Group Blog
 
All Blogs
 

“ผมนี่แหละ…มืออาชีพ…ตัวจริง” ตอนที่ 30 “เจ้านาย…ตัวจริง”

ดังที่เล่าให้ฟังแล้วว่า คุณธวัช เป็นจอมละเอียด จอมตัวเลข
จอมตั้งคำถาม….ใครตอบแกไม่ได้ จะต้องมี “ไอ้…ผีทะเล”
ติดออกมาจนทุกคนขยาดกันไปตามๆ กัน

แต่ถ้าแกถูกใจใคร…..คนนั้น เป็นอันว่า “เสร็จแก”….คือแกจะให้งานไปทำ ทำเสร็จแล้ว ก็ยังไม่จบ ต้องขยายต่อไปอีก…พอจบ เสนอให้ดูปั๊บ…..เออ….เอ็งเก่ง….แล้วก็ให้งานใหม่ทันที….ไม่มีที่สิ้นสุด

ทำงานกับคุณธวัชนี่ ไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ …..แกเอาไอเดียมาจากไหนก็ไม่รู้ ให้เราทำ…คิดตัวเลข บวกลบ คูณ หาร หาสมการ ถอดรูท หาข้อมูลเอามาเปรียบเทียบ…..กับของเก่า Update ของใหม่ ปรับปรุงของเก่า……ทำอย่างนี้เรื่อยไป

และถ้าเจอคนที่ทำงานมันๆ…เหมือนแก…..ก็ไม่แค่ทำอยู่ที่บริษัทถึง 2 –3 ทุ่ม…….วันเสาร์ อาทิตย์ ก็ยังหอบงานไปทำต่อ ซึ่งแกมักจะชวนให้เราหอบงานไปทำที่บ้านซึ่งเป็นตึกสองชั้นหลังเบ้อเริ่มที่ปากซอยนานา ถนนสุขุมวิท

อาจจะเป็นเพราะแกต้องทำงานคนเดียว มันเหงา…ไม่รู้จะคุยกับใคร…..เพราะมันจะต้องมี “เบียร์สด” เป็นกับแกล้มกันตั้งแต่เช้า…...ลุงแอ็ดเอง….ก็ไม่อยากทำงานที่บ้าน ซึ่งนอกจากได้ปรึกษาเจ้านายว่าจะเอาอย่างไร เวลาติดขัดขึ้นมาแล้ว ที่สำคัญที่สุด…..พอเริ่มเปิดกระเป๋าเจมส์บอน เอางานขึ้นมาตั้งบนโต๊ะ เสียงเรียก

“ฉ่องเซน…….รินเบียร์ให้คุณอมรแก้ว”

…..ฉ่องเซน…..ซึ่งเป็นคนรับใช้เก่าแก่ประจำบ้านคุณธวัชก็จะค่อยกระย่องกระแย่ง เอาเบียร์สดแก้วเบ้อเริ่มมาเสร็ฟ…

หลังจากคุณอมร ได้ฟาดเบียร์หมดไปแล้วสองสามเหยือก เครื่องเริ่มติด….ก็เริ่มทำงานกันไป…คุยกันไป ….ปรึกษากันไป…..บางทีก็ทำงานเรื่องเดียวกัน…..บางทีก็ทำกันคนละเรื่อง…..แล้วแต่อัธยาศัย

ทำงานกันอย่างนี้เป็นปีๆ ลุงแอ็ดจึงสนิทกับที่บ้านคุณธวัชเกือบหมดไม่ว่า จะเป็นคุณนายมีเซียม ซึ่งท่านน่ารักมาก ให้ความเอ็นดูลุงแอ็ดเสมอมา…..กับพี่เอื้อย…ซึ่งคอยแวะเวียนมาถามว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องหรือเปล่า…กับแกล้มจำพวกถั่วเค็มๆ หมดแล้วยัง…..บางครั้งก็ทำงานกันถึงเย็น….ก็ได้รับเชิญให้ประทานอาหารเย็นด้วยกัน….ซึ่งนั่งกันเป็นโต๊ะใหญ่ และยาว

มีแขกหรือญาติๆ ของพี่เอื้อย คุณธวัช ของคุณนายมีเซียม ของพี่สาว ของคุณหนู พี่ชายคุณธวัชผลัดกันมารับประทานอาหารกันเป็นประจำ

พอเข้านั่งประจำที่…..ก็จะมีเด็ก “เบิ้ม” มาเสริฟอาหาร ซึ่งเพราะโต๊ะมันทั้งกว้าง ทั้งยาว และมีคนรับประทานเกือบสิบคน ก็ต้องใช้วิธีเดินอาหารเอา คือหยิบจากตรงโน้น ไปเสริฟให้ตรงนี้ พอตักอาหารเสร็จ ก็ยักไปเสริฟตรงโน้นอีก ทั้งยังตักข้าวเสริฟไม่ให้ขาด………….พลางคุยกันไปเบาๆ

ลุงแอ็ดไม่กล้าจะคุยอะไร…..เวลากินโต๊ะใหญ่ที่ไร มันรู้สึกอึดอัดทุกที…..มันเป็นพิธีรีตองอย่างไร บอกไม่ถูก……….
ลุงก็รีบทานๆ เสร็จแล้ว ก็ขอตัวกลับไปนั่งทำงานต่อ……..

เหตุการณ์ดำเนินเป็นอย่างนี้ไปเป็นสิบปี…จนลุงแอ็ดเหมือนส่วนหนึ่งของบ้านคุณธวัช…..จนกระทั่ง คุณธวัชย้ายบ้านใหม่ไปอยู่ที่ซอยพระพินิจ หรือซอยคึกฤทธิ์….และคุณธวัชไม่ได้คุมแผนกที่ลุงทำงานอยู่แล้ว จึงค่อยๆ ห่างเหิน ไม่ค่อยได้ไปทานข้าวและทำงานด้วยกันบ่อยๆ เหมือนแต่ก่อน

เพราะคุณธวัช ให้ความเป็นกันเอง และสนิทกับลุงแอ็ดถึงขนาดนี้ และมีพระคุณล้นเหลือในการงานต่างๆ ลุงแอ็ดจะผิดใจกับคุณธวัชได้อย่างไร

แต่มันเป็นไปได้……และเป็นไปแล้ว…….โดยที่ลุงไม่ได้ตั้งใจ………จริงๆ ให้ดิ้นตาย…………………………………

ก็จะขอเล่าข้าม Short ที่ลุงแอ็ดได้ลาออกจากบริษัท ยิบอินซอย ในวันหนึ่ง หลังจากที่ได้ขายเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกให้ยิบอินซอยได้ 5 ปี ซึ่งอายุอานาม ก็ 35 ปี พอดี….

ทำไมออก…..มีเหตุการณ์ใดทำให้ต้องออก……ไว้ลุงค่อยเล่าทีหลัง แต่ตอนนี้ ขอเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับคุณธวัชให้จบเสียก่อน

ตอนที่ลุงลาออกจาก บริษัท ยิบอินซอย ลุงก็ได้ไปลาคุณธวัช
คุณธวัชก็ถามว่าไปอยู่ที่ไหน กับใคร…..ความจริงแกรู้ตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้ว เพราะกระแสที่ลุงลาออกค่อนข้างแรง คนรู้กันแซดทั้งบริษัท

ลุงก็บอกว่า ลุงต้องขอกราบลาไปอยู่ บริษัท ซัมมิท คอมพิวเตอร์ ที่รับเปิดรับในตำแหน่ง “ผู้จัดการใหญ่”
(General Manager) ซึ่งลุงได้เสือกสมัครเข้าไป และได้สัมภาษณ์จาก Mr., C. J. Hung ซึ่งเป็นประธานใหญ่ ของบริษัท ซัมมิท อินดัสเตรียล กับ บริษัท ซัมมิท ออยส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่เช่าโรงกลั่นน้ำมันจากกรมการพลังงานทหาร มากลั่นเป็นน้ำมันสามทหารในสมัยโน้น

Mr. C. J. Hung พอรู้ว่าลุงแอ็ดเป็นลูกน้องคุณธวัช ยิบอินซอย ปั๊บ ก็รับปุ๊บทันที เพราะใครเป็นลูกน้องคุณธวัช แล้วการันตีฝีมือในการทำงานได้…..จนเขารู้กันทั่ววงการ

เขาเลยให้ตำแหน่ง GM, ให้เงินเดือนมากกว่าที่รับจากยิบอินซอยอีกเท่าตัว (นี่เป็นทางออกของลุง…..ลองลุงจะไปอยู่ที่ใหม่ ถ้าเงินได้น้อยกว่าเท่าตัวแล้ว….มันตัดสินใจไม่ค่อยจะได้……มันอึกอักอีกอักชอบกล……แต่ถ้าเขาให้ เช่นเราเงินเดือน 30,000.- ลองเรียกไปสัก 60,000.- บาท ถ้าเขาให้….

เราก็พูดไม่ออก…ก็ต้องไป…ในขณะเดียวกัน….ก็มีข้ออ้างกับนายเก่าได้ว่า…..เขาให้เงินเดือนตั้งเท่าตัว…..ก็เกรงใจเขา เลยต้องไปซะหน่อย…..ถ้าไม่ดี จะกลับมาอยู่กับนาย….คนเก่า…..ใหม่)

คุณธวัชฟังแล้ว ก็พูดไม่ออก เพราะเราไปได้ตำแหน่งดี และเงินเดือนเท่าตัว มีรถ มีคนขับรถ มีอะไรต่อมิอะไรให้

แกก็อวยพร…..และขอให้ไปทำความดี…อย่าให้เสียชื่อที่ “เป็นลูกน้องคุณธวัช” พลางบอกกับลุงแอ็ดว่า

“ต้องโทรไปด่าไอ้ฮวงมันสักหน่อย…..หนอย มาดึงลูกน้องเราไป ก็ไม่พูดกับเราสักคำ”

ความจริง มร. ฮวง กับคุณธวัช ก็เล่นกอล์ฟด้วยกันที่สนามม้าฝรั่งด้วยกันบ่อยๆ เขารู้จักกันดี แต่เรื่องอย่างนี้ เขาจะคุยกันหรือไม่ ลุงก็ไม่ทราบ

แล้วลุงก็ลาออกไปอยู่ บริษัท ซัมมิท คอมพิวเตอร์ จำกัด เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2521 รวมเวลาที่อยู่ บริษัท ยิบอินซอย จำกัดเป็นเวลา 14 ปีเต็ม

งานแรกที่ลุงจับ ตั้งแต่เข้าซัมมิท ก็คืองานขายระบบคอมพิวเตอร์ที่ลุงเคยปูทางไว้ก่อน คือที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงค์ชาติ ซึ่งเป็นธนาคารที่สำคัญมาก เป็นธนาคารของชาติ ใครได้ธนาคารนี้ไป ก็มีความหวังที่จะขายรายอื่นๆ ได้อีกง่ายดาย เป็นที่ IBM หวังไว้ว่าจะต้องเอารายนี้ให้ได้ ยิบอินซอยก็หวัง และลุงก็หวังในฐานะเข้าไปอยู่ที่ซัมมิทใหม่………

ในที่สุด ลุงก็ชนะดีลนี้ โดยชนะ ยิบอินซอย อย่างขาดลอยเสียด้วย เพราะเหลือกันแค่สองราย เนื่องจาก IBM ถอนตัว

นี่เป็นเหตุที่ทำให้คุณธวัชโกรธลุงมาก…..ลุงเคยได้รับการบอกเล่าจากคนข้างในว่า คุณธวัชโกรธถึงขนาดต่อว่าลุงแอ็ดว่าเป็นคน “อกตัญญู” ไม่รู้จักบุญคุณคน…แม้กระทั่งคนที่ชุบเลี้ยงมาตั้งแต่ยังไม่เป็นอะไรเลย….ก็ยังมาทรยศหักหลัง

ลุงนั้น กลุ้มใจนอนไม่หลับอยู่หลายคืน พยายามติดต่อพี่สมัย ขอเข้าพบเพื่อชี้แจงกับคุณธวัช ก็ได้รับคำบอกเล่าจากพี่สมัยว่า คุณธวัชฝากบอกว่า “ไม่ต้องชี้แจง….ไม่มีอะไรจะต้องรับฟัง”

ช่วงนั้น พอดีไดเนอร์คลับที่คุณธวัชเป็นผู้ค้ำประกันอยู่หมดอายุ ต้องต่ออายุใหม่ ทางไดเนอร์ก็โทรมาบอกว่า “คุณธวัชถอนค้ำประกัน”

มันทำให้ลุงยิ่งกลุ้มใจหนักเข้าไปอีก ไม่ได้กลุ้มใจเรื่องไม่มีผู้ค้ำประกันหรอก แต่กลุ้มใจ ที่ทำให้ผู้มีพระคุณต้องเข้าใจผิด
ว่าลุงแอ็ดเป็นไม่รู้จักบุญคุณคน อกตัญญู หักหลังแม้กระทั่งนายเก่า แย่งชิงลูกค้าที่ตนเองทำมากับมือ

ลุงจะปล่อยให้เหตุการณ์เป็นไปอย่างนี้ไม่ได้……………….

วันหนึ่ง ลุงจึงบุกไปถึงห้องคุณธวัชโดยไม่ได้นัดล่วงหน้า

พี่สมัยเจอหน้า รีบเข้ามาทัก

“คุณอมร มาทำไม…”

ลุงถามพี่สมัยว่าคุณธวัชอยู่หรือเปล่า กำลังยุ่งไหม พี่สมัยบอกกำลังว่าง กำลังอ่านหนังสืออยู่ ลุงเลยขอร้องพี่สมัยว่า
ขอลุงพบคุณธวัชแป็บเดียว….ในขณะที่ลุงเข้าพบ…อย่าโอนโทรศัพท์เข้าไป…..แล้วลุงก็เปิดประตูเข้าไปพบคุณธวัช

“คุณธวัชครับ…..” ลุงแอ็ดเรียก คุณธวัชหันขึ้นมามองจากที่อ่านหนังสืออยู่

“มีอะไร…..ว่ามา” คุณธวัชพูดโดยไม่ยิ้ม ไม่ทักทายทั้งสิ้น

“ผมต้องขอโทษ เรื่องแบงค์ชาติ ผมทราบดีว่าคุณธวัชโกรธ….” ลุงหยุดหายใจหน่อยหนึ่ง แล้วพูดต่อ

“มันเป็นความจำเป็นครับคุณธวัช…..”

“จำเป็นอย่างไรฮึ…..” คุณธวัชถามห้วนๆ

“ก็ผมเคยเล่าให้คุณธวัชฟังแล้วว่า C. J. Hung เขารับผมเข้าไปเป็น GM ก็เพราะผมเป็นลูกศิษย์คุณธวัช……มิฉะนั้น เขาก็ไม่รับ….คุณธวัชยังบอกผมเลยว่าจะโทรไปด่าแก….”

“แล้วไง…..” คุณธวัชไม่รู้ว่าลุงจะเอายังไงต่อ

“แล้วถ้าผมไม่ได้แบงค์ชาติ……ผมหลุดให้ยิบอินซอย……ผมก็ไม่เก่งจริงสมกับที่ผมเคยเป็นลูกน้องคุณธวัชนะซิครับ
……คุณธวัชครับ…..ผมจำเป็นต้องเอารายนี้ให้ได้…..เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่า……ผมเป็นลูกน้องตัวจริงของคุณธวัชครับ
…………………………………………………………..หากผมได้ทำอะไรที่ทำให้คุณธวัชกระเทือนใจ ผมกราบขออภัยครับ”……..แล้วลุงแอ็ดก็ก้มลงกราบคุณธวัชที่โต๊ะทำงาน

ลุงแอ็ดเงยหน้าขึ้น…เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของคุณธวัช

“คุณมันฉลาดพูด…….มันเป็นเรื่องธรรมดา….ค้าขายก็ต้องแบ่งกัน คุณได้มั่ง เราได้บ้าง แต่ครั้งต่อไป เราจะไม่ยอมคุณแล้ว….คุณต้องเจอคู่แข่งที่สำคัญ…..คือเรา ยิบอินซอย”

แล้วเรา หมายถึงคุณธวัช กับลุงแอ็ด ก็หัวเราะกันเอิ๊กอ๊าก
อย่างมีความสุข พลางถามถึงเรื่องสารทุกข์สุกดิบกันตามประสาจนได้เวลาอันสมควร ลุงจึงถอยออกมา

…….แค่คุณธวัชเข้าใจลุงอย่างนี้…..ลุงก็ตายนอนตาหลับแล้วครับ……แต่คุณธวัชก็กลับมาจากลุงไปเสียก่อนตามอายุไข

สุดท้ายนี้ ลุงขอฝากของฝากสำหรับผู้จัดการฝ่ายขาย ที่ลุงเคยเอาไปบรรยายบ่อยมาให้ทุกคนรับทราบครับ

ผู้จัดการ…….เป็นผู้สร้างโลกของพนักงานขาย

ผู้จัดการทุกคน……..สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานให้แก่พนักงานตลอดเวลา ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว……ทั้งยินดีและน่าเศร้า…….ทั้งทางบวกและทางลบ…….ทั้งทางที่จะทำให้พนักงานกระฉับกระเฉงหรือเฉื่อยชา

เจ้านายของคุณ…….จะมีอิทธิพลต่อคุณโดยที่เขาไม่ได้บอกกล่าว หรือสอนอะไรคุณเลย……ในการแสดงออกของคุณ ไม่ว่าวันใดวันหนึ่ง ไม่ว่าดีหรือเลว…….คุณจะทำเหมือนเขา คุณได้ศึกษาจากเขาโดยไม่รู้ตัวว่าจะจัดการอย่างไร ในหน้าที่ของผู้จัดการ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง……….ถ้าบทบาท ลีลา ในการบริหารงานของคุณประสบความสำเร็จ คุณจะพบว่า ลีลาการบริหารของคุณ จะสะท้อนภาพของเจ้านายของคุณในอดีต

ลองนั่งนึกทบทวนดูวิครับว่า……..สิ่งที่ท่านทำอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าเป็นสิ่งที่ประสบผลสำเร็จหรือล้มเหลว…..มันเป็นผลสะท้อนจากการที่เจ้านายได้เคยปฏิบัติต่อท่านอย่างไร……

จากหนังสือ……..The New Sales Manager’s Survival Guide
By David A. Stumm








//lungadd.pantown.com/

“ลุงแอ็ด”
คลับนักขาย 001




 

Create Date : 09 ตุลาคม 2548    
Last Update : 9 ตุลาคม 2548 18:14:59 น.
Counter : 1850 Pageviews.  

“ผมนี่แหละ…มืออาชีพ…ตัวจริง” ตอน 29 ไอ้….ผีทะเล

คนที่ทำงานกับคุณธวัชมานานๆ จะไม่เคยได้ยินคำนี้ไม่มี เพราะเป็นคำเดียวที่คุณธวัชใช้เวลาต้องการ “ด่า” ใครสักคนที่ทำอะไรให้คุณธวัชไม่พอใจ หรือขัดใจคุณธวัชขึ้นมา

ตลอดเวลาที่ลุงทำงานใกล้ชิดอยู่กับคุณธวัชมานับสิบปี ลุงไม่เคยได้ยินคำว่า ไอ้ห่า….ไอ้เปรต….ไอ้ฉิบหาย….ไอ้ระยำ.
หรือคำด่าอื่นๆ ที่คนไทยพูดกันเลย

ลุงเคยถามคุณธวัชตอนเมาๆ ว่า ทำไมคุณธวัชถึงใช้คำนี้ ถ้าจะเป็นการเอ่ยถึงบุคคลที่สาม คุณธวัชจะใช้คำว่า “คนผีทะเล…..” ถ้าใช้บุคคลที่สอง ก็จะใช้ “ผีทะเล….” หรือถ้ารุนแรงหน่อยก็จะมีคำว่า “ไอ้…..ผีทะเล” ติดอยู่ด้วย

คุณธวัชตอบว่า ไม่รู้ซิ…..ผมรู้อยู่คำเดียวที่เป็นภาษาไทย รู้ว่า “ผี” นี่มันน่าเกลียด….และ “ต้องอยู่ในทะเล”….จึงจะน่าเกลียดมากขึ้นอีก

ลุงก็แซวแกเล่นๆว่า “ผีเมืองไทย ต้องอยู่ในป่าช้า” จึงจะน่ากลัว แกบอกว่า “ป่าช้าที่เมืองฝรั่งไม่เห็นน่ากลัวเลย คนเขาไปเดินเที่ยวกัน เอาดอกไม่สวยๆ งามๆ ไปเคารพศพกัน……
ทำไมป่าช้าของเราน่ากลัวหรือ”

ลุงถามว่าทำไมไม่ใช้คำว่า “ไอ้ฉิบหาย…” แกบอกว่า “มันแปลว่าอะไร…ไม่เคยได้ยิน…..” คำว่า “ไอ้…เปรต” แกก็ไม่รู้อีกว่าแปลว่าอะไร “เปรต” ตัวมันเป็นอย่างไร ไหนวาดรูปให้ดูทีซิ…….

ตกลงเวลาแกด่าพวกเราที่ไรว่า “ไอ้…ผีทะเล…สั่งให้ทำอย่าง คุณไปทำอีกอย่างหนึ่ง” …… พวกเราแทนที่จะทำหน้าเคร่งเครียดเมื่อโดนนายด่า กลับหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ที่แกเอาคำแปลกๆ มาด่าว่าพวกเรา

แกก็พลอยทำหน้าแปลกๆไปด้วยเมื่อเห็นพวกเรา แทนที่จะรู้สึกผิด กลับทำหน้าหัวเราะๆ คิกคิก….แกก็ไม่รู้ว่าลูกน้องของแกนี่มันทะเล้นสิ้นดี หรือไม่รู้สึกสำนึกอะไรกันบ้างเลย

คุณธวัชเป็นคนทำงาน และทำจริงๆ ตอนมาทำงานใหม่ๆ แกจะพกแซนวิสมาด้วย ไม่ทราบว่าพี่เอื้อยเป็นคนจัดให้ หรือคนรับใช้ที่บ้านทำให้ ถึงตอนเที่ยงแล้ว แกก็ยังง่วนอยู่กับตัวเลข…คิดโน่นคิดนี่….เยอะแยะไปหมด

พวกเราเคยไปชวนแกออกไปทานข้าวข้างนอกเหมือนกัน แกบอกเสียเวลา พวกคุณคุยอะไรกันก็ไม่รู้ กินไปคุยไป เป็นชั่วโมงกว่าจะเสร็จ ผมกินแซนวิสห้านาทีก็เสร็จแล้ว กินกาแฟถ้วยหนึ่ง ก็ได้ทำงานใหม่แล้ว……..ตอนเข้าไปทำงานตอนแรกใหม่ๆ ก็เลยไม่ได้ไปกินข้าวกับคุณธวัชสักที

ต่อมาแกชักเบื่อแซนวิส ก็จะให้แม่บ้านที่ออฟฟิตออกไปซื้อบะหมี่น้ำ……กินแต่บะหมี่น้ำอยู่ได้สองสามเดือนโดยไม่เปลี่ยนเมนูเลย……พอเบื่อบะหมี่น้ำ……ก็เป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำ…….กินอยู่สองสามเดือน……ลุงว่าแกคงกินไปงั้นเอง คงไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับรสบะหมี่น้ำหมูแดงหรือก๋วยเตี๋ยวน้ำอะไรหรอก เพราะแต่มัวสนใจแต่ตัวเลขบนกองกระดาษซึ่งอยู่ตรงหน้าพะเนินเทินทึก

คุณธวัชเปลี่ยนเลขาบ่อยมาก เพราะใครๆ ก็ทำงานไม่ถูกใจ ไม่ถูกสเปคของแก เลขาของแกต้องคล่องแคล่ว พูดและเขียนชวเลขเป็นภาษาฝรั่งเก่ง เพราะแกต้องสั่งงานเป็นฝรั่งอยู่แล้ว ดังนั้น เลขาคุณธวัชทุกคน จึงจบการศึกษามาจากนอกทุกคน

แกเป็นแรกในออฟฟิตที่เอาเครื่องดิกเทเตอร์ แมชชีน หรือเครื่องบันทึกคำพูดสำหรับผู้จัดการโดยเฉพาะ…..และเห็นแกนั่งพูดกับเจ้าเครื่องนี้ทั้งวัน

พูดเสร็จก็ให้เลขาเอาไปใส่หูฟัง……แล้วพิมพ์เป็นเอกสารออกมาให้แกตรวจอีกที…..พอแกใช้จนคล่อง แล้วจึงค่อยสั่งมาจากเมืองนอก ให้พวกเราออกไปขายเป็นสินค้าตัวใหม่

ดังนั้น ยิบอินซอย จึงบริษัทแรกที่สั่งเครื่องใช้สำนักงานแปลกใหม่ๆ มาขายเช่น เครื่องดิกเทเตอร์ แมชชีน. แม้กระทั้งเครื่อง FAX ซึ่งสมัยโบราณเรียกว่า เครื่องแฟกสิมิลี่ แมชชีน หรือเครื่องแฟกซิไมล์ บริษัทก็นำเข้ามาเป็นบริษัทแรก…..และคุณธวัช ก็เปิดตำรา เปิด Manual อ่านเป็นคนแรก….หัดใช้จนคล่อง เรียกพวกเราไปอบรม แล้วก็ให้พวกเราออกไปขาย

เวลาเลขาแกเข้ามาใหม่ทีหนึ่ง พวกเราก็แอบมอง…..เพราะเธอเป็นนักเรียนนอก แต่งตัวเสียหยดย้อย นุ่งกระโปรงสั้นๆ พูดภาษาอังกฤษเป็นไฟ……พวกเราก็ได้หัดภาษาอังกฤษกับพวกพี่เลขาของคุณธวัชนี่แหละ………แต่ก็อยู่ได้ไม่นานสักคน สองสามเดือนก็ออก

บางคนเห็นนั่งพิมพ์ดีดไป ร้องไห้ไป พวกเราแอบเข้าไปถามว่าเป็นอะไร บอกว่า “โดนคุณธวัชด่า…..” พวกเราหัวเราะกันคิก…..บอกอะไร โดนด่าแค่ “ผีทะเล” ก็ร้องไห้เลยรึ……พี่เลขาก็บอกไม่ใช่ แกด่าเป็นภาษาอังกฤษ…..ด่าไฟแลบเลย…..ซึ่งพี่เขาพูดให้เราฟัง พวกเราก็ฟังไม่รู้เรื่องเลย
ว่าแกด่าว่าอย่างไร

พวกเราชอบไปคุยกับ “พี่เรย์” เลขาคนงามของคุณธวัช คุยเก่ง น่ารัก น่าเอ็นดู (ของบรรดาเฮียๆ ทั้งหลาย)…………….
คุยไปคุยมา อ้าว……เห็นหายไปเสียอีกแล้ว……ไม่ทราบว่าไปขัดใจคุณธวัชเข้าตรงไหน……

แต่เล่าว่ามาไกลบอกว่า พี่เอื้อยเป็นคนพิจารณาเลขาให้คุณธวัชเอง…..คนไหนไม่ผ่านโปร.…..ก็ต้องออกเป็นธรรมดา เหมือนเซลส์แมนเหมือนกัน…..ไม่ทราบจริงหรือเปล่านะ..
พี่เอื้อย (เขาเล่ากันว่าอย่างนี้……….)

ทำงานกับนายที่พูดภาษาไทยไม่เก่ง มันก็ได้เปรียบตรงนี้หละ บางทีเรานินทาแกต่อหน้า แกก็ไม่รู้เรื่อง ถามว่ามีอะไรกันเหรอ…..จนสุดท้าย แกมาได้ “พี่สมัย” เป็นเลขา ซึ่ง…ขอโทษ….อาวุโสมาก เพราะเคยเป็นเลขาของนายยิบ (คุณพ่อของคุณธวัช) มาก่อน แกก็เลยเกรงใจ ไม่ค่อยดุว่าเท่าไหร่ พี่สมัยก็เลยทำงานกับคุณธวัชจนปลดเกษียร

คุณธวัชเป็นคนทำงานดุ……สำหรับคนอื่น แต่กับลุง ไม่เห็นแกดุตรงไหน

อาจจะเป็นเพราะลุงเคยออกฤทธิ์กับแก ตอนสมัยเป็นเซลส์ใหม่ๆ หรือตอนไปคุมงานแสดงสินค้าก็เป็นได้…..แต่กับแผนกอื่น หรือหัวหน้าแผนกอื่น แกจะโมโหโกรธาทุกครั้ง
ที่สั่งให้ไปทำตัวเลขอะไรมา แล้วพอเอาให้แกดู แกต้องไล่กลับให้ไปทำใหม่มาทุกครั้ง พลางบ่นอุบว่า

“ไม่มีความคิดเสียเลย สั่งแค่ไหนก็ทำแค่นั้น”

ลุงทำงานกับคุณธวัชจนรู้ใจ รู้ว่าแกต้องการอะไร ถึงแกไม่ได้สั่ง เราก็เตรียมพร้อมที่จะให้แกถามได้ตลอดเวลา เช่น ถ้าเข้าไปเสนอจะทำ Project คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่สักราย แกก็ต้องซักแล้วซักอีก ซักอยู่นั่นแหละว่า งบประมาณมีเท่าไหร่ ออกมาแล้วยัง เขาตั้ง budget แล้วยัง สภาผู้แทนราษฎรผ่านแล้วยัง สภาสูงอนุมัติเมื่อไหร่ ทางราชการเขาของวดเงินแล้วยัง นี่คุณจะเสนอรุ่นอะไร ทำไมจึงเสนอรุ่นนี้ ทางเมืองนอกว่าอย่างไร เขาจะ Support อย่างไร จะส่งช่างมาดูแลให้กี่คน ต้องใช้ Software อะไรที่เราทำเองไม่ได้มีไหม แล้วจะไปหาคนที่ไหน ต้องการงบเท่าไหร่ เอาไปทำอะไรบ้าง ฯลฯ


โดนเข้าอย่างนี้ ผู้จัดการทุกรายที่เข้าไปเสนองานให้แกอนุมัติ โดนคำถามของคุณธวัช แค่ไม่เกิน 30 นาที ก็ต้องโดนด่าลั่น บางทีได้ยินมาถึงนอกห้องว่า

“ไอ้ผีทะเล…..ทำงานแค่นี้ ก็ไม่รอบคอบ ทำไมคุณต้องให้ผมถาม พอผมถามอะไร คุณก็ตอบไม่ได้…..กลับไปทำมาใหม่ให้รอบคอบกว่านี้ไป…” แล้วแกก็ไล่ผู้จัดการคนนั้น หอบแฟ้มพะรุงพะรังกระหืดกระหอบออกมาออกมา

ลุงเคยคุยกับเพื่อนผู้จัดการที่สนิทกันบางคน เขาก็บ่นให้ฟังว่า “ทำงานกับคุณธวัชนี่ยากฉิบหาย….แกถามอะไรพิลึกพิลั่น ถามละเอียดจนเรานึกไม่ถึง……บางทีแกถามไม่บันยะ
บันยัง….ไม่ให้เวลาเราเตรียมตัวเลย…”

แต่การที่ลุงทำงานกับคุณธวัชมานาน ลุงรู้ว่า เดี๋ยวพอแกถามเรื่องนี้ ถ้าเราตอบเสร็จ แกจะต้องถามเรื่องอะไรต่อ พอเราตอบเสร็จ แกต้องซักเรื่องโน้นต่อ พอตอบเสร็จ แกก็ซักเรื่องนี้ต่อ ไม่มีวันสิ้นสุด ซักกันจนกว่าแกจะแน่ใจ พอใจ ไว้วางใจ แล้วจึงอนุมัติให้เราไปทำ Project ได้

ดังนั้น กว่าจะเข้าประชุมกับคุณธวัชได้แต่ละครั้ง ลุงต้องทำการบ้านมากมาย ต้องหาข้อมูล ต้องเก็บตัวเลข ต้องเดาคำถามไปล่วงหน้า และตอบคำถามของแกให้ได้ จนแกไม่รู้จะถามอะไรแล้วนั่นแหละ ลุงจึงขอประชุม…..แล้วก็สำเร็จออกมาทุกที……แต่ใช้เวลานานมาก

ดังนั้น ถ้าลุงยังไม่พร้อม หรือยังไม่มีรายละเอียด ลุงไม่ยอมพูดถึงเป็นอันขาด ถึงแม้คุณธวัชจะถาม เช่นแกจะถามเล่นๆว่า “ปีหน้าเป็นไงหรือคุณอมร คุณคิดว่าแผนกของคุณทำตัวเลขได้เท่าไหร่”

อย่าไปตอบแกเทียวละคำถามประเภทอย่างนี้ ถ้าเราเผลอตอบแกไปว่า “คงจะได้สักห้าหกร้อยล้าน ไม่แพ้ปีนี้แน่นอนครับ” เพื่อเอาใจแก หรือเพื่อขี้โม้ให้แกดีใจเล่นก็ตาม

วันรุ่งขึ้น แกจะเรียกเราไปซักทันทีว่าทำไมคุณจึงพูดเช่นนั้น…มีเหตุผลอะไร….เดี่ยวนี้มียอดแบ๊คออเดอร์อยู่เท่าไหร่ ปีหน้ามี Prospect เท่าไหร่…….และถ้าเราตอบว่า

“แหะ แหะ เห็นคุณธวัชถามเหมือนกับถามเล่นๆ ผมก็ตอบไปเล่นๆ ไปงั้นเองครับ ยังไม่มีตัวเลขอะไรในมือสักอย่างเดียวครับ…….”

คุณก็จะโดนไล่ออกมาพร้อมด้วยคำอมตะของแก “ไอ้….ผีทะเล”

การที่ลุงต้องเตรียมข้อมูล เพื่อดักทางที่คุณธวัชจะถาม เพื่อไม่ให้เราต้องโดนด่าเหมือนคนอื่นเขา ทำให้ลุงต้องมีความละเอียดรอบคอบ ต้องซักลูกน้องอย่างละเอียด งบประมาณได้แล้วยัง ผ่านสภาผู้แทนแล้วยัง ฯลฯ

ถ้าลูกน้องตอบไม่ได้ เราก็ต้องวิ่งออกไปหาเอง เพราะเวลาโดนด่า เราเป็นคนโดน เราไม่สามารถไปโทษลูกน้องได้ว่า

“ผมสั่งให้เขาไปหาแล้ครับ แต่เขาหาไม่ได้” คุณธวัชจะไม่ยอมเป็นอันขาดกับข้อแก้ตัวเหล่านี้

นี่แหละ…..เป็นสิ่งที่ทำให้เราทำงานเป็น ทำงานได้รอบคอบ

คุณธวัชเคยบอกลุงว่า

“คุณอมร การทำ Project ใหญ่ๆ หรืองานที่ต้องวาง Strategy ในการสู้กับคู่แข่งนั้น เรื่องข้อมูลนั้นสำคัญมาก ต้องเป็นข้อมูลเชิงลึก ที่ใครๆ เขานึกไม่ถึง……..ดังนั้น…คุณจะต้องตอบให้ผมได้ ถ้าผมถามเรื่องอะไรในเรื่องที่ลึกๆ…..มิฉะนั้น เราอาจพลาดได้……และอย่าโกหก…..ถ้าคุณตอบได้….ก็ต้องตอบผมต่อว่าทำไม……และถ้าไม่รู้ ก็ต้องบอกว่าไม่รู้….ผมจะได้ให้เวลาคุณไปหาข้อมูลมาเพิ่ม…..อย่าใช้คำว่า ผมคาดว่า…..ผมคิดว่า…..ผมจะไม่ฟังข้อมูลที่คุณคิดเอาเอง…..ผมต้องการข้อมูลที่เป็นจริง….เข้าใจไหม”

“ครับผม………ขอบคุณครับคุณธวัช ที่แนะนำผม”

พรุ่งนี้ขออีกสักวัน ในเรื่องของคุณธวัช เพราะลุงได้เรียนรู้อะไรจากแกเยอะเหลือเกิน จึงอยากจะเอามาเล่าให้หลานๆ ในห้องนี้ฟังบ้าง




“คลับนักขาย 001”
//lungadd.pantown.com/




 

Create Date : 02 ตุลาคม 2548    
Last Update : 2 ตุลาคม 2548 9:17:57 น.
Counter : 546 Pageviews.  

“ผมนี่แหละ…มืออาชีพ…ตัวจริง” ตอนที่ 28 …คำขอโทษ…

เนื่องจากงานแสดงสินค้านี้ เป็นงานแสดงสินค้านานาชาติแห่งเอเซีย ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 1 ณ ตำบลหัวหมาก กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน จนถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2509 เป็นงานใหญ่ระดับประเทศในสมัยนั้น ผู้คนจึงตื่นตาตื่นใจกันรอคอยชมกันอย่างล้นหลาม

ตำบลหัวหมากในสมัยนั้น ยังเป็นดินแเดนที่ห่างไกลจากกรุงเทพมากมาย ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ยังเพิ่งตัดเสร็จใหม่
รถเมล์ยังวิ่งไม่กี่คัน ทางไปงานแสดงสินค้าก็มืดตึ๊ดตื๋อ และการแสดงสินค้าก็มีงานกันทั้งวันตั้งแต่วันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่ 10.00 น จนถึง 18.00 น. ยิ่งวันเสาร์-อาทิตย์ ก็เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 10.00 – 24.00 น.

ดังนั้น ลุงเลยต้องแบ่งเด็กนักเรียนที่เข้ามาช่วยงานออกเป็น 2 รอบ คือรอบ เช้า และรอบบ่าย โดยเอาเด็กที่เรียนรอบเช้า มาเฝ้างานรอบบ่าย และเด็กที่เรียนรอบบ่ายมาเฝ้างานรอบเช้า
โดยมีรถรับส่งเป็นรถเมล์สีเขียวๆ วิ่งรับส่งเด็กระหว่างบริษัทกับงานไป-กลับเป็นสี่รอบต่อวัน ซึ่งลุงจะต้องคอยควบคุม
รับส่งเด็กโดยไม่ให้เสียชื่อบริษัทเป็นอันขาด

ช่วงแรก งานก็ดำเนินไปด้วยดี มีผู้คนเข้าชมล้นหลาม โดยเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ แต่อาจจะเป็นเพราะคนในกรุงเทพฯสมันนั้น ไม่มากเหมือนในสมัยนี้ ประกอบกับที่ตั้งแสดงของงานอยู่ไกลเกินไป พองานเดินไปได้จนถึงปลายเดือน
พฤศจิกายน คนก็เริ่มซาลง พอขึ้นต้นเดือนธันวาคม คนก็ชักหรอมแหรม คนมาเที่ยวงานน้อยมาก บางทีเด็กยืนหง่าวทั้งวัน ไม่มีคนมาเยี่ยมชมสักคน เพราะผู้คนต่างก็เตรียมไปเที่ยวงานใหม่ คืองานฉลองรัฐธรรมนูญซึ่งจัดขึ้นทุกปี

พวกผู้ใหญ่ที่ไปประจำบูทของบริษัท ยิบอินซอย ก็ประชุมกัน แต่อาจจะเป็นเพราะลุงมันเด็กตัวเล็กเกินไป แค่เซลส์แมนธรรมดา เขาเลยไม่ปรึกษาหารือด้วย ในที่สุด พอถึงวันที่ 1 ธันวาคม เขาก็ตัดเด็กออกเสียครึ่งหนึ่งโดยเราไม่รู้ตัว

ลุงจำได้ว่า พอวันที่ 1 ธันวาคม ลุงก็มาเช็คเด็กที่มาทำงาน ว่ามีใครขาดบ้าง ปรากฏว่าไม่มาเสียครึ่งหนึ่ง สอบถามได้ความว่า เมื่อวานเย็น ผู้ใหญ่ประจำแผนกแต่ละแผนกได้สั่งให้เด็กไม่ต้องมา และได้ปรึกษาคุณธวัชแล้ว และคุณธวัชก็อนุมัติแล้วด้วย

ลุงโมโหจนสุดขีด มันเป็นไปได้อย่างไรว๊ะ……ก็ในเมื่อให้เรารับผิดชอบในเรื่องนี้แล้ว การจะตัดเด็กออก ให้ใครมา ไม่มา มันต้องเป็นหน้าที่ของข้าซิว้อย…..นี่มาทำเกินหน้าเกินตา เหมือนเราเป็นหัวหลักหัวตอ ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรเลย

ลุงยิ่งไปสืบรู้ว่า “เฮียฤทธิ์” ลูกพี่ของลุงเอง…เป็นคนตัวตั้งตัวนี้ เอาเรื่องนี้เข้าหารือกับคุณธวัช โดยไม่ปรึกษาหารือลุงสักคำ……ลุงก็เกิดความน้อยใจเป็นธรรมดา

วันนั้น หลังจากส่งเด็กไปเฝ้างานเรียบร้อยแล้ว ลุงก็ขอเข้าพบคุณธวัช……ด้วยใบหน้าที่ไม่สู้จะดีนัก

“เป็นไงอมร…..ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม” คุณธวัชถามยิ้มๆ

“ก็ไม่เรียบร้อยเท่าไหร่หรอกครับ……..” ลุงตอบด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มันสะเทือนมาจนถึงยอดอก

“งั้นมีอะไรหละ…..มีปัญหาอะไรหรือ” คุณธวัชถามอีก

“คุณธวัช เป็นคนอนุมัติให้ลดเด็กลงครึ่งหนึ่งใช่ ไหมครับ”

ลุงมองหน้าคุณธวัช….พลางกลั้นใจถามออกไป…………..

“ใช่ ก็ผู้จัดการแต่ละคนเขาเห็นด้วยกันนี่ ว่าตอนนี้ งานมันใกล้จะจบแล้ว คนมันไม่ค่อยมีแล้ว เขาก็มีเหตุผล….แล้วทำไมละ…หรือคุณไม่เห็นด้วย”

คุณธวัชพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“ผมจะเห็นด้วย หรือไม่ ไม่สำคัญครับ แต่ผมไม่รู้เรื่องนี้เลย …คุณธวัชจำได้ไหมครับ คุณธวัชเป็นคนสั่งให้ผมจัดการดูแลเรื่องเด็กที่มาเฝ้างาน…..ผมก็ทำเต็มที่…..แต่นี่พอจะลดเด็กออก….ก็ไม่เห็นมีใครปรึกษาผมสักคำ…..ผมเหมือนกับหัวหลักหัวตอ……คุณธวัชครับ…..ผมขอลาออก”

ลุงพูดเสียยืดยาว ด้วยความกลั้นใจ กลัวมันจะร้องไห้ออกมา แต่ คนเรามันต้องมีศักดิ์ศรี……ทำอะไร แล้วคนมาข้ามหัว เหมือนคนไม่มีหัวหลักหัวตอ ลุงไม่ชอบ มันทนไม่ได้จริงๆ

คุณธวัช นั่งฟังลุงระบายเสียยืดยาว ด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ

“เดี๋ยวๆ คุณอมร…..อะไรเรื่องแค่นี้พาลจะลาออก คุณก็ทำงานให้บริษัทมาตั้งนาน งานก็ดี จะลาออกทำไม ค่อยๆ พูดกันน่า” คุณธวัช ตกใจ นึกว่าลุงจะลาออกจากบริษัทจริงๆ

“ผมไม่ได้ลาออกจากงาน….แต่ผมจะลาออกจากความรับผิดชอบเรื่องเด็ก……คุณธวัชมอบหมายให้ใครมาดูแลใหม่ก็แล้วกัน…..ผมไม่รับผิดชอบแล้ว”

ลุงพูดพลางลุกขึ้นยืน แล้วเดินถอยออกมา ด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ

“เฮ้ย..เดี๋ยวก่อน…..คุยกันก่อน นั่งลงก่อนคุณอมร”

“แสดงว่า เรื่องให้เด็กออกนี่คุณไม่ทราบเรื่องมาก่อนเลยหรือ…? คุณธวัชถามด้วยความสงสัย

“ก็ไม่ทราบนะซีครับ ผมเพิ่งมาทราบเอาเมื่อเช้าวันนี้เองตอนเช็คเด็ก เห็นเด็กขาดไปครึ่งหนึ่ง ผมก็เลยสงสัย…….
ไปถามคุณฤทธิ์ เขาบอกคุณธวัชมีคำสั่งให้ปลดเด็กเอง…..

คุณธวัชครับ….คุณธวัชเป็นนายผม….คุณธวัชจะทำอะไรก็ได้….คุณธวัชไม่ผิด…..คุณธวัชจะปรึกษาใครก็ได้ ไม่ปรึกษาใครก็ได้……คุณธวัชทำได้ทุกอย่าง เพราะนี่เป็นบริษัทของพ่อคุณธวัช…….แต่ คุณธวัชครับ ผมรู้สึกตนเองมันไม่มีค่า ทำงานไป เหนื่อยเกือบตาย ยอดขายก็ตก ยอดคอมก็ไม่มี เพราะมัวไปยุ่งเรื่องานแสดงสินค้า เพื่อช่วยเหลือบริษัทตามคำสั่งของคุณธวัช……แต่ในเมื่อคุณธวัชทำอย่างนี้….ผมก็มีเหตุผลที่จะขอลาออกจากการรับผิดชอบเรื่องนี้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปใช่ไหมครับ………………”

ลุงไม่ทราบว่า จริงๆ ลุงได้พูดไปยาวถึงขนาดนี้หรือเปล่า

แต่ความน้อยใจมันประดังเข้ามาอย่างเต็มที่ ขณะนั้นลุงเพิ่งเป็นพนักงานขายใหม่ๆ เพิ่งทำงานได้เพียง 2 ปี อายุเพิ่งจะ 21 ปี……ไม่รู้มันมีอะไรทำให้ลุงพูดไปได้ยาวถึงขนาดนั้น

คุณธวัช…..นั่งฟัง “เงียบ” ….แกไม่เอ่ยปากพูดอะไรสักคำในขณะที่ลุงกำลังระบายอย่างเต็มที่

จนลุงพูดจบ……เสียงคุณธวัชก็เอยขึ้นอย่างปราณี…………

“ผมขอโทษ….คุณอมร…..คุณพูดถูก…..ผมแต่งตั้งให้คุณดูแลเรื่องนี้…..แต่ผมไม่ได้เรียกคุณมาถามสักคำ…..ผมขอโทษ
ผมผิดเอง…..นะคุณอมรนะ”

…….เสียงของคุณธวัช……แผ่วเบา เหมือนจะรู้ตัวว่า มันเป็นความผิดของแกจริงๆ และแกได้ขอโทษเราจริงๆ ไม่ได้พูดออกมาเล่นๆ แกพูดออกมาด้วยความเสียใจจริงๆ ที่ทำให้เราต้องเสียใจ……………………………………………………

ลุงนึกไม่ถึง…..นึกไม่ถึงว่า จะมีเจ้านายอย่างนี้ในโลก……...

คนที่ยอมรับผิดต่อหน้าลูกน้อง……ทั้งที่จริงๆ แล้วก็หาใช่ความผิดโดยตรงของแกไม่ แกคงเข้าใจว่าผู้จัดการแผนกต่างๆ ได้ปรึกษาหารือกับลุงแล้ว และเป็นที่ยอมรับกันแล้ว

“ผมจะออก Memo ใหม่ ยกเลิกคำสั่งที่ให้ถอนเด็กออก….ให้กลับไปเหมือนเก่า……แล้วคุณไปปรึกษาหารือกันใหม่…ดีไหม?” คุณธวัชเอ่ยออกมา

“ไม่ต้องครับ… แค่นี้ผมก็เข้าใจแล้ว…..ขอบคุณครับ คุณธวัชที่เห็นผมยังมีหัวอยู่ ยังไม่เห็นผมเป็นหัวหลักหัวตอเหมือนคนอื่น….” ลุงจะยอมให้คุณธวัชทำอย่างนั้นได้อย่างไร….แค่ลุงไปพูดกับแกแค่นี้ ถ้าเป็นคนอื่น หัวคงขาดไปแล้ว แต่มันพูดไปแล้ว ก็ต้องพูดให้จบ……ลุงเป็นคนอย่างงั้นจริงๆ

และในที่สุด ลุงก็ยอมรับ การตัดสินของคุณธวัช และคุณธวัชได้กรุณาออก Memo ฉบับหนึ่งถึงผู้จัดการทุกแผนกในบริษัทฯ…..โดยมีข้อความที่ว่า

“…..ตามที่ได้ปรึกษากับคุณอมร ผู้ซึ่งมีอำนาจดูแลนักเรียนที่มาเป็น Helper ทั้งหลายแล้วมีความเห็นพ้องกันว่า………”

ลุงลุกมาจากโต๊ะคุณธวัช…ด้วยความรู้สึกที่พูดไม่ถูก….มันภูมิใจที่เขายังเห็นหัวเราอยู่…..มันเสียใจที่เอาเรื่องเล็กน้อยไปเป็นภาระกับนาย…..มันดีใจที่นายเขาให้เกียรติเรา…..มัน….ทุกอย่างผสมปนเปกันไปหมด

แต่ลุงรู้อยู่อย่างเดียวนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา…..ว่าการที่จะเป็นผู้บริหาร ปกครองคนได้นั้น นอกจากจะต้องเฉียบขาดมีบารมีแล้ว จะต้องรู้จัก “ขอโทษคน” เป็นอีกด้วย

ลุงเรียนเรื่องเหล่านี้มากับคุณธวัช ยิบอินซอย ผู้ที่เปรียบเสมือนเป็นทั้งพ่อ เสมือนเป็นทั้งพี่ เสมือนเป็นทั้งเจ้านาย ที่คอยสั่งสอนลุงทุกอย่าง

ไม่เหมือนใครบางคน ที่ไม่รู้ว่ามีใครเป็นครู เรียนจบจนถึงดอกเตอร์ แต่คงไม่มีโอกาสได้เรียนเรื่องอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก เอาแต่ใจตนเอง สร้างความร่ำรวยขึ้นมาด้วยการเหยียบบ่า เหยียบไหล่คนอื่นเขาขึ้นมา ไต้เต้าขึ้นมาจนเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศสารขันฑ์

ต้องให้เด็กๆ ออกมาสั่งสอนว่า “ถ้านายกรัฐมนตรีพูดว่า “ขอโทษ” เสียคำเดียว เรื่องปักษ์ใต้ก็จะยุติ”



“คลับนักขาย”
//lungadd.pantown.com/




 

Create Date : 26 กันยายน 2548    
Last Update : 26 กันยายน 2548 18:36:19 น.
Counter : 499 Pageviews.  

ผมนี่แหละ…มืออาชีพ….ตัวจริง ตอนที่ 27 คุณธวัช ยินอินซอย

คุณธวัช ยินอินซอย อายุมากกว่าลุง 13 ปี ท่านเกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2575 ที่กรุงเทพ คุณธวัชไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่ยังเล็กๆ ตั้งแต่ปีนัง จนไปจบปริญญาตรีทางด้านไฟฟ้าที่ Faraday House Engineering College ในลอนดอน แล้วก็ย้ายไปทำปริญญาโทต่อ สาขาการบริหารที่มหาวิทยาลัยคอร์แนล เมืองอิตาก้า รัฐนิวยอร์ค

คุณธวัชกลับมาเริ่มงานที่ยิบอินซอย โดยมาเป็นผู้จัดการแผนกเครื่องใช้สำนักงาน “เบอร์โร่ส์” หรือที่เราเรียกกันว่า “แผนกบี” ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2506

ก่อนที่ลุงจะเข้ายิบอินซอย โดยการสัมภาษณ์ของเฮีย “ฤทธิ์”
และการอนุมัติของคุณธวัช เมื่อพ.ศ. 2507 ดังที่ลุงได้เล่าไว้แล้วในหนังสือเล่มแรก คือ “อวสานเซลส์แมน”

และลุงได้ทำงานใกล้ชิดกับคุณธวัชเพิ่มขึ้นเรื่อยมา จนเป็นลูกน้องที่ใกล้ชิดและสนิทที่สุดของคุณธวัชในเวลาต่อมา

คุณธวัชเคยพูดให้ใครต่อใครฟังว่า ลุงเป็น My first best recruit. ของแก และลุงก็นับถือว่าคุณธวัช เป็นเจ้านายคนแรก และคนเดียว ที่ให้ทุกๆ อย่างกับลุง ไม่ว่า ความรู้ คำสั่งสอน ความก้าวหน้าในชีวิตการทำงาน ชีวิตครอบครัวที่เป็นสุข…….และลุงเป็น “คน” ขึ้นมาได้ ก็เพราะ “คุณธวัช” คนนี้แหละ

คุณธวัช เป็นคนทำงาน….ใช่…ใครก็เป็นคนทำงาน แต่ลุงไม่เห็นใครเหมือนคุณธวัช

คุณธวัชจะใส่สูทมาทำงานทุกวัน มาทำงานตั้งแต่เช้า มาถึงก็นั่งก้มหน้าง่วนอยู่กับกระดาษ ตัวเลขต่างๆ เพราะท่านเป็นนักไฟฟ้า เรียนมาทางวิศวะ ทางคงถนัดในการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ในสมัยก่อนไม่มีเครื่องคำนวณเลข ไม่มีคอมพิวเตอร์ มีแต่สไล้ท์รูล เป็นไม้บรรทัด สีขาวๆ ซ้อนกันอยู่สองอัน ลุงแอบมองท่านบ่อยๆ ไม่รู้ว่าแกทำอะไรของแก

ตอนเข้าไปทำงานแรกๆ ท่านในฐานะของลูกนายห้าง และผู้จัดการแผนก ทำให้ลุงไม่กล้าสนิทด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แกไม่พูดภาษาไทย และลุงก็ภาษาอังกฤษยังไม่ได้กระดิกสักตัว ก็เลยแอบอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ พอเห็นคุณธวัชเดินมาทักทายสต๊าฟ ลุงก็หลบแว๊บด้วยความเกรงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

ต่อมา พอลุงทำงานนานขึ้น ก็เริ่มมีกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับแผนกมากขึ้น เช่น การเอาเครื่องไปแสดงในงานสินค้าที่โรงเรียนพณิชยการพระนคร ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าของลุง ซึ่งลุงต้องขออนุมัติเอาเครื่องไปแสดงหลายๆ เครื่อง เป็นเวลาหลายๆ วัน คุณฤทธิ์เขาก็ให้ลุงเข้าไปชี้แจงกับคุณธวัชเอง

ลุงจำได้ว่า แกก็พยายามพูดภาษาไทย ส่วนเราก็พยายามกระแดะภาษาอังกฤษ เพื่อให้เป็นที่เข้าใจกันทั้งสองคน ก็เลยมีสนิทสนมใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น

ต่อมามีงานแสดงสินต้าที่เรียกว่า “The First American International Products Show” ซึ่งจัดที่ศูนย์แสดงสินค้าของอเมริกา ซึ่งน้องๆ คงสงสัยว่าอยู่ที่ไหน ก็อยู่ใกล้ ยิบอินซอยนั่นแหละ อยู่ตรงหัวมุมตึก ซึ่งตอนนี้เป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์กระจก และสินค้าพลาสติคต่างๆ

เป็นครั้งแรกที่เราเอาเครื่องบวกเลข เครื่องจักรลงบัญชีไปแสดง พนักงานขายทุกคนต้องใส่สูท คุณธวัชต้องลงมากำกับดูแลการติดตั้งเครื่อง การตกแต่งสถานที่เอง พวกเราก็ต้องเทสเครื่องกันเป็นเวลาติดต่อไม่ได้หลับได้นอกันหลายคืน มีการเชิญนักเรียนพาณิชย์ ธรรมศาสตร์ จุฬามาในงาน ต้องมีการบรรยายให้ผู้เข้าชมเหล่านี้ฟัง

ลุงก็อาสาเป็นผู้บรรยายคนหนึ่ง ต้องท่องบท เขียนบท ซ้อมพูดหน้ากระจกให้คล่องปาก ไม่ให้อายบูทอื่นเขาได้
ซึ่งตอนนั้นก็มีบริษัทที่ขายเครื่องใช้สำนักงานของอเมริกันเช่น NCR หรือ WANG ก็มาออกในงานนี้เหมือนกัน

ในตอนที่เราขนเครื่องไปทดลองให้ประชาชนผู้มาชมดูนั้น ก็ต้องอยู่กันดึกดื่น คุณธวัชกับพี่เอื้อย ภรรยาสาวสวยของคุณธวัช ที่พูดไพเพราะ นิสัยงาม แต่งตัวสวย สมเป็นกุลสัตรียิ่งในสายตาของพวกเรา ก็เอารถโฟล๊กเต่าทองสีเหลือง
(ซึ่งตอนแรกที่เขียนในอวสานเซลส์แมน คิดว่าเป็นของคุณธวัช แต่ที่จริงเป็นของพี่เอื้อย)

เปิดหน้ารถ เอาแซนวิท โค๊ก ลงมาแจกจ่ายให้พวกช่างและเซลส์ที่กำลังหน้าดำคร่ำเครียดกับเครื่องที่มีปัญหา บางทีทั้งสองท่านก็ขับรถกันมาดึกๆ ตั้งสี่ห้าทุ่ม สองยาม คอยเป็นห่วงพวกเราเสมอ

ตอนหนึ่ง มีงาน “The First International Trade Fair” ที่หัวหมาก ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้านานาชาติ ซึ่งจัดให้มีการแสดงสินค้าครั้งยิ่งใหญ่เป็นเวลาถึง 24 วัน ไปสิ้นสุดเอาวันที่ 10 ธันวาคม 2509

งานนี้จัดกันยิ่งใหญ่มาก (ในสมัยนั้น) และถึงแม้จะอยู่ไกลแสนไกลถึงหัวหมาก ผู้คนก็ยังไปชมกันล้นหลาม โดยสถานที่แสดงสินค้าทั้งหมดก็คือเวลโลโดมที่ใช้แข่งกีฬาในอันดับต่อมานั่นเอง

ยิบอินซอยก็ไปออกงานแสดงสินค้ากันอย่างเต็มที่ มีเครื่องจักรทุกชนิด ทั้งรถแทร๊กเตอร์ ทั้งเครื่องทำความเย็น เครื่องกำเนิดไฟฟ้า เครื่องทำบัญชี พวกเราก็ช่วยกันตกแต่งบูทที่จะไปออกเอง ยืนเฝ้าบูทเอง

แต่เนื่องจากงานมีหลายวัน จะให้พวกเซลส์ไปเฝ้าบูทกันหมด ก็จะไม่มีใครไปขายของ
ลุงเลยเสนอคุณธวัชว่า ควรให้ Helper เข้าไปช่วยอธิบายเครื่องจักรของแผนกต่างๆ ที่ไปออกงาน คุณธวัชก็เห็นดีด้วย ก็สั่งว่า

“เอ้า ถ้าอย่างงั้น ให้คุณอมรเป็นคนจัดการหานักเรียนมา อบรมและจัดการทั้งหมดในเรื่องนี้จนสิ้นงาน”

พอได้รับคำสั่งจากคุณธวัชดังนั้น ลุงซึ่งเป็นเซลส์แมนตัวเล็กๆ ธรรมดา แต่อาสาทำงานใหญ่ ก็ไปติดต่อที่โรงเรียนพาณิชยการราชวิถี ที่ลุงเกิดจับผลัดจับพลูให้ไปเป็นครูสอนเครื่องบวกเลขจำเป็นที่นั่น ก็เอานักเรียนหญิง นักเรียนชายมายี่สิบกว่าคน ทำหนังสือไปขออนุญาตผู้ปกครองของแต่ละคนเรียบร้อย เอามาที่บริษัท ก็จัดการให้ศึกษาเรื่องเครื่องยนต์กลไกต่าง ๆที่จะนำออกแสดงในงาน

ซึ่งเราไม่ค่อยคาดหวังเท่าไหร่ว่านักเรียนสามารถจะตอบคำถามต่างๆ แก่ผู้เข้าชมงานได้ แต่เนื่องจากเราต้องการให้เขาไปเฝ้าดูของ กันคนมาเล่นหรือขโมยหนึ่ง คอยยิ้มสวยๆ ให้กับลูกค้าสอง คอยยืนแจกแคตาล๊อคสาม และถ้าใครสนใจจริงๆ ก็ให้วิ่งตามเซลส์หรือผู้จัดการที่เข้าเวรยามในวันนั้นให้มาอธิบายคุณสมบัติของสินค้าแทน

ลุงจึงเลือกนักเรียนที่มีหน้าตาดี ยิ้มสวย น่ารักไปทุกคน และนั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้ลุงได้ร่วมงานกับ “ป้าอี๊ด” ที่เป็นภรรยาของลุง อยู่กินกันมาจนถึงบัดนี้เป็นเวลา 34 ปีแล้ว

และก็เป็นงานที่เกิดเรื่องที่ทำให้ลุงเห็นน้ำใจและสปิริตของคุณธวัชมาตั้งแต่บัดนั้น

ซึ่งมันทำให้ลุงยิ่งรักและเคารพคุณธวัชมากยิ่งขึ้น ซึ่งหาไม่ได้ในผู้ใหญ่รุ่นปัจจุบัน

ไว้คอยติดตามนะครับว่า จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในงานแสดงสินค้านั้น

//lungadd.pantown.com/








 

Create Date : 21 กันยายน 2548    
Last Update : 21 กันยายน 2548 14:01:54 น.
Counter : 949 Pageviews.  

“ผมนี่แหละ…มืออาชีพ…ตัวจริง” ตอนที่ 26 เพื่อนๆ ในเบอร์โร่ส์

อีกคนหนึ่งซึ่งต้องขออนุญาตเอ่ยนาม เพราะเป็นคนที่ทำชื่อเสียงให้ “เบอร์โร่ส์” มากมาย คือ คุณวิง แซ่เหวียน

คุณวิงเป็นคนไทยแท้ๆ เกิดในเมืองไทย จบวิศวจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ทำไมขอเปลี่ยนสัญชาติเป็นคนไทยไม่ได้สักทีก็ไม่ทราบ ต้องใช้สัญชาติเวียดนามตั้งแต่เกิด นี่ถ้ามีลูกมีเต้า ก็ไม่รู้จะได้สัญชาติไทยหรือเปล่า

แต่ขอรับรองได้ว่า คุณวิงเป็นคนไทย และรักเมืองไทยยิ่งกว่าคนที่ร่ำรวยล้นฟ้า แล้วชูมือขึ้นเหนือฟ้าตาดูดาว เท้าจมโคลนเสียอีก

คุณวิงเข้ายิบอินซอย ตั้งแต่เริ่มตั้งแผนกคอมพิวเตอร์ใหม่ๆ เป็นนักเทคนิคที่มีความรู้แข็ง (คือแม่น ละเอียด หาคนจับตัวยากมาก) คุณวิงทำทางด้านเทคนิคอยู่นาน ต่อมาก็ย้ายไปทำงานทางด้าน Sales

คุณวิงเป็นตัวอย่างของเซลส์ที่มีความรู้ทางด้านเทคนิค ที่สามารถปรับตนเองเข้าหาความรู้ด้านการตลาด และด้านเซลส์ได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ยังคงดำรงค์ความซื่อตรง ในฐานะนักเทคนิคไว้อย่างสม่ำเสมอ

เวลาลูกค้าสอบถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องเครื่องประการใด คุณวิงจะให้รายละเอียดได้อย่างแม่นยำ และถูกต้องเสมอ ไม่เคยหลอกลวงลูกค้า ไม่เคยบิดเบือนจากขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว ทำให้มีลูกค้าศรัทธาคุณวิงมากมาย กรมศุลกากรที่เบอร์โร่ส์ขายได้ ก็เพราะคุณวิง การไฟฟ้านครหลวงก็เพราะคุณวิง จนคุณวิงออกไปทำงานให้แก่ Unisys ก็ยังติดต่อกันเรื่อยมา

ดังนั้น ใครที่พูดว่า นักเทคนิคทำงานเซลส์ไม่ได้นั้น ลุงขอเถียงว่าไม่จริง หรือพอเป็นเซลส์ก็ต้องเปลี่ยนบุคคลิคเป็นลิงหลอกเจ้านั้นก็ไม่จริงเข้าไปใหญ่ ขอให้ดู “คุณวิง แซ่เหวียน” เป็นตัวอย่าง


Mr. Whiteley นามนี้ลุงเคยเอ่ยมาครั้งหนึ่งแล้ว เคยเล่าให้ฟังว่า เขาเป็นนายช่างชาวอังกฤษที่เข้ามาช่วยเราทางด้าน FE หรือ Field Engineer หรือถ้าเป็นศัพท์ของทาง IBM เขาก็เรียก CE หรือ Customer Engineer นั่นแหละ

มร.ไวท์เล่คนนี้ นอกจากทำงานเก่งแล้ว ยังเล่นฟุตบอลเก่งสมกับเป็นชาวอังกฤษ

ตามปรกติในการทำงานนั้น ไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่าบริษัทไหน ไม่ว่าจะขายสินค้าอะไร แผนกเซลส์ย่อมจะไม่ถูกกับแผนกช่าง แผนกช่างไม่ถูกกับแผนก Admin แผนก Admin ไม่กินเส้นกับแผนกเซลส์……

ในบริษัทฯ ยิบอินซอยก็ไม่ได้วิเศษไปกว่าบริษัทอื่น ก็ย่อมมีไม่กินเส้นกันบ้าง การที่เราจะเอาแต่พูด…..พูด….ให้ทุกคนเข้าใจกันนั้น มันเป็นเรื่องยาก เพราะหน้าที่ ความรับผิดชอบ มันแตกต่างกัน……มันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่ทุกคนจะต้องรักษาหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดก่อน

เซลส์ก็ต้องขายให้ได้มากที่สุด เพราะมันเป็นผลงานของแผนกขาย และเพราะแต่ละคนทีโควตาบีบคออยู่ ขายไม่ถึงโควตาอีกบ่อยๆ อีกไม่นาน เขาก็จะเชิญออก

แผนก Admin ก็ต้องรักษาผลประโยชน์ของบริษัท เซลส์จะไปลด ไปแจก ไปแถมมากก็ไม่ได้ มันจะขาดทุนเอง ก็มักจะมีเรื่องงัดข้อกันอยู่เรื่อง

ส่วนแผนกช่างนั้นเล่า ก็น้อยใจว่า เป็นลูกเมียน้อย เหมือนที่ต้องตามเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวที่เซลส์ของไปเที่ยวทำเลอะเทอะไปทั่ว

ลุงรู้ดีว่ามันจะต้องเกิดปัญหาที่ไม่ลงรอยอย่างนี้ตั้งแต่ตอนที่ลุงยังทำงานเป็นเซลส์อยู่ ตอนลุงขึ้นมาผู้จัดการแผนก จึงไม่ประหลาดใจเท่าไหร่ ก็ให้มันเกิดขึ้นได้บ้างตามธรรมชาติ แต่ต้องคอยระวังอย่าให้มันมากไป มันจะกระทบถึงเรื่องการงานภายในของบริษัท

ลุงจึงใช้นโยบายเอาการกีฬาเข้าไปช่วยทำให้เกิดความกลมเกลียวขึ้นทั้งในแผนก และในบริษัทฯ โดยจัดให้มีการแข่งขันฟุตบอลประเพณีขึ้นระหว่างแผนก โดยแผนกเบอร์โร่ส์เป็นตัวนำ คอยท้าแผนกอื่นเขาเรื่อยไป

เวลาลงสนามกันที แผนกเบอร์โร่ส์ก็ลงทั้งแผนก ยกเว้นผู้หญิงซึ่งคอยส่งผ้าเย็น ส่งน้ำ และไปเชียร์กันชนิดใครไม่ไปไม่ได้ คุณธวัช คุณเทียนชัย คุณอมร ทุกคนต้องเล่นหมด ลุงเข้าไปวิ่งได้สักหนึ่งนาทีก็หน้ามืดแล้ว

มีแต่นักฟุตบาลชาวอังกฤษของเราที่ต้องวิ่งรอบสนาม และเป็นตัวยืนทุกตำแหน่ง

ขนาดไปท้าแข่งกับแผนกเครื่องทำความเย็น (Air Condition)
ซึ่งเขามีคนเกือบร้อยคน ของเรามีประมาณ 30-40 คน ก็เอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย นี่คือ “ความสามัคคี” ที่มันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติในเมื่อเราเล่นกีฬาแล้วต้องไปต่อกรกับทีมอื่น
ทำให้ปัญหาที่จะมารบกันเองในแผนกหายไปเกือบหมด
เพราะเวลาเล่นกีฬา จิตใจของทุกคนจะมารวมอยู่ที่ธงพื้นขาว มีตัวอักษร B สีแดงอยู่ตรงกลาง

ทุกคนจะพยายามเล่น พยายามเชียร์ ให้ทีมของตนเองชนะ
จนลืมความบางหมางเล็กน้อยๆ เสียสิ้น ทำให้รุนแรงในการ
กระทบกระทั่งในเรื่องงานลดไปอย่างมาก

แต่นั่นแหละ….บางท่านก็เข้าใจ……บางท่านก็ไม่เข้าใจ….การลุงทำอย่างนี้ ……บางครั้งลุงก็โดนตำหนิจากผู้ใหญ่บางท่านว่า “เสียเวลาทำมาหากิน…..ต้องมาซ้อม…..ต้องมาเล่นกีฬาอย่างกับเด็กๆ….”

แต่ลุงได้ขออนุมัตินายแล้ว….และ “นาย” ก็เห็นด้วยกับนโยบายของลุง……ดังนั้น ใครจะว่าอะไร ก็ว่าไป….ไม่เกี่ยวกับลุงเพราะเขาไม่ใช่ “นาย” โดยตรงของลุง

อีกคนหนึ่งซึ่งยังอยู่เบอร์โร่ส์จนถึงทุกวันนี้ ถึงแม้เบอร์โร่ส์จะล้มหายตายจากไปนานแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังอยู่ เป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มง่าย และคุยเก่ง คุยเก่งเสียจนไม่น่าเชื่อว่าเริ่มต้นมาจากช่างเก่า เป็นนายช่างแท้ๆ แต่ต่อมาก็ได้รับโปรโมทขึ้นมาเป็นเป็นผู้จัดการอาวุโสของแผนกคอมพิวเตอร์ของยิบอินซอยในปัจจุบัน เขาคือ คุณสมประสงค์ ใจสำราญ

คุณสมประสงค์เป็นคนคุยเก่งตั้งแต่ตอนเป็นช่างตัวเล็กๆ อยู่
เวลาไปซ่อมเครื่องจักรลงบัญชี ก็จะซ่อมไป คุยไป ปากก็คุยกับลูกค้าไป มือก็ซ่อมไป ไม่มีผิดพลาด

ลูกค้าของคุณสมประสงค์เลยชอบหนักหนา ที่คุณสมประสงค์เป็นคนคุยเก่ง และคุยได้ทุกเรื่อง เวลาคุย ก็หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ผิดกับนิสัยของช่างทั่วไป

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่คุณสมประสงค์ได้รับโปรโมทให้มาทำงานทางด้านการขาย และเป็นประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง

ดังนั้น ของแบบนี้มันไม่แน่………บางคนทำงานทางด้านช่าง แต่มีพรสวรรค์ทางด้านการพูด การเจรจา ซึ่งถ้าได้ผู้จัดการที่ตาแหลมคม อาจจะให้เขามาลองทำงานขายดู ก็อาจเป็นที่ชื่นชอบของเขาก็ได้

นี่ก็เป็นรุ่นแรกๆ ที่ทำงานให้กับ”เบอร์โร่ส์

อีกคนหนึ่ง ซึ่งลุงจะลืมเอ่ยไม่ได้ ถึงลืมเอ่ย ชื่อและคุณงามความดีของท่านก็ยังประทับอยู่ในหัวใจกับลุงไม่รู้ลืม

เขาคือ “นาย” ตัวจริงของลุงครับ แต่เวลาเราทำงานด้วยกัน
เป็นธรรมเนียมของบริษัทที่เราจะเอ่ยนามกัน ทุกคนจึงเรียกท่านว่า “คุณธวัช ยิบอินซอย”

ซึ่งลุงจะเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างลุงกับคุณธวัช ยิบอินซอย ให้พวกเราฟังในครั้งหน้า

เพราะเรื่องมันยาว……..เกือบครึ่งชีวิตของลุง …………….

จนท่านได้จากลุงไปก่อน เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2548

ขอให้ท่านจงไปสู่สุขคติเถิด ลุงแอ็ดขออนุญาต เอาเรื่องของ “คุณธวัช” บางเรื่องมาเล่าให้น้องๆ ฟัง เพื่อประโยชน์ต่อคนรุ่นหลัง ดังที่ได้ขออนุญาตท่านไว้หน้านี้แล้วตอนงานปีใหม่ของบริษัทยิบอินซอย เมื่อ พ.ศ. 2548 นี้เอง ซึ่งเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายครับ


//lungadd.pantown.com/




 

Create Date : 18 กันยายน 2548    
Last Update : 18 กันยายน 2548 13:36:11 น.
Counter : 465 Pageviews.  

1  2  

ลุงแอ็ด
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




Friends' blogs
[Add ลุงแอ็ด's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.