันศุกร์ที่ 23 เดือนมิถุนายน พ.ศ 2521


เวลา 14.30 น........ซึ่งเป็นเวลานัดของลุงกับ ซี. เจ. ฮวง ประธานกรรมการของบริษัท ซัมมิทกรุ๊ฟ


ลุงไปถึงก่อนเวลาตามความเคยชินในการนัดหมาย แต่งสูทสีน้ำเงิน เสื้อแขนยาวสีขาว และผูกเนคไทสีแดงอมดำ


ลุงดูในกระจกก่อนที่จะออกจากบ้าน.....ลองยิ้มให้กระจกดูหนึ่งครั้ง สายตาที่ตอบกลับมาในกระจกบ่งบอกความมั่นใจเต็มที่


วันนี้มันจะได้งานทำหรือไม่ได้.....บอกแล้วว่า ลุงไม่ค่อยแคร์กับมันเท่าไหร่ แต่ลุงอยากรู้จริงๆ ว่า “ขายตัวครั้งที่สองนี้ จะได้ตามที่เราเรียกร้องไปไหม.....เขาจะให้เราเท่าไหร่......จะมีการเจรจาต่อรองกันถึงพริกถึงขิงไหม...”

แต่ลุงก็พร้อมแล้วที่จะเผชิญกับมัน ด้วยการเตรียมตัวอย่างดี
และทั้ง “Proposal” ในการขายตัวเอง ที่ทำเสียอย่างดีด้วยปกแข็ง เดินทอง อย่างที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใบสมัครงานของใคร


ลุงไปนั่งรอที่หน้าห้องของซี.เจ. เมื่อเวลา 14.15 น. “พี่ตั๋น” ซึ่งเป็นเลขาฯ ของซี.เจ. จัดการยกน้ำยกท่ามาให้ดื่ม พลางคุยกับลุงอย่างยิ้มแย้มว่า


“Proposal ของคุณสวยจัง”


ลุงก็ได้แต่ยิ้มๆ แล้วบอกว่า


“ขอบคุณครับ...พี่ตั๋น”


อีกสักครู่หนึ่ง พี่ตั๋นก็เชิญให้ลุงเข้าไปในห้องของซี เจ.


สภาพห้องทำงานของประธานบริษัท ซัมมิทกรุ๊ฟ ใหญ่โต สวยงาม สมกับเป็นห้องของท่านประธานเสียจริงๆ เอกสารจัดเป็นประเบียบ วางอยู่บนโต๊ะไม้มะเกลือสีดำ ตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง ตรงกลางห้องเป็นโต๊ะซึ่งสำหรับไว้ประชุมของพนักงานได้สัก 10 ที่นั่ง


“Good Afternoon…Khun Amorn….”


ซี.เจ. กล่าว.....พลางลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน เดินเข้ามา พร้อมด้วยยื่นมือมาให้จับ ในขณะที่ลุงเดินเข้าไปที่กลางห้อง


“Good Afternoon sir………………”


ลุงกล่าวตอบ

และหลังจากนั้น เราก็สนทนากันเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งลุงคงไม่จำเป็นต้องเอามาเล่า ณ ที่นี้ เพียงแต่อยากจะบอกสักคำว่า


ซี.เจ. ยิ้มแย้มแจ่มใส..ผิดคาด ซึ่งลุงคงเดาว่า หน้าตาแกคงจะคร่ำเครียด เอาการเอางาน แต่นี่ดูเป็นกันเอง สบายๆ คุยไป ยิ้มแย้มแจ่มใสไป หัวเราะบ้าง....ทำเอาลุงหายเครียดไปโดยสิ้นเชิง


เราได้แลกเปลี่ยนแนวความคิดในการทำธุรกิจคอมพิวเตอร์กันพอสมควร ซึ่งลุงก็ได้ให้ความเห็นไปว่า การขายเมนเฟรมนั้น หากเราขายได้เพียงเครื่องเดียว มันไม่คุ้มค่าอบรมช่าง อบรมโปรแกรมเมอร์ อบรม System Analysis หรอก.......


การขายเครื่องแรก เราอาจจะต้องลงทุนมากมายที่จะขายให้ได้ แม้จะได้ Margin เท่าไหร่ก็ต้องขาย แต่เมื่อขายได้แล้ว เราจะต้องให้ลูกค้าเชื่อมั่นได้ว่า เราสามารถให้การฝึกอบรมเขาได้ ให้การซ่อมบำรุงแก่เขาได้ในระยะยาว เราต้อง Support เขาได้ในระยะยาว........และสิ่งเหล่านี้ เราต้องทำได้เองในเมืองไทย มิใช่เอะอะอะไรก็เรียก Support หรือช่างจากเมืองนอกตะพึดตะพือ


ดังนั้น เราจะต้องลงทุนอีกมหาศาลในเรื่องของบุคลากร ในเรื่องการฝึกอบรมในต่างประเทศ เพื่อทำให้ลูกค้ามั่นใจ


ในขณะเดียวกันก็พยายามขาย “เครื่องที่สอง” ให้ได้........
และถ้าเราขาย “เครื่องที่สาม” ได้......นั่นหมายถึงการ “คืนทุน” จะค่อยๆ กลับมา......การขายระบบคอมพิวเตอร์นั้น ต้องลงทุนระยะยาว และไม่ประหยัดจนไม่ทำอะไร ซึ่งจะไม่เป็นผลดีในระยะยาว



ลุงนั่งฝอย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ ซี.เจ. ด้วยความเป็นกันเอง จนลืมไปว่า “นี่เป็นการมาสัมภาษณ์งาน” ซี. เจ. ก็ซักว่า ทางยิบอินซอย เขาเทรนอะไรให้บ้าง ทางซัมมิทไม่เคยเทรนคนเลย ลุงก็บอกเขาว่า ตอนที่ลุงขายที่กสิกรไทยได้ ทางบริษัทก็ให้ไปอบรมเข้าคอสที่อังกฤษ 3 เดือน และหลังจากนั้น ก็เดินทางไปดูงานรอบโลกทั่วยุโรปและอเมริกา


สำหรับ System Engineer นั้น เนื่องจากคอมพิวเตอร์สมัยใหม่นี้ เป็นเครื่องทำที่ทำงานผสมผสานกันระหว่าง Hardware และ ระบบ System software ซึ่งเวลาเครื่องขัดข้อง จะทำให้แยกไม่ออกว่า การที่เครื่องทำงานผิดพลาดนั้นมาจากอะไร บริษัท ยิบอินซอย จึงใช้วิธีรับคนเข้ามาเพื่อทำหน้าที่เป็นทั้งช่างและ System Software ไปพร้อมกันในคนคนเดียวกัน ซึ่งได้ผลดีมาก แต่การหาคนจะค่อนข้างยาก และจำเป็นที่จะต้องอบรมทั้งสองอย่างพร้อมกันซึ่งกินเวลาค่อนข้างนาน ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน โดยส่งไปอบรมที่ออสเตรเลียทั้งทีม


คุยกันจนเพลินเกือบจะ สามโมงครึ่ง เลขาฯ คือพี่ตั๋น ก็เข้ามาเตือนว่า เดี๋ยว ซี.เจ. ต้องออกไปพบกับเจ้ากรมพลังงานทหารซึ่งเป็นเสมือนผู้ให้สัมปทานแก่ซัมมิทอยู่ในขณะนั้น


ซี.เจ จึงหันมาสรุปกับลุงว่า................................................


"ที่เขียนมาใน Proposal ได้อ่านหมดแล้ว ขอต่อรองคำเดียว คือเงินเดือนที่ You ขอนั้น......มันมากกว่าทุกคนทั้งหมดที่ไอจ้างอยู่ในเมืองไทย ขอต่อลงสัก 5 พันได้ไหมแต่จะให้เป็นค่าเช่าบ้านแทน......"


ตอนนั้น ลุงก็ชักงงเหมือนกันว่า “ทำไมทำงานกับบริษัทนี้ จึงมีค่าเช่าบ้านด้วย” ขยับจะถาม แต่ ซี. เจ. ตัดบทว่า เรื่องนี้คงยาว ถ้าจะให้เล่าให้ฟัง ไว้ You เข้ามาแล้ว You ก็จะรู้เอง


เอาละนะไอจะให้เป็นค่าเช่าบ้านแทน เดือนละ 15% ของ
เงินเดือนทดแทน ซึ่งจะได้พอๆ กันกับที่ You เสนอ.......


และ “ขอให้ Start เร็วที่สุดที่จะเร็วได้.......เพราะไอเป็นห่วง....เนื่องจากบริษัทนี้ ไม่มีใครดูแลจริงจังมานานแล้ว....”


ลุงก็บอกว่า “ปรกติลุงก็ต้องบอกที่บริษัทเขาหนึ่งเดือน....”


ซี.เจ. บอกมันไม่ทัน เพราะทางยูนิแวคส่ง Telex เข้ามาบอกว่า จะจัดคอสฝึกอบรมให้กับประเทศใกล้เคียงที่สิงคโปรในวันที่ 4 เดือนหน้านี้ คือเดือนกรกฏาคม เป็นเวลาสองอาทิตย์.....ไอต้องการให้ยูเข้าคอสนี้เป็นการประเดิม...........

และ................................................................................


“การลงทุนต่อไปไม่ว่าในเรื่องอะไร ขอให้ยูทำ Budget เสนอมา เมื่อไอ Approve แล้ว you ก็สามารถดำเนินงานไปตาม Budget และนโยบายที่วางไว้ได้เลย
โดยที่ไอจะไม่เข้าไปยุ่งกับ You .....นอกจาก You มีเรื่องที่จะมาปรึกษาหารือ......อ้อ.....และต้องส่งผลประกอบการให้ไอทุกเดือน.....OK!...........”


กริ๊ง.........................................................................................


ซี.เจ กดกริ่งเรียกพี่ตั๋นเข้ามา แล้วส่งให้พี่ตั๋นทำจดหมายรับลุงเข้าทำงาน เพื่อที่ลุงจะได้ไปยื่นที่ยิบอินซอยภายในสิ้นเดือนนี้


เพื่อลาพักร้อนเป็นเวลา 1 เดือน ตามสิทธิ์ของลุงที่ยังไม่ได้ใช้


และสั่งให้พี่ตั๋น จัดหาตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก เบิกเบี้ยงเลี้ยงให้ลุงไปเข้าอบรม “Univac 90 Series Training Course” ที่สิงคโปร์ตั้งแต่วันที่ 4 -14 เดือนกรกฏาคม 2521 เป็นการด่วนจี๋........อ้อ.....แล้วสั่งให้พี่ตั๋นออกไปประกาศแต่งตั้งให้ “คุณอมร ถาวรมาศ” เป็น “ผู้จัดการทั่วไป” ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2521 เป็นต้นไป


และนัดประชุมกรรมการทันทีในวันที่คุณอมรเข้ามาทำงานวันแรก เพื่องแต่งตั้งให้คุณอมรเป็นกรรมการเพิ่มเติม ถือหุ้นได้ทันที 5% แต่ไม่เกิน 10% ในราคาพาร์.................


และตั้งแต่วันที่ยื่นจดทะเบียนกรรมการเพิ่มเติม และเปลี่ยนแปลงหุ้นเรียบร้อย...................................................


คุณอมร ถาวรมาศ ก็จะเปลี่ยนสถานะเป็น “กรรมการผู้จัดการ” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป


ซี.เจ สั่ง....สั่ง.....สั่ง.....ให้พี่ตั๋นซึ่งจดยิกๆ แล้วก็หยิบเอกสารที่พี่ตั๋นเตรียมไว้เรียบร้อย........ก่อนออกจากห้องไป..............


ซี. เจ. ไม่ลืมหันมากล่าวกับลุงว่า


“ขอให้มาทำงานอย่างมีความสุข และสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ........อ้อ......เมื่อไอเจอธวัชแล้ว
ไปจะพูดกับเขาเองในเรื่องของยู.......ไปไปละนะ........”



แล้ว ซี. เจ ออกเดินออกห้องประชุมไปด้วยความเร่งรีบ


ลุงเองก็ยังนั่งคุยกับพี่ตั๋นอีกสักพัก เพื่อทบทวนว่า ซี. เจ. ได้สั่งอะไรไว้บ้าง นัดวันที่มารับตั๋วเครื่องบินที่คุณนงลักษณ์


พร้อมกับใบรับสมัครเข้าทำงานเป็นลายลักษณ์อักษณ์ที่พี่ตั๋นในวันจันทร์ ประมาณ 10 โมงเช้า


แล้วลุงก็ลาจากพี่ตั๋นมา.........................................................


จะไปไหนดีหว่าเรา...........จะเข้า office ก็กลัวตนเองจะตื่นเต้นจนปิดความลับไม่อยู่และวันนี้ก็เป็นวันศุกร์แล้ว............


เอาละว๊ะ.......ไปเปิดหูเปิดตาบ้างจะดีกว่าน๊ะ........ตั้งแต่ทำงานมา ก็ยังไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนเลย............................


จะไปไหนดีหว่า............เอ้า....ตกลงไปที่ถนนรัชดาฯก็แล้วกัน บาร์เพียบ......................................................................


แล้วลุงก็ไปนั่งดื่มอยู่คนเดียว...............................................


พลางระลึกถึงความหลัง ตั้งแต่วันแรกที่เดินทางเข้ามาสู่เมืองฟ้าอมร....กรุงเทพฯ เข้าเรียนที่พาณิชยพระนครได้อย่างฟลุกๆ เล่นดนตรีไปด้วย เรียนไปด้วย ตามที่ตนเองถนัด


จบแล้วก็มาสมัครเข้ายิบอินซอยด้วยตนเอง เดินเข้าไปครั้งแรก ก็โดนเขาไล่ออกมา เพราะ “ไม่มีประสบการณ์” รุ่งขึ้นเดินไป “ขายตัว” ใหม่ เปิดตำราข้อโต้แย้งมาดู เตรียมตัวตอบข้อโต้แย้งของเฮียโดยเอาตัวเองเข้าไปทดลองให้เขาทดลองใช้ จนได้งานแรกมา คือเป็น “พนักงานขายฝึกหัด”
เงินเดือน 650.-บาท


ก็เริ่มต้นฝึกงานในอาชีพขาย และเริ่มขาย .....มีลูกค้าคนแรก
ที่อู่วิกรม.......และได้ขยับขึ้นมาเป็น Account Executive ขายเครื่องจักรทำบัญชีให้ธนาคารกสิกรไทยและธนาคารอื่นๆ อีกสองสามธนาคาร


เผลออีกสองสามปีก็ได้โปรโมทขึ้นเป็น Account Manager ดูแลลูกค้าของธนาคารทั้งหมด........................................


จากนั้นก็เอาระบบคอมพิวเตอร์ Burroughs มาขายอย่าง “ดำดิน” ขาย คือทุกอย่างเก็บเป็นความลับ ไม่มีใครรู้นอกจากลุงกับคุณธวัชสองคน ใช้เวลาอยู่หนึ่งปีกว่า ก็เซ็นสัญญาได้


จากนั้น.....ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็น “Department Manager” ดูและแผนกระบบการขายเครื่องประมวลผลทั้งหมดของบริษัท และได้เป็น Executive Director ของบริษัทในเครือเพียงคนเดียวที่เป็น “ลูกจ้าง” ของบริษัท


ทั้งหมด ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2507 จนถึงวันนี้ วันที่ 23
กรกฏาคม 2521 เป็นเวลา 14 ปีกับอีก 7 วันจะครบ 4 เดือน



ด้วยความทุ่มเท......ทั้งกายและใจ เพื่อพ่อและแม่ ที่ลุงยังจำคราบน้ำตาที่หยาดลงบนในหน้าของแม่ได้ ตอนที่มาส่งให้ลุงขึ้นไปสู้ชีวิตในกรุงเทพฯด้วยการทำงานส่งเสียตัวเอง


นึกถึงน้องๆ ที่รอคอยพี่ที่อยู่ที่กรุงเทพฯ คอยเขียนเรื่องราวอะไรที่แปลกใหม่ไปเล่าให้เขาอีก 5 ชีวิตฟังด้วยความสนุกสนาน.....และค่อยเอาเขาขึ้นมาเรียนที่กรุงเทพฯที่ละคนสองคน จนจบปริญญากันทุกคน


คิดถึงคนรักที่พาเขาไปออกงาน International Trade Fare แห่งแรกของเมืองไทย ชอบ จนกลายเป็นรักและผูกพัน จนได้แต่งงานกันในที่สุดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2514 และมีลูกชายหญิงที่น่ารักสองคน

...................................................................................


และอีก 1 เดือนจากนี้ไป.....วันที่ 1 สิงหาคม 2521 ลุงก็ได้รับตำแหน่งที่ใฝ่ฝันมาตลอด ก็คือ....การที่ได้เป็นตำแหน่งสูงสุดในอาชีพของลูกจ้าง คือ “กรรมการผู้จัดการ” ของบริษัทฯที่ขายระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยอายุเพียง 33 ปี


ลุงนั่งคิดไปตามกลางเสียงเพลงอึกกระทึกครึกโครมอยู่คนเดียวในบาร์แห่งนั้น.......จนเขาเปิดไฟ ดูนาฬิกาอีกที......ตายโหง นี่มันตีสองแล้วนี่หว่า................................................



แต่ลุงไม่ฝันไปนะ.......นี่มันเรื่องจริงทั้งสิ้น........ลุงเหลือบดูชีวาสที่สั่งเปิดในบาร์ เห็นพร่องอยู่อีกหน่อยหนึ่ง..............
เลยฟาดเสียเรียบ..........คืนนี้ คงหลับเป็นตาย......................



และตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นไป........ชีวิตของลุงก็เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือไปเป็นหลังมือ....................................................



ชีวิตแห่ง “MD” หรือที่ลุงชอบเรียกมันว่า “MAD DOG” หรือ “หมาบ้า..............มันจะเป็นหมาบ้า หรือคนบ้า หรืองานบ้า......................แล้วลุงจะเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป



“โลกนี้คือละคร บทบาทบางตอน ชีวิตยอกย้อนยับเยิน.....

ชีวิตบางคนรุ่งเรืองจำเริญ แสนเพลิน เหมือนเดินอยู่บน

หนทางวิมาน.......”



ลุงร้องเพลง “โลกนี้คือละคร” ด้วยความสุขใจ..................



//lungadd.pantown.com/





 

Create Date : 04 ธันวาคม 2548    
Last Update : 5 ธันวาคม 2548 10:08:37 น.
Counter : 1275 Pageviews.  

ผมนี่แหละ…มืออาชีพ…ตัวจริง ตอน 34 “เอกสารพิเศษ”

อยากจะบอกว่า ลุงเป็นนักสะสม ก็ไม่เชิง เพราะไม่ได้สะสม แสตมป์ หรือเงิน ทอง รถยนต์โบราณ หรือของมีค่าอะไรเหมือนคนร่ำรวยเขาสะสมกัน


แต่ลุงชอบ “สะสม” อะไรที่ดูแล้วมันมีประโยชน์ต่อชีวิต


ทุกคนอาจจะงง….”ประสบการณ์” หนึ่งละ ที่ลุงชอบสะสม
การที่ลุงสามารถนำเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่เริ่มเข้าสมัครงานจนถึงบัดนี้ อายุ 60 กว่าเข้าไปแล้วมาเล่าให้น้องๆ หลานๆ ฟังได้เป็นตุเป็นตะ ก็เพราะ “ประสบการณ์”


“ประสบการณ์” ที่บางครั้งก็สดชื่น เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะต่อกระซิก แต่บางครั้งมันก็เจ็บปวดเหลือประมาณ เจ็บจนน้ำตาต้องเช็ดหัวเข่า……แต่ พอมัน “ตกสะเก็ด” แล้ว มันก็กลายเป็น “ประสบการณ์” ที่มีคุณค่าเป็นอย่างยิ่งที่นำมาเล่าให้ฟังได้ไม่รู้จบ


ลุงยังมี “ประสบการณ์” อีกเพียบ ที่ลุงสะสมไว้ก็ยังมีอีกพะเรอเกวียน นั่งเล่ากันสามวันเจ็ดวันก็ไม่หมด



ประการที่สอง “บันทึกเหตุการณ์” เป็นสิ่งที่ลุงชอบสะสมเป็นที่สุด ลุงบันทึกมันได้ทุกสถานที่ ทุกโอกาส
ทุกจังหวะ ไม่ว่าด้วยวิธีเขียน วาดภาพ ถ่ายรูป หรืออื่นใด ส่วนมากลุงจะมีสมุดบันทึกติดตัวไปด้วยทุกหนทุกแห่ง แม้กระทั่งเวลาทำงาน เข้าส้วม เดินป่า ไปธุดงที่ไหนก็ต้องมีสมุดเล็กและดินสอหรือสิ่งที่เขียนได้ติดตัวอยู่เสมอ



วันหนึ่ง ในขณะที่นั่งดื่มกับลูกค้าอยู่กลุ่มใหญ่ ลูกค้าหนึ่งในนั้นซึ่งสนิทกันเหมือนเพื่อนก็กล่าวขึ้นว่า


“เฮ้ย…..อ้าย’มรนี่มันดีนะ…..เวลาเครื่อง (หมายถึงเครื่องจักรทำบัญชีที่ลุงได้ขายไป) มันเสีย โทรไปหาช่างทีไร อ้าย’มร มันรู้ก่อนทุกที……แล้วมันก็มาบริการพร้อมกับช่างทุกที….ทำให้ลูกค้ามันอุ่นใจดีว่ะ…..”


อยู่ๆ เพื่อนมันก็โพล่งขึ้นมาเฉยๆ ทำเอา ลุงชักเขินๆ ที่เพื่อนมันชมขึ้นมาต่อหน้า…………………….


“เราก็ทำตามหน้าที่…..เพราะเป็นเซลส์นี่ก็ต้องบริการเหมือนกัน…..นายเป็นลูกค้าของเรา….เวลาเครื่องที่นายใช้อยู่เสีย…เราก็ต้องรู้ก่อน….เป็นหน้าที่ที่ต้องทำเท่านั้น”


“แล้วที่นายทำอย่างนี้ มันเป็นหน้าที่ของเซลส์ด้วยหรือเปล่าว๊ะ”


เพื่อนอีกคนหนึ่งถาม


“จะว่าใช่ ก็ใช่ว๊ะ….จะว่าไม่ใช่….ก็ไม่ใช่ เราไม่เห็นบริษัทอื่นเขาทำอย่างนายเลย บริษัทอื่น พอเซลส์มาขายแล้ว ก็หายหน้าไปเลย พอเครื่องเสีย ก็เรียกช่างให้มาซ่อม เซลส์เขาจะมาอีกทีก็มาเสนอขายใหม่เท่านั้น แต่เขาไม่เห็นมาพร้อมช่างทุกครั้งเวลาเครื่องเสียนี่หว่า……” เพื่อนอีกคนหนึ่งเถียง


“เฮ้ย…..อย่าเถียงกันเลย มันแล้วแต่ว่าคนไหนจะคิดอย่างไรนะ ในบริษัทของเราเองก็ยังคิดไม่เหมือนกัน บางคนก็ต่อว่าเราว่าเสือกเข้าไปยุ่งเรื่องช่างเขาทำไม….แต่เราคิดว่า การที่เซลส์มารับรู้ รับผิดชอบในเมื่อเครื่องมันเสียขึ้นมา มันเป็นหน้าที่ของเรา…….” ลุงว่าพลางยกแม่โขงผสมโซดาขึ้นดื่ม


“แล้ว “นาย” ของนายเขารู้หรือเปล่าว่า นายทำอย่างนี้…”


“ไม่รู้ซิ…เขาอาจจะรู้มั้ง…..แต่ไม่เห็นเขาพูดอะไรนี่หว่า”


“เฮ้ย…..อย่างนี้ไม่ได้….มันต้องให้นายของอ้าย’มรมันรู้ว่าอ้าย’มรมันบริการอย่างนี้…….และเราก็พอใจ เอาอย่างนี้
เราจะเขียนให้ “นาย” ของนายรู้เองว่า นายบริการอย่างนี้ เป็นที่ประทับใจของลูกค้าเหลือหลาย และเวลาเขาจะขึ้นเงินเดือนให้ นายก็เอามาเลี้ยงเหล้าพวกเราด้วยก็แล้วกัน”


“ก็ดีซิวะ….ถ้านายทำได้…..” ลุงนึกสนุกๆ ครึ้มๆ ขึ้นมา


………………………………………………………………


และนั่นเป็นแผ่นกระดาษแผ่นแรก ที่ลุงได้จาก “ลูกค้า” ที่ชมเชยการทำงานของลุง ที่ให้บริการเขาเป็นอย่างดี เขาเขียนลงในกระดาษที่เช็ดปากสีชมพูที่เสียบอยู่ที่ปากแก้วเหล้า…..ว่า

“เรียน นายของคุณอมร

พวกเรารู้สึกประทับใจในการบริการของคุณอ้าย’มร เป็นอย่างยิ่ง ที่เวลาเครื่องเสีย ก็ได้ให้บริการพาช่างมาซ่อมบำรุง พร้อมด้วยดูแลให้ช่างดำเนินการซ่อมจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยไปทุกครั้ง จึงเรียนมาเพื่อโปรดขึ้นเงินเดือนให้คุณอ้าย’มรด้วย
ตามสมควร

ด้วยความเคารพอย่างสูง

ลูกค้าธนาคาร……….จำกัด


………………………………………………………………


และด้วยกระดาษแผ่นนี้ ซึ่งทำโดย “ลูกค้า” ที่สนิทกันเหมือนเพื่อน ก็เริ่มเป็น “กระดาษที่เป็นทางการ เป็นการเป็นงานขึ้นในที่สุด”

ใช่ซินะ…..ในขณะที่เราทำงาน บุกบั่นไปคนเดียว เวลามีลูกค้าคอลมาที่แผนกช่าง ลุงต้องให้เจ้สุวัจนา บอกให้ลุงทราบเสมอ เพื่อบางครั้ง ลุงก็โทรเข้าไปเช็คอาการของเครื่องก่อน เพื่อจะได้บอกให้ช่างรู้ก่อนที่จะเข้าไปซ่อม เพื่อจะได้เอาอะไหล่ไปซ่อมได้ถูก


บางครั้ง ก็ให้ช่างซ้อนท้ายจักรยานยนต์ของลุง เพื่อความรีบด่วน (ส่วนใหญ่ช่างจะเดินทางโดยรถเมล์ในสมัยนั้น) ขณะที่ลูกค้ารอกันเต็มธนาคารในขณะที่เครื่องจักรทำบัญชีเสีย…… โพสไม่ได้

และหลายครั้ง ที่พอเดินเข้าไปในธนาคาร ก็โดนต่อว่า

“ทำมามาเอาป่านนี้ นึกว่าไปตายที่ไหนเสียแล้ว”…………...

เสียงลูกค้าที่ตะโกนดังลั่นธนาคาร ท่ามกลางลูกค้าของธนาคารที่รอกันแน่นขนัดเพราะเครื่องเสีย ……………….

ลุงต้องรีบผลักช่างให้เข้าไปซ่อมเครื่องอย่างเร็วที่สุด ในขณะที่เราก็เข้าไปรับหน้ากับนายธนาคารซึ่งยืนท้าวสะเอวดูช่างซึ่งกำลังซ่อมเครื่องอย่างโมโหเต็มที่………………….

มันโทษใครไม่ได้หรอก……ช่างเขาก็ยังไม่ได้กินข้าวเลย ทั้งๆที่มันผ่านเวลา 12 .00 น. ไปจนเป็นเวลา 14.00น. เข้าให้แล้ว…..และขณะเดียวกัน ลุงก็เพิ่งรีบไปรับเขามาจากธนาคารอีกแห่งหนึ่งซึ่งเครื่องก็เสียอาการหนักอย่างไม่คาดคิดเหมือนกัน

เวลา “ยิ่งรีบร้อน” เท่าไหร่ ช่างก็ต้องการ “สมาธิ” ในการซ่อมมากเท่านั้น ในเมื่อลูกค้ามายืนเร่งอยู่ว่า “เมื่อไหร่จะเสร็จ” “ทำไมมันเสีย” แล้วมันจะเสียอีกไหม…………

คำถามกวนโมโหอย่างนี้ ต่อให้ “ช่าง” ซึ่งมีนิสัยโผงผางอยู่แล้ว ก็ทนไม่ได้ ถึงกับต่อล้อต่อเถียงกับลูกค้า จนโดนฟ้องไปที่สำนักงานใหญ่บ่อยๆ

แต่ถ้าเราอยู่ด้วย มันก็สามารถจะแก้สถานะการณ์ได้มาก โดยให้ช่างเขารีบไปซ่อมโดยไม่ต้องสนใจคำถาม คำบ่นอะไรของลูกค้าทั้งสิ้น เราก็เข้าไปรับหน้าเสื่อเสียเองอย่างนี้เป็นต้น



พอทำไปนานเข้า….นานเข้า….และจาก “หนังสือ” ที่เพื่อนที่เป็นลูกค้าเขียนให้ตอนเมาๆ ลุงก็เอาไปในเฮียดู



เฮียบอกว่า



“เฮ้ย…..ดีนี่หว่า…..นี่แหละดี…..ปิดทองมันต้องปิดหน้าพระ
อย่าไปปิดหลังพระ…..อั๊วขอเอาไปให้ในที่ประชุมดู”



รุ่งขึ้น แกก็เอา “กระดาษสีเช็ดปากสีชมพู” นั้นไปอวดกับเซลส์แมนในที่ประชุม และขอให้ทุกคนทำอย่างลุงบ้าง โดย
แกตั้งรางวัลล่อใจไว้ว่า “ใครได้จดหมายชมเชยจากลูกค้ามาว่าบริการดี เป็นที่ประทับใจ….จะมีรางวัลให้”



และนั่นเป็นที่มาของ “การล่า” จดหมายชมเชยจากลูกค้าที่ลุงไปให้บริการอยู่ทั่วไป



แล้วลุงก็ได้มาเพียบ……………………………….



ทั้งของธนาคาร, ของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ บางแห่งก็พิมพ์ให้ ลงตำแหน่งกำกับเป็นอย่างดี บางแห่งก็เป็นลายมือ เขียนลงในกระดาษเฉยๆ ซึ่งลุงมักจะขอให้ลูกค้าลงลายมือชื่อกำกับ พร้อมกับตำแหน่งไว้ด้วย จะได้ดูน่าเชื่อถือหน่อย


เฮียเขาเคยขอจดหมายที่ลูกค้าเขียนชมเชยการทำงานของลุงนี้เก็บเข้าแฟ้มของบริษัท



แต่ลุงเกิดพูดเล่นๆ กับแกว่า



“ก็เขาเขียนให้ผมนี่ครับ….ก็ต้องเป็นของผมซิครับ….ถ้าบริษัทจะเอา…..เดี๋ยวผมถ่ายเอกสารให้”



และลุงก็เก็บเอกสารนั้นใส่แฟ้มไว้



พอลุงโตขึ้น หมายความว่า มีโอกาสได้รับตำแหน่งใหม่ ก็จะมีใบแต่งตั้งจากบริษัท เพื่อประกาศให้คนในแผนกหรือแผนกอื่นๆ รับทราบว่าลุงมีอำนาจอะไรบ้าง…….ลุงก็จะขอเอกสารเหล่านั้นเก็บไว้ หรือมีการลงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ว่า ลุงได้รับ การ Promotion หรือได้ไปอบรมต่างประเทศ บริษัทก็จะทำ PR ให้ ลุงก็ลงขอเอกสารต่างๆ ที่ลงข่าวของลุงมาเก็บไว้




ตอนแรกลุงก็แค่เก็บไว้ดูเล่นเฉยๆ เพราะ เวลาครึ้มอกครึ้มใจ เอามานั่งดู มันก็ได้กำลังใจดีเหมือนกัน มันเหมือนกับ “ประกาศนียบัตร” ซึ่งลุงไม่เคยได้เลยตลอดชีวิตในการเรียนหนังสือของลุง




ลุงเก็บทุกอย่างเรียงใส่แฟ้มไว้เป็นอย่างดี รวมๆ แล้วเกือบ 100 ฉบับ ………………………………………………..




และนี่คือที่มาของ “เอกสารพิเศษ” ที่ลุงค่อยๆ บรรจงคัดเลือกเอาเฉพาะที่เป็นภาษาอังกฤษ ทั้งจดหมายชมเชยจากลูกค้า ทั้งคำสั่งการเลื่อนตำแหน่ง ทั้งรูปข่าวที่ลงตามหนังสือพิมพ์ต่างๆ……………………………………………………….




สรุปแล้วได้เอกสารที่สวยงาม หนาเกือบครึ่งนิ้ว ลุงบรรจงเขียนจดหมายปะหน้า หรือที่เรียกในภาษา Proposal ว่า
“Executive Summary” บอก ซี. เจ. ว่า ทำไมลุงจึงอยากจะมาเป็น GM ที่บริษัทนี้ ด้วยประสบการณ์ที่คลุกคลีอยู่กับระบบคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เครื่องแรก เรียนไปด้วย ขายไปด้วย จนทำให้ขาย ธนาคารกสิกรไทยได้ ทำให้ลุงได้รับรู้ประสบการณ์ที่หาเรียน หรือซื้อที่ไหนไม่ได้



และบัดนี้ข้าพเจ้าพร้อมแล้วที่จะมารับใช้ท่าน ด้วย เงินเดือนที่ปรารถนา (คือสูงกว่าที่ยิบอินซอย) หนึ่งเท่าตัว, พร้อมด้วยรถยนต์ประจำตำแหน่งหนึ่งคัน พร้อมคนขับรถ, พร้อมทั้งเลขานุการ สาวสวยหนึ่งคน ซึ่งพูดและเขียนภาษาอังกฤษได้ดังไฟแลบ เพราะข้าพเจ้าหาได้เก่งภาษาอังกฤษเหมือนภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาพ่อ ภาษาแม่ของข้าพเจ้ามาแต่อ้อนแต่ออดของข้าพเจ้าหาได้ไม่


จึงเรียนมาเพื่อหวังว่าท่านจะพิจารณาด้วยดี ถ้าหากท่านมิพิจารณา ข้าพเจ้าก็หาเดือนร้อนแต่ประการใดไม่ จะขออยู่ที่ยิบอินซอยต่อไป จะทำความเจริญให้บริษัทที่ข้าพเจ้าทำงานอยู่ต่อไปจนตาย


เขียนจบแล้ว ก็เอาไปถ่ายเอกสารที่ร้านแถวสามย่าน แต่จะหาปกที่ไหนใส่ เพราะรวมแล้วเล่มมันโตเกือบหนึ่งนิ้ว และมันยังไม่มีที่ใส่เอกสารเหมือนสมัยนี้



ลุงนึกขึ้นมาได้ว่า ซี.เจ. เขาเป็นคนจีน เขาคงชอบ “สีแดง” เลยให้ร้านแถวสามย่านเข้าเล่ม เดินปกแข็งสีแดง พิมพ์หน้าปกด้วยสีทอง หรือที่เขาเรียกว่า “เดินทอง” ด้วยภาษาอังกฤษว่า


“THE RESUME OF AMORN TARVORNMARD”
Propose for

SUMMIT COMPUTER CO Ltd.



เป็นอันเสร็จพิธี…..พลางยกขึ้น สาธุ….ขอให้ข้าพเจ้าสมหวังในการขายตัวครั้งนี้ด้วยเถิด


เสร็จแล้วก็ใส่ซองให้คนรถเอาไปให้คุณนงลักษณ์ในวันรุ่ง
ขึ้น และเตรียมตัวที่จะสัมภาษณ์กับ ซี. เจ ฮวง ในอันดับต่อไป



ขอเชิญติดตามตอน “สัมภาษณ์จีเอ็ม” ในตอนต่อไปนะขอรับ


//lungadd.pantown.com/




 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2548 16:24:37 น.
Counter : 1063 Pageviews.  

ผมนี่แหละ…มืออาชีพ…ตัวจริง ตอนที่ 33 วิธีขายตัว

ลุงรีบบึ่งเข้า Office หลังจากที่คุยกับคุณสุเมธารัตน์ คุณนงลักษณ์ และคุณวิชิตเสร็จ คนแรกที่ลุงต้องเรียกมาเล่าความจริงให้ฟัง และปรึกษาหารือด้วย คือ “เจ้าแก้ว”

เพราะ “เจ้าแก้ว” เคยอยู่ UNIVAC มาก่อน รู้เรื่องลึกตื้นหนาบางของระบบเครื่องเป็นอย่างดี และยังรู้เรื่อง บริษัท ซัมมิท
อินดัสเตรียล ดีด้วย

พอ “เจ้าแก้ว” รู้ว่าลุงกำลังจะเปลี่ยนงานไปอยู่ซัมมิทฯ สีหน้าและสายตาของเจ้าแก้วก็เปลี่ยนไป คล้ายจะกังวลอะไรบางอย่าง แต่เจ้าแก้วเป็นคนไม่พูด ถ้าไม่ถาม…..และเพราะลุงกำลังต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับ UNIVAC ให้มากที่สุด และอยากรู้เรื่องของซัมมิทฯ ให้มากที่สุด…ลุงจึงเจาะเอาแต่เรื่องที่สำคัญเท่านั้น

เราเอาหนังสือ Datapro เล่มสีน้ำเงิน ซึ่งคนที่เคยขาย IT จะต้องรู้จักกันทุกคน มาเปิดหา Section ของ UNIVAC ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ยิบยับ

เดี๋ยวนี้ทุกคนยังรู้จัก Datapro กันอยู่หรือเปล่าไม่ทราบ สมัยลุง มีเพียง 2 สีเท่านั้น คือสีน้ำเงิน เป็นเรื่องเกี่ยวกับ Hardware
ซึ่งรวมทั้ง Operating Systems หรือ System Software อื่นๆ ด้วย ส่วนสีเขียว เป็นเรื่องของ Communication

ทุกบริษัท และเซลส์แมนที่ขายระบบคอมพิวเตอร์ทุกคน จะต้องเปิดเจ้า Datapro นี้จนคล่อง เพราะมันเปรียบเสมือนตำราของนักขายคอมพิวเตอร์ มีรายละเอียดของ Hardware ทุกชิ้น ทุกรุ่น พร้อมด้วยราคาเป็น US$ ของทุกยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็น Burroughs, IBM, UNIVAC, NCR, WANG ฯลฯ

การศึกษาระบบคอมพิวเตอร์ นอกจากเราจะเรียนจาก Manual ของระบบเครื่องที่เราขายแล้ว เจ้า Datapro ตัวนี้ ยังเป็นคู่มือนอกตำราอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งให้ความเห็นที่ละเอียดและเป็นกลางเป็นอย่างยิ่ง บางครั้งเราจะต้องพึ่งเจ้า Datapro นี้มากกว่า Manual ของบริษัทเจ้าของเครื่องเสียอีก

ลุงเอาเครื่อง Burroughs และ Univac มาเทียบกันรุ่นต่อรุ่น ราคาต่อราคา ลองทำ Configurations ออกมาดูเป็นตัวอย่าง
ก็รู้สึกว่า ราคาของ Univac จะแพงกว่าของ Burroughs เล็กน้อย แต่การออกแบบ (Design Configurations) ของ Univac
จะต่างกับ Burroughs โดยสิ้นเชิง เพราะ ของ Burroughs จะออกแบบมาเพื่องานทาง Commercial แต่ของ Univac จะเป็นระบบที่ถูกออดแบบมาทาง Scientific มากกว่า เพราะเป็นเครื่อง ขนาด 36 Bit Word และเน้นไปทางเครื่องขนาดใหญ่ที่เรียกว่า Large Scale Mainframe

การที่ลุงต้องรู้เรื่องของ Univac อย่างละเอียด ก็เพื่อเตรียมตัวไว้รับกับสถานะการณ์ต่างๆ ที่อาจจะถูกสัมภาษณ์ได้ เพราะไม่ทราบว่าใครจะเป็นผู้สัมภาษณ์บ้าง อาจจะมีฝรั่งจาก Univac มาร่วมคัดเลือกตัว GM ก็อาจจะเป็นได้

รวมทั้งหน่วยงานที่ใช้ Univac อยู่ในขณะนั้น เช่น ที่ศูนย์กระทรวงการคลัง ที่กรมศุลกากร ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและที่ศูนย์ของซัมมิทฯ ว่าแต่ละ Site ใช้เครื่องระบบใด เปรียบเทียบกับ Burroughs แล้ว เป็นขนาดเท่าใด มีปัญหาอะไรบ้างหรือไม่

กว่าจะเสร็จเรื่องระบบของ Univac ก็ล่อเอาเกือบสามทุ่ม
แต่ก็ได้ผลคุ้มค่า ซึ่งทำให้ลุงเชื่อมั่นขึ้นอีกมากว่า ถ้าเข้าไปบริหารงานที่นั่นแล้ว จะเอาชนะเครื่องยี่ห้อต่างๆ ที่เข้ามาจำหน่ายในเมืองไทยได้ไม่ยาก

ทีนี้ก็ถึงเรื่อง ของ ซี. เจ. ฮวง และบริษัท ซัมมิท กรุ๊ฟ ซึ่งเจ้าแก้วไม่ค่อยจะรู้เรื่องเท่าไหร่ เพราะมัวแต่ทำงานเทคนิค ก็ได้ Information มาเพียงแต่ว่า ซี.เจ เป็นนักเรียนจาก MIT สหรัฐอเมริกา มีเพื่อนๆ ที่จบมาด้วยกัน และเป็นเพื่อนรักกันมาก จำนวน 3 คน และนั่นคือที่มาของคำว่า “SUM ซึ่งแปลว่า สาม และ MIT เลยรวมกับแล้วก็เป็น SUMMIT Group

ลุงต้องรู้เรื่องของ SUMMIT ให้มากกว่านี้ เพราะการที่เราไปสมัครงานในตำแหน่งสูงๆ นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ Culture ของบริษัท นโยบายการประกอบธุรกิจ และอื่นๆ
แต่ลุงจะทำอย่างไร ที่จะให้ทราบได้ในคืนนี้ เพราะถ้ารอถึงพรุ่งนี้ ก็จะสายเกินไป เพราะลุงต้องใช้เวลาอีกหนึ่งวันในการทำ Proposal เพื่อ “เสนอขายตัวเอง”

การเป็นเซลส์ มันสอนให้เราต้องรู้จักคิด หาวิถีทาง ที่จะต้องเอา Information ในเชิงลึกมาให้ได้ พอดีลุงมีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งอยู่ที่ไฟเซอร์ ซึ่งเคยเป็นบริษัทในเครือของ ซัมมิทฯ มาก่อน ลุงเลยโทรไปหาเขาในคืนนั้น เพื่อขอความรู้เกี่ยวกับ ซี. เจ. ฮวง และ ซัมมิทฯกรุ๊ป…….เขาบอกยินดี มาได้เลย ลุงจึงเริ่มคุยกับเขาตอนสามทุ่มครึ่ง

ไม่น่าแปลกใจ ที่ลุงจะได้ข้อมูลในเชิงลึกจากเพื่อนคนนี้ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็น MD ของบริษัทไฟเซอร์ เขาเล่ารายละเอียดให้ฟังว่า ซี. เจ. หลังจากจบจาก MIT แล้ว ก็มุ่งหน้าเดินทางเข้าสู่เมืองไทย เพื่อนรักอีกท่านหนึ่งเดินทางไปสู่ไต้หวัน โดยมีเพื่อนอีกหนึ่งคนยังคงปักหลักอยู่ที่อเมริกา เพื่อเป็น Connection หาสินค้าต่างๆ และติดต่อธุรกิจต่างๆให้

ซี.เจ. เดินทางมาเมืองไทยด้วยเงินเพียง US$ 1,000.- เท่านั้น
พร้อมด้วยการเป็นเอเย่นต์ยาของบริษัทไฟเซอร์ ต่อมาได้มาเห็นลู่ทางทำมาหากินในเมืองไทย โดยการเข้าติดต่อกับนักการเมืองที่มีอำนาจมากในสมัยนั้น จึงได้เช่าโรงกลั่นน้ำมันของกรมการพลังงานทหารบก ซึ่งมีโรงกลั่นอยู่ที่บางจาก เพื่อกลั่นน้ำมันให้แก่รัฐในยามสงคราม หรือที่เรียกว่า ยุทโธปกรณ์ ก็คือ “น้ำมันตราสามทหาร” ในสมัยนั้น

ในการเวลาต่อมา ก็ทำการเช่าปั๊มจำหน่ายน้ำมันของสามทหารทั้งหมด เพื่อดำเนินการหากำไรในยามไม่มีสงคราม

ซี.เจ. เริ่มต้นด้วยอาชีพเป็นเซลส์แมนขายยาของไฟเซอร์ และในที่สุด ก็ได้สัมปทานโรงกลั่นน้ำมัน “สามทหาร” มีปั๊มน้ำมันทั่วประเทศไทย ทำการกลั่นน้ำมันมีรายได้ปีละหลายหมื่นล้านบาท และรับเหมาส่งน้ำมันดีเซลให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และขยายกิจการออกไปสู่กิจการปิโตรเคมีหลายแห่ง มีบริษัทในเครือหลายบริษัท จนเป็นธุรกิจชั้นนำของเมืองไทยในขณะนั้น

ซี.เจ. …..เป็นคนไต้หวัน ที่พูดได้แต่ภาษาอังกฤษ ตลอดจนการใช้งานต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษทั้งสิ้น แต่เขาคงพูดไทยได้พอสมควร เพราะเขาอยู่ในเมืองไทยมากว่า 10 ปีแล้ว จนร่ำรวยเป็นเศรษฐีคนหนึ่งของเมืองไทย

สไตล์การทำงานของซี.เจ ตามที่เพื่อนเล่าให้ฟัง เป็นคนใจร้อน อยากได้อะไรก็ต้องเอาให้ได้ดังใจ……(มิน่าเล่า เลย
รีบร้อนที่จะหาคนมาเป็น GM ของบริษัท ซัมมิท คอมพิวเตอร์ ที่ตั้งขึ้นใหม่) แต่เพราะเขาอยู่ได้เพราะการเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่แน่ไม่นอน ซึ่งซี. เจ. ก็รู้อยู่แก่ใจ

ดังนั้นเขาจึงหาทางออกโดย แยกบริษัทในเครือออกไปให้เป็นบริษัทอิสระแต่ละบริษัท หากเกิดอะไรขึ้น กับบริษัทแม่ บริษัทลูกก็ยังดำเนินกิจการต่อไปได้ ซึ่งกิจการของไฟเซอร์เป็นบริษัทแรกที่ถูกแยกออกไป และ….ต่อไป คือกิจการ “คอมพิวเตอร์” ที่ลุงกำลังจะเข้าไปสมัครงานนั่นเอง

ซี.เจ. ได้ธุรกิจมาเพราะนักการเมือง ดังนั้น ลูกน้องของเขาในบริษัทจึงไม่หนีพรรคพวกทางการเมืองที่ฝากฝังกันเข้ามา ทั้งที่ทำงานได้ และทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำ เพราะวันๆ หนึ่งมัวแต่กินกาแฟ และนินทาชาวบ้าน ซึ่ง ซี เจ. ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะอิทธิพลของนักการเมือง การทหารในขณะนั้นแข็งแรงมาก

เขาจึงอยากได้ “มืออาชีพ…” เพื่อเข้ามาบริหารนโยบายของบริษัทที่จะตั้งขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ ไม่ทำอย่างเก่า…..และไม่ต้องขึ้นอยู่กับการบริหารงานของ ซี.เจ. ซึ่งเขาได้ทำสำเร็จมาแล้วในไฟเซอร์

ลุงได้เห็นแนวในการขายตัวเองให้แก่ ซี.เจ. ฮวง ตั้งแต่คุยกับเพื่อนที่เป็น MD ของบริษัทไฟเซอร์จบเอาตอนสองยามพอดี

ก็ต้องขอขอบคุณ “เพื่อน” ผู้ไม่ประสงค์จะให้เอ่ยนามมา ณ ที่นี้ด้วย

ซุนวู….บอกไว้ว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ก็ชนะร้อยครั้ง”

ตอนนี้ ลุงมี Information ครบแล้ว ทั้งเรื่องของ Product เรื่องของบริษัท และเรื่องของบุคคลที่จะไปให้เขาสัมภาษณ์ และเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดซึ่งเป็นประธานบริษัทของซัมมิทกรุ๊ฟ

แต่จะทำอย่างไรให้ “เขารู้เรื่องของเรา” บ้าง…………………

ลุงอยู่ที่ยิบอินซอย อย่างที่เล่าแล้ว ก็ได้แต่ทำงาน ทำงาน จนไม่มีเวลาไปสุมหัวกับใครที่ไหน ในสมัยนั้น การเล่นกอล์ฟก็เล่นกันเฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้น ลุงเพิ่งอายุ 35 หามีสิทธิ์ได้เล่นเหมือนสมัยนี้ไม่

ลุงจะต้องหาวิธีทำอย่างไร ให้ ซี เจ. ฮวง….รู้ถึงความสามารถ
ประสบการณ์ และชีวิตในการทำงาน และการต่อสู้ของลุง

และ….ที่สำคัญที่สุด เวลาของ ซี.เจ. คงมีน้อยมาก….เพราะขนาดประธานบริษัทลงมาสัมภาษณ์เองโดยไม่ผ่านฝ่ายบุคคลแบบนี้ คงเป็นเรื่องที่ไม่ปรกติแน่นอน และถ้าหาก
ลุงไม่เป็นฝ่ายรุกก่อน ซี.เจ. คงคงจะไม่เชื่อขี้หน้า และเกิด
Bad first impressive เหมือนดังที่ลุงเคยมีประสบการณ์ขายตัวในครั้งแรกมาแล้ว

คราวนี้จะทำอย่างไร………………………………………

“เล่าเรื่องความจริงทั้งหมดให้ ซี.เจ ฮวงทราบ โดยใช้รูปภาพและเอกสารพิเศษ”

ใช่ซิ….ลุงมี “เอกสารพิเศษ” ที่ลุงได้มันมาในกรณีพิเศษ และลุงได้เก็บมันใส่แฟ้มไว้อย่างดี มีทั้งรูปภาพ และ เอกสารต่างๆ นาๆ ซึ่งเป็นของลุงที่ได้ทำไว้เองยามว่าง

ไม่เคยคิดว่า “เอกสารพิเศษ” ชิ้นนี้ จะทำให้ลุงได้งานในตำแหน่ง GM หลังจากการสัมภาษณ์กับ ซี.เจ. ฮวง ภายใน 5 นาที……และได้อยู่ในซัมมิท คอมพิวเตอร์เป็นเวลาถึง 11 ปี
ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่า จะลองเปลี่ยนงานใหม่สักสองสามปีดู


อะไรคือ “เอกสารพิเศษ” ชิ้นนั้น…….ทุกคนคงอยากรู้

คอยติดตามต่อในคราวหน้านะครับ



//lungadd.pantown.com

“คลับนักขาย 001”





 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2548 22:42:14 น.
Counter : 1185 Pageviews.  

ผมนี่แหละ…มืออาชีพ…ตัวจริง “ขายตัว…….ครั้งที่สอง”

วันรุ่งขึ้น ลุงใส่สูทตัวงาม เดินทางไปพบคุณสุเมธารัตน์ ซึ่งเป็นลูกน้องเก่าที่ยิบอินซอย ซึ่งตอนนี้ลาออกไปอยู่ที่แบงค์ชาติ ที่ร้านเบเกอรี่แห่งซึ่งขายอาหารเวียดนามด้วย อยู่บนถนนสีลม ใกล้ๆ กับบริษัท ซัมมิท อินดัสเตรียล จำกัด


ในที่นั้น ลุงได้พบกับคุณวิชิต อมรวิรัตนสกุล (เดี๋ยวนี้ เปลี่ยนเป็น…..ญาณอมร) ซึ่งลุงได้เลยยินชื่อเขามานานแล้ว เพราะเป็นลูกศิษย์มือหนึ่งของดร.นิยม อยู่ที่ NSO เก่า แล้วลาออกมาทำงานที่ซัมมิท อินดัสเตรียล ซึ่ง ดร.นิยมเคย Recommend ให้ทางยิบอินซอยรับไว้ แต่ทางยิบอินซอยยังไม่ทันพิจารณา เขาก็ลาออกเสียก่อน


อีกท่านหนึ่ง เป็นผู้หญิง ท่าทางคล่องแคล่ว ยิ้มแย้มแจ่มใส เห็นปั๊บเดียวก็รู้ว่าเป็น “คนทำงาน” แบบถึงไหนถึงกันคนหนึ่ง เธอ คือ “คุณนงลักษณ์ หวังศิริรุ่งเรื่อง”


เราได้คุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่เป็นเวลานาน ลุงจึงได้ความรู้ว่า บริษัท ซัมมิท อินดัสเตรียล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัท ที่ ซี. เจ. ฮวง ถือหุ้นใหญ่อยู่ ในอดีตได้เคยใช้ IBM มาเพื่อคำนวณประมาณการกลั่นน้ำมันมาก่อน แต่พอ Univac เข้ามาหาตลาดที่เมืองไทย ก็ไป Approach ให้ ซี. เจ. ฮวง หันมาใช้ Univac แทน IBM เพราะเป็นเครื่องที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานทางด้านการคำนวณมากกว่า

หลังจากที่ ซี.เจ. ฮวง ตัดสินใจเปลี่ยนจาก IBM มาเป็น Univac แล้ว นิสัยของพ่อค้า ก็เลยเจรจาต่อรองขอเป็นเอเย่นต์ เพื่อจัดจำหน่ายระบบคอมพิวเตอร์ของ Univac แต่ผู้เดียวในเมืองไทย เพื่อจะได้ซื้อของที่นำมาใช้เองในราคาพิเศษ และถือโอกาส จำหน่ายระบบคอมพิวเตอร์ในเมืองไทยที่มีแนวโน้มทางด้านการตลาดว่าดีขึ้นเรื่อยๆ เสียเลย


ในขณะนั้น ในเมืองไทย มีผู้แทนจำหน่ายระบบคอมพิวเตอร์อยู่ไม่กี่ราย ส่วนใหญ่จะเป็น “ผู้แทนจำหน่าย หรือ Distributor” หรือผู้ที่ซื้อขาดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จำหน่ายมามาจากเมืองนอกหรือ จากบริษัทผู้ผลิต แล้วก็เอามาให้เช่า หรือขาย ให้แก่ลูกค้าในเมืองไทย โดยการลงทุนเองทั้งหมด ดังนั้น ผู้แทนจำหน่ายแต่ละราย จะต้องเป็นผู้ที่มีเงินทุนสูง มีสายป่านยาว กล้าลงทุน กล้าจ้างบุคลากรที่มีราคาแพง และมีคุณภาพด้วยกันทั้งนั้น


การซื้อขาย การเช่าคอมพิวเตอร์ของหน่วยราชการและเอกชนก็ยังอยู่ในวงจำกัด คงจะไม่เกิน 50 รายในเมืองไทย ประชาชนยังไม่มีใครรู้จักคอมพิวเตอร์กันสักเท่าไหร่ เพราะเป็นสินค้าเฉพาะกิจ คนที่ไม่จำเป็น เขาไม่ลงทุนซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้เล่นที่บ้านกันหรอก เพราะเป็นชนิด “เมนเฟรม” ทั้งสิ้น ราคาก็ 10 –20 ล้านบาทขึ้นไปจนถึงนับ ร้อยๆ ล้านบาท


ดังนั้น ในวันนั้น เราก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และคุยกันเรื่องการจำหน่ายระบบคอมพิวเตอร์ทั่วไป ลุงนั้น ตั้งใจที่จะไปคุยเพื่อจะได้ทราบข่าวเพื่อนร่วมอาชีพอีกรายหนึ่ง ซึ่งอยู่ในวงการคอมพิวเตอร์ด้วยกัน ส่วนคุณนงลักษณ์กับคุณวิชิตนั้น เขารู้จักลุงเป็นอย่างดี เพราะตอนที่ลุงขายให้ธนาคารกสิกรไทย ได้ หนังสือพิมพ์ก็ข่าวกันครึกโครม และสมัยที่ยิบอินซอย แถลงข่าวเปิดตัว ระบบ “เบอร์โร่ส์” ใหม่ๆ ลุงก็เป็นที่หอมหวลในฐานะที่เป็นมือใหม่ในวงการยิ่งนัก

จนกระทั่ง คุณนงลักษณ์เป็นผู้เอ่ยขึ้นมาว่า………………..


“คุณอมรคะ…..ที่เรียนเชิญคุณอมรมาคุยในวันนี้ เพราะบริษัท ซัมมิท คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ซัมมิท ได้แยกตัวออกมาตั้งเป็นผู้แทนจำหน่ายเครื่อง Univac โดยตรง และในปัจจุบัน บริษัทซึ่งมีคุณกำธร ทองอุไร เป็นกรรมการผู้จัดการอยู่ ก็ได้ลาออก…..บริษัทจึงได้ลงโฆษณารับ GM คนใหม่………………………………..”


คุณนงลักษณ์ หยุดถอนหายใจนิดหนึ่งแล้วพูดต่อว่า


“เราทราบว่าคุณอมร มีความสามารถที่จะเป็น GM ของเราได้ และตั้งแต่ลงโฆษณาไปก็ไม่มีใครมาสมัครเลย คุณอมรจะสนใจไหมคะ……ถ้าบริษัทจะเรียนเชิญคุณอมรให้มาเป็น GM ของบริษัท….”


………………………………………………………………


ในวินาทีนั้น มันทำให้ลุงนึกถึงวันแรกที่เข้าไปสมัครงานที่บริษัท ยิบอินซอย หลังจากที่จบจากโรงเรียนพณิชยการพระนครใหม่ๆ ในปี 2507

“เฮียครับ……..ผมมาสมัครงานครับ”

“สมัครตำแหน่งอะไรวะ….” เฮียตัวอ้วนๆ เงยหน้าขึ้นถาม

“ตำแหน่งพนักงานงานขายครับ…..” ลุงตอบ

“มีประสบการณ์มาบ้างหรือเปล่า”

“มีครับ……ผมเคยฝึกขายดินสอ ไม้บรรทัด ยางลบ ที่
สหกรณ์โรงเรียนครับ….” ลุงตอบไปอย่างนั้นเอง เพราะถ้าบอกว่า ไม่มีประสบการณ์ ใครเขาจะให้งานทำ

“ฮะ…ฮะ…..” เฮียหัวเราะ….

“ประสบการณ์แค่นี้เองละหรือ….”

“เอ็งรู้หรือเปล่าว่า…ที่นี่ขายอะไร”……เฮียถาม

“ไม่ทราบครับ….”

“ที่นี่เราขายอุปกรณ์สำนักงานที่ทันสมัยที่สุด รู้จักไหม
“เครื่องบวกเลข” นะ…..ราคาเครื่องละ 6,000.- บาทเชียวนะ
คนไม่มีประสบการณ์ขายไม่ได้หรอก…..ไป…กลับไปหาประสบการณ์ ไปขายดินสอ ปากกา ยางลบสักสองสามปี
แล้วค่อยมาสมัครใหม่……ไปได้แล้ว”


……………………………………………………………..


นั้นคือเมื่อปี 2507 ที่ลุงพยายามหาทาง “ขายตัวเอง” ให้เฮียแกตกลงรับลุงเข้าทำงานจนได้



และได้ต่อสู้ เผชิญทุกข์ ผจญสุข ต่อสู้ อยู่ใน “ยิบอินซอย” ตั้งแต่เป็นพนักงานขายฝึกหัด เลื่อนขึ้นมาเป็นพนักงานขาย โดนลูกค้าโกง จนหมดกำลังใจทำงาน เกือบหนีไปเป็นชาวเรือตังเกที่อำเภอกันตัง จนกระทั่งบริษัทฯให้โอกาสอีกครั้ง ตามจับลูกค้าจอมโกงมาเข้าคุกจนไถ่ตัวจากการใช้หนี้ให้บริษัทจนได้


จนเติบโตภายใต้การอุปถัมภ์ค้ำชูของบริษัท ยินยินซอย จนขึ้นมาขายเครื่องจักรลงบัญชี ได้คอมมิชชั่นเดือนละ 3 –4 หมื่นบาท จนบริษัทเอาระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาจำหน่ายแบบ “ดำดิน” หรือไม่มีใครรู้เรื่องเลย จนกว่าเราจะได้ออเดอร์แล้ว นั่นแหละจึงประกาศตัวเป็นผู้แทนจำหน่ายที่แท้จริง


จากนักขายธรรมดา ก็ได้มารั้งตำแหน่งผู้จัดการแผนก “เบอร์โร่ส์” และได้เลื่อนเป็น “รองกรรมการผู้จัดการ” บริษัท ศูนย์คอมพิวเตอร์ประเทศไทย จำกัด…….จากเงินเดือนที่เริ่มต้นเพียง 650.- บาทจนเป็นหลายหมื่นบาทในเวลานี้ และบัดนี้ ใช้เวลาเป็นเวลาถึง 14 ปีเต็ม

…….ถ้าหาก “เราจะขายตัวอีกครั้ง เป็นครั้งที่สอง….หลังจากที่มีประสบการณ์ 14 ปี….ในตำแหน่ง GM …..อยากรู้นักว่า จะได้เงินเดือนสักกี่บาท”


……………………………………………………………..


จนเสียงคุณสุเมธารัตน์ก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบว่า

“ว่าไง…คุณอมร ที่คุณนงลักษณ์เขาพูด น่าสนใจไหม”

จึงปลุกให้ลุงตื่นขึ้นจากภวังค์ และความคิดที่หวลกลับไปเมื่ออายุ 19 ปี

“สนใจครับ…..” ลุงตัดสินใจบอกคุณนงลักษณ์ไปด้วยความอยากรู้จริงๆ ว่า เขาจะรับเราหรือไม่ จะได้เงินเดือนสักเท่าไหร่ จะได้อะไรบ้าง เพราะเกิดมา ก็ไม่เคยสมัครงานในตำแหน่ง GM สักที

“แต่…ผมขอเรียนก่อนว่า …..ผมไม่มีปริญญานะครับ…….”


ลุงไม่รู้จะอธิบายอย่างไรได้ถูก ก็ตั้งแต่จบพาณิชย ซึ่งวุฒิขณะนั้นคือ “อาชีวะศึกษาชั้นสูง” ลุงก็เอาแต่ทำงาน….งานทำ…..จนไม่ได้ไปเรียนต่อที่ไหนเลย

…..นี่มาสมัครงานในตำแหน่ง GM ต้องมาคุมคนที่ขายคอมพิวเตอร์ พวกนักวิชาการที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งส่วนใหญ่จะจบปริญญาตรี หรือปริญญาโทจากต่างประเทศ…….


“ไม่เป็นไรหรอก……คนของเราคนหนึ่ง ซึ่งเป็นจีเนียสทางคอมพิวเตอร์ แม้แต่ปริญญาเอกยังสู้ไม่ได้ คุณก็เอาไปทำงานกับคุณแล้ว….คุณวิชัย ไกรสิงขร….ไง…..จำได้ไหม”

มันทำให้ลุงนึกถึง “ไอ้แก้ว” จอมอัจฉริยะทางด้านคอมพิวเตอร์ ที่ทำเอาฝรั่งจากเมืองนอกเกาศีรษะแบบไม่เข้าใจมาแล้วว่าทำได้อย่างไรตอนที่มันแพทดิส ที่มีปัญหาเรื่อง Operating System กลับเข้าที่อย่างเก่าจนสำเร็จ….ด้วยมือเพียงสองข้างและหนึ่งสมองเท่านั้น…..ใช่ ลุงเอาเขามาจากซัมมิทนี่เอง


“เอาละ….ถ้าคุณสนใจ ดิฉันจะนัดให้คุณสัมภาษณ์กับ ซี.เจ.ฮวง ซึ่งเป็นประธานของบริษัท นายใหญ่ของเรา เนื่องจากบริษัทต้องการผู้ที่เข้ามาบริหารงานด่วนมาก…..จึงเป็นไปได้ไหมที่คุณจะเจอกับ ซี. เจ. ภายในอาทิตย์นี้” คุณนงลักษณ์ถาม


ลุงหยิบสมุดไดอารี่ที่พกติดตัวอยู่เสมอขึ้นมาดู

“ถ้าเป็นไปได้….อาทิตย์นี้ผมว่างสองวัน คือวันพฤหัสที่ 22 หรือไม่ก็วันศุกร์ที่ 23 (มิถุนายน 2521) นี้……เอาวันไหนก็ได้ครับ……..”

“คะ…..แล้วดิฉันจะเรียนปรึกษากับ ซี.เจ. แล้วจะนัดเวลามาให้คุณอมรทราบ…….”


………………………………………………………………


ลุงลาจากออกมาจากที่นั่งคุยกันด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก

ใจหนึ่งก็เสียดาย……ไม่อยากจากยิบอินซอย ซึ่งอยู่มานาน และเป็นที่ที่มีพระคุณต่อลุงอย่างเหลือล้น

อีกใจหนึ่ง ก็คิดถึงอนาคตของตนเอง ว่า “ช่วงเวลา 14 ปี ลุยเคยออกไปอยู่โอลิมเปียเพียง 9 เดือนด้วยเหตุผลในด้านการบริหารเพราะยิบอินซอยสมัยนั้น กำลังเปลี่ยนนโยบายโดยเอาฝรั่งเข้ามาคุมคนไทยเกือบหมด แต่ก็ได้กลับมาทำงานที่ยิบอินซอยต่อ และไม่เคยไปสมัครงานที่ไหน การอยู่ที่เดียวนานๆ นี่มันก็มีความรู้สึกเหนื่อยหน่ายเฉื่อยชาไปได้เหมือนกัน…………………”

“……หากเราจะอยู่ยิบอินซอยต่อ อนาคตของเราจะเป็นอย่างไร……เราคงไม่สามารถก้าวขึ้นในตำแหน่ง “กรรมการผู้จัดการ”…ได้…..(ลุงคิดเล่นๆ ) เพราะเป็นบริษัทในครอบครัว…….แล้วขณะนี้เราก็ได้ไต่ขึ้นมาชนเพดานแล้ว …..ด้วยอายุเพียง 35 ปี……………………………………………….


แล้วจะไปทำอะไรต่อ…….อย่าหวังว่าจะไปลงทุนทำการค้าเอง เป็นนายของตนเอง…..เพราะ ตัวเองไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นนายทุน…..เราเป็นเพียง “มืออาชีพ….ที่แท้จริง” เท่านั้น


“ตำแหน่ง GM ที่กำลังได้รับข้อเสนอ…..มันก็เหมือน “โอกาส” ที่หาไม่ได้ง่ายๆ นัก……โดยเฉพาะกับ “เด็กพาณิชย์” ที่ใครๆ เขาชอบเรียก หรือ “ไอ้คนไม่มีปริญญาอะไร…..”


เคยมีคนพูดดูถูกลุงว่า “ไอ้’มรหรือ….มันก็เก่งอยู่แต่ในยิบอินซอยละวะ….เพราะมันอยู่มานาน เลยจับเส้นผู้ใหญ่ได้เก่ง
ความจริงฝีมือนะ…ไม่เท่าไหร่หรอก”


ถ้าลุงได้งานที่ Univac คราวนี้ มันจะลบล้างคำพูดที่ดูถูกดูหมิ่นอันนี้เสียได้….เพราะลุงแทบจะไม่รู้จักใครเลยที่ซัมมิท เอาเป็นว่า “ไม่รู้จักเลย” จะดีกว่า เพราะกับคุณนงลักษณ์และคุณวิชิต ก็เพิ่งรู้จักกันเมื่อตะกี้นี่เอง


………………………………………………………………

เอาวะ…..ไหนๆ ก็ไหนๆ “ลุงเห็นจะต้องขายตัว…..อีกสักครั้ง ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ดูซิว่า เด็กไม่จบปริญญา….ขายครั้งแรกไม่มีประสบการณ์ ขายได้ในตำแหน่ง “พนักงานขายฝึกหัด” ได้ในราคา 650.-บาท …….. คราวนี้มีประสบการณ์ 14 ปี จะขายตัวในตำแหน่ง GM…….จะได้สักกี่บาท”

……และเวลาก็กระชั้นชิด…..นี่ลุงต้องเขียน Resume สมัครงานไปก่อน และนัดสำภาษณ์กับท่านประธานในวันพฤหัสหรือศุกร์นี้……..ลุงจะมีวิธี “ขายตัว” อย่างไร…….อย่าพลาด
เชียวนะครับ….ถึงนาทีระทึกใจอีกแล้ว…………………..






//lungadd.pantown.com/

“คลับนักขาย 001”

“ลุงแอ็ด”









 

Create Date : 29 ตุลาคม 2548    
Last Update : 29 ตุลาคม 2548 10:16:09 น.
Counter : 1490 Pageviews.  

1  2  

ลุงแอ็ด
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




Friends' blogs
[Add ลุงแอ็ด's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.