|
นางฟ้าของผม
นางฟ้าของผม
แสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้า ส่องลอดผ้าม่านสีน้ำเงินหม่นเข้ามาในห้อง เป็นเหมือนนาฬิกาปลุกชั้นดี ที่ปลุกผมทุกๆวัน เช้านี้ก็ยังเป็นเช้าที่อ้างว้าง แล้วก็เปลี่ยวเหงาเหมือนเดิม นับตั้งแต่นางฟ้าของผมทิ้งผมไป ถึงวันนี้ก็เป็นเวลาหนึ่งเดือนกับอีกห้าวัน ชีวิตที่ไม่มีนางฟ้า ช่างเป็นอะไรที่โดดเดี่ยวไร้จุดหมายจริงๆ
ก่อนหน้าที่เธอจะทิ้งผมไป เราจะได้เจอกันในคอมพิวเตอร์ทุกๆเช้า ด้วยความที่เราอยู่ห่างกันครึ่งโลก ทำให้เวลาเช้าของผม จะเป็นเวลาค่ำของเธอ เมื่อเธอเลิกงานกลับถึงบ้าน ก็จะเป็นเวลาที่ผมตื่นพอดี
สวัสดีจ้ะนางฟ้า เหนื่อยมั้ยจ๊ะ กินอะไรหรือยัง ผมจะถามเธอเสมอเมื่อได้เจอกัน เพราะผมรู้ว่านางฟ้าทำงานหนัก เพราะทำงานกับฝรั่ง จะไม่เหมือนทำงานกับคนไทย ทำงานกับคนไทย เราสามารถที่จะ relax เวลาทำงานได้บ้าง แต่อาจจะทำงานเกินเวลาบ้าง แต่ทำงานกับฝรั่งไม่ใช่แบบนั้น ในเวลางานคือทำงานเต็มที่สุดความสามารถ แต่พอเลิกงาน ก็เลิกกัน ดังนั้นพอกลับมาถึงบ้าน นางฟ้าก็จะเหนื่อยล้ามากๆ ผมก็จะอยู่คุยเป็นเพื่อนเธอ ให้กำลังใจเธอทุกวัน
ในทางเดียวกัน เมื่อผมเลิกงานกลับถึงบ้าน นางฟ้าก็ได้เวลาเข้างานพอดี ผมจะอยู่เป็นเพื่อนเธอเสมอ เมื่อเธอทำงาน ผมรู้ ว่านางฟ้าเขียนโปรแกรมไม่เก่ง แต่งานของเธอ ก็มีส่วนที่จะต้องเกี่ยวข้องกับโปรแกรมบ้าง เธอจึงทำงานสบายใจกว่า ถ้ามีผมคอยอยู่เป็นเพื่อน คอยให้คำปรึกษาในเรื่องโปรแกรม ช่วยเธอเขียนโปรแกรมบ้าง จนถึงเวลานางฟ้าพักเที่ยง ผมจึงเข้านอน
หนึ่งปีที่เป็นแบบนี้ ผมช่วยนางฟ้า ดูแลให้เธอมีความสุข คอยให้กำลังใจ ไม่เครียดเวลาทำงาน ผมมีความสุขที่ได้ทำให้คนรักมีความสุขมากขึ้น ผมรักนางฟ้าของผมมากมายจริงๆ
นางฟ้าเคยบอกผมว่า เธอชอบผม ได้คุยกับผมแล้วเธอสบายใจดี และเมื่อกลับมาเมืองไทย เราจะกลับมาคบกัน ผมดีใจ และมีความสุขมากที่ได้ยินประโยคนี้ ผมรักเธอสุดหัวใจ นับเวลาที่เธอจะกลับเมืองไทย ถึงตอนนั้นผมจะได้ดูแลเธอได้ดีกว่าเดิม
แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด ก่อนกลับเมืองไทยแค่วันเดียว นางฟ้าบอกผมว่า จะไม่กลับมาคบผม แต่จะคบกันแฟนของเค้าต่อ หลังจากนั้นนางฟ้าก็เย็นชา ไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น
ทำไมถึงทำกับเราแบบนี้หล่ะจ๊ะนางฟ้า นางฟ้าทำกับคนที่รักนางฟ้าแบบนี้เหรอ
เราเคยคุยกันว่ากลับมาแล้วเราจะไปดูหนังด้วยกัน กลับมาแล้วเราจะไปร้องคาราโอเกะกัน ผมเคยร้องอัดเสียงแล้วส่งให้เธอฟังเสมอ นางฟ้าชอบกินเค้กมาก กลับมาแล้วเราจะไปตะลุยกินเค้กทุกร้านในพารากอนกัน เราจะพานางฟ้าออกกำลังกาย ถึงนางฟ้าจะเป็นคนผอมมากๆ แต่ก็ไขมันสูง เราจะออกกำลังกายกันทุกอาทิตย์ไม่ใช่เหรอ หลายๆอย่างที่เราเคยคุยกันไว้ ทุกอย่างเป็นเพียงแค่คำโกหกเหรอจ๊ะ
เราไม่ได้ทำอะไรผิดไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงใจร้ายกับเราจังเลยหล่ะจ๊ะ นางฟ้าคิดกับเราแค่เป็นเครื่องเล่นฆ่าเวลาเท่านั้นเหรอ ในเมื่อไม่มีใจกับเรา แล้วมาหลอกว่าชอบเรา กลับมาแล้วจะกลับมาคบกันทำไมอ่ะจ๊ะ นางฟ้าไม่รู้เลยเหรอ ว่าทำแบบนี้เราเสียใจมากแค่ไหน
เรารักนางฟ้ามากนะรู้มั้ย ถึงตอนนี้ เราก็ยังรักนางฟ้าอยู่ เราไม่ได้รักน้อยลง แต่เราเสียใจ ที่ผ่านมานางฟ้าไม่ได้มีความจริงใจกับเราเลย เรารักนะ ถึงได้ทุ่มเทหัวใจให้แบบนี้
ถึงแม้ว่าเค้าคนนั้นจะไม่มีวันกลับมาเป็นนางฟ้าคนเดิมของผม นางฟ้าไม่มีตัวตนเสียแล้วในวันนี้ แต่เราอยากให้เรารู้ไว้นะ
เรายังรักนางฟ้าของเราเสมอ
จาก
คิงคองของนางฟ้า
Create Date : 16 กันยายน 2549 | | |
Last Update : 16 กันยายน 2549 19:04:07 น. |
Counter : 505 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เมื่อผมอกหัก
ขอบคุณก่อนครับ ที่ทนอ่าน ซึ่งตอนนี้ผมไม่โกรธ ไม่แค้น ไม่เกลียดอะไรเค้าอีกแล้ว ที่เค้าทำมา ทั้งตั้งใจ และไม่ได้ตั้งใจ ผมยกโทษและให้อภัยเค้าหมดแล้ว เพียงแต่ยังเหลือความเสียใจเท่านั้นเอง เอาหล่ะ เข้าเรื่องดีกว่าผมจะแทนผู้หญิงคนนั้นว่านางฟ้าแล้วกันนะครับ
นางฟ้าเป็นเพื่อนสนิทของเพื่อนผม ผมเคยเจอตอนเรียนอยู่ปี 1 ตอนนั้นเราไม่ได้คุยกันมากนัก แต่ผมรู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้น่ารักดีจัง อัธยาศัยดี
หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีก เวลาผ่านไปกระทั่งเรียนจบ เค้าก็ไปทำงานอยู่บริษัท Software House แห่งหนึ่ง พอดีผมได้เข้าไป outsource ที่บริษัทนั้นพอดี ก็เลยได้คุยกันบ้างนิดหน่อย หลังจากนั้นก็ไม่ได้คุยกันอีก
แต่เรื่องมันจะเริ่มตอนนี้แหละครับ
นางฟ้าหลังจากทำงานได้ไม่กี่เดือน ก็เดินทางไปเรียนต่อที่อเมริกา ด้วยเหตุที่ผมได้รู้จักนางฟ้าอยู่บ้าง ก็เลยขอ MSN ของนางฟ้ากับเพื่อนผมมา หลังจากนั้นเราก็ได้คุยกัน
ช่วงแรกๆของการคุยกัน ก็มีการหยอดกันไป หยอดกันมาบ้าง ตามประสา ผมเองก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะผมรู้ ว่านางฟ้า มีแฟนอยู่แล้ว หลังจากคบกันได้ไม่ถึงปี นางฟ้าก็ไปอยู่อเมริกา แล้วเค้าก็รักกันดี อีกอย่างนึงนางฟ้าเป็นคนสวย น่ารัก อัธยาศัยดี ฉลาด เรียนเก่ง ทำงานเก่ง ที่บ้านก็มีฐานะดีมากๆ แต่ก็ไม่คุณหนู เรียกได้ว่าเป็นคนที่ perfect สุดๆคนนึงเลยทีเดียว ส่วนผม เรียกได้ว่าต่างกันคนละขั้วเลยครับ ไม่หล่อ อ้วน ดำ แต่ผมค่อนข้างเก่งคอม (ผมเป็นอดีตนักเรียนคอมพิวเตอร์โอลิมปิก) เรียนจบมาก็มาเปิดบริษัททำโปรแกรมเล็กๆ บริษัทนึง
นางฟ้าเป็นคนที่ on msn อยู่ตลอด เพราะว่าอยู่เมืองนอกมันเหงามั้ง ผมกับนางฟ้าก็คุยกันเรื่อยๆ จนเริ่มสนิท แล้วเริ่มมีความรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ก็น่ารักดีนะ หกเดือนผ่านไปหลังจากที่ได้คุยกันเยอะๆ นางฟ้าก็เรียนจบ เธอเรียนเก่งมาก สามารถเรียน MBA ที่ BU ซึ่งเป็น U Top ๆ จบภายในปีเดียว ก็นัดกันว่าจะมาเจอกันที่เมืองไทย ไอ้คำที่หยอดๆกันก็ประมาณนี้ครับ
นี่ๆ วันที่เราจะกลับ ยังไม่มีใครรู้เลยนะ เราบอกเธอคนแรกเลย ค่อนข้างนานแล้ว ผมเลยจำคำพูดไม่ค่อยได้ แต่ตอนนั้นเราก็เริ่มคุยกันหวานๆบ้างแล้ว
ขอย้ำอีกที ตอนนั้นนางฟ้าของผมก็มีแฟนอยู่ แล้วผมก็รู้ด้วย
นางฟ้ากลับมาเมืองไทยประมาณเดือนนึง เราได้เจอกันสองครั้ง ครั้งแรกเราไปกินฟูจิกัน นางฟ้าน่ารักมากๆ นับเป็นครั้งแรกๆที่คุยกันแบบสนิทๆและได้เห็นหน้ากัน หลังจากนั้นก็ได้เจอกันอีกครั้งนึง โดยผมขับรถไปรับเธอที่บ้าน แล้วพามาที่ Office ผม พาไปกินข้าวกัน แล้วก็ขับรถส่งเธอกลับบ้าน
ผมชอบเธอเข้าแล้วหล่ะ นางฟ้าเป็นคนที่ไม่ถือตัวเลย สามารถคุยกับผม ไปกินข้าวกับผมได้ ผมเองก็ไม่ใช่คนหล่ออะไร แต่เธอก็ยังให้ความสนิทกับผมได้ นางฟ้าเป็นคนที่น่ารักจริงๆ
หลังจากนั้นนางฟ้าก็บินกลับไปอเมริกา โดยบอกผมว่าจะไปทำงานปีนึง แล้วจะกลับมา แต่ด้วยที่ได้เจอกัน ผมชอบนางฟ้าเข้าให้แล้ว แล้วนางฟ้าก็มีท่าทีที่พอใจผมอยู่เหมือนกัน ผมจึงคิดการใหญ่จะจีบเธอจริงๆ
หลังจากนั้นผมก็จีบเธอ ก็ไม่มีไรมากหรอกครับ แค่ผู้ชายจีบผู้หญิงธรรมดา เธอก็คุยด้วย ตอนนั้นเธอทำงานแล้วนะครับ ผมก็คอยนั่งเป็นเพื่อนเธอ เวลาเธอทำงาน คอยช่วยงานบ้างบางครั้ง เพราะนางฟ้าเขียนโปรแกรมไม่ค่อยเก่ง หลังเลิกงานผมก็จะมานั่ง on msn คุยกับนางฟ้าของผมทุกวัน วันเสาร์อาทิตย์ ก็คุย skype มีความสุขมากครับช่วงนั้น พอวาเลนไทน์ (ปีนี้แหละ ผมก็บอกรักนางฟ้าของผม)หยอดกันไป หยอดกันมา มีความสุขดีมิใช่น้อย เธอบอกผมว่า
นี่อ่ะ คุยกับผมมากที่สุดแล้ว กับแฟนไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ คุยกับผมแล้วสบายใจดี ความรู้สึกผมในตอนนั้น โอโห อะไรจะดีใจขนาดนั้นครับ ผู้ชายที่จีบผู้หญิง ได้ยินแค่นี้ก็ดีใจมากแล้ว
ก็มีความสุขช่วงใหญ่ๆเลยหล่ะครับ เวลาก็ผ่านไปประมาณ 4-5 เดือน ผมก็เริ่มสืบๆ ว่าจริงๆแล้วนางฟ้ากับแฟน เป็นอย่างไรกันมั่ง ทำไมถึงมาดีกับเราแบบนี้ ก็เลยได้คุยกับเพื่อนสนิทนางฟ้า ซึ่งก็คือเพื่อนสนิทผมนั่นเอง เธอบอกว่านางฟ้าหน่ะ ได้เคยบอกว่าเค้าจริงใจกับแฟนเค้าคนเดียว ก็มีคนอื่นๆมาจีบๆบ้าง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร
ได้ยินแบบนั้นผมก็เริ่มเศร้า สืบๆไปก็ได้รู้อีกว่าจริงๆแล้วนางฟ้ากับแฟนเค้าก็ไม่ได้จะเลิกกัน ยังคบกันดีด้วยซ้ำ ผมเสียใจมากจึงตัดสินใจว่าจะถอนตัวดีกว่า สู้ต่อไปก็มีแต่จะเศร้า ก็เลยโทรไปก็คุยๆว่าจะถอนตัว เพราะยังไงๆ นางฟ้าถ้ากลับเมืองไทยนางฟ้าก็คงกลับไปคบกับแฟนเดิมนั่นแหละ เราก็จะเสียใจ ดังนั้นผมจึงขอถอนตัวตอนนี้ดีกว่า ขอเจ็บซะตอนนี้ จะได้ไม่ต้องถลำลึกมาก
แต่เธอกลับมาบอกผมว่า เธอชอบผม แล้วกับแฟนเธอเธอก็ไม่ค่อยได้คุยด้วยเท่าไหร่ เธอคุยกับผมมากกว่ามากๆๆ ก่อนมาเรียนต่อ ได้คุยกับแฟนไว้แล้ว ว่าเปิดโอกาสให้กันและกันนะ ว่าถ้าใครมีคนใหม่ ก็สามารถมีได้ เพราะอยู่ไกลกัน ไม่อยากผูกมัดกันเอาไว้ แล้วบอกผมอีกว่ากลับเมืองไทย แล้วเราคบกันนะ ผมก็ถามว่าคบเป็นแฟนเหรอ นางฟ้าบอกว่ายังๆ ก็คบหาดูใจกันก่อน หลังจากนั้นถ้าใช่ เราจะตกลงกันเป็นแฟนกัน
โอโห ท่านผู้ชม มันจะมีอะไรดีใจมากกว่านี้อีกมั้ยครับ นางฟ้าบอกว่าชอบผม แล้วกลับมาเราจะได้คบกัน
ด้วยคำพูดนั้น ทำให้ผมทุ่มเทความรักให้กับเธออย่างที่สุด ผมรักเธอมากๆ คอยดูแล คอยอยู่เป็นเพื่อน คอยให้กำลังใจ ทำทุกอย่างที่คนอยู่ไกลขนาดนั้นจะทำได้
เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆครับ เราอยู่ไกลกัน แต่ก็เหมือนใกล้กัน ได้คุยกันทุกวัน ช่วงนั้นเพื่อนๆหลายๆคนก็เตือนผม เรื่องเกี่ยวกับแฟนเธอนั่นแหละ ว่าเค้ายังไม่ได้เลิกกัน แต่จังหวะนั้นแล้วผมไม่เชื่อใครทั้งนั้นแหละครับ ผมเชื่อนางฟ้าคนเดียว เพราะนางฟ้าบอกแล้วว่าชอบผม กลับเมืองไทยแล้วเราจะได้คบกัน
ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจกลับเมืองไทย เรื่องเศร้ามันก็เลยเกิดขึ้นครับ
ก่อนกลับวันเดียวผมกับนางฟ้าได้คุยกัน เธอบอกผมว่า เธอกับแฟนจะกลับไปคบกันต่อที่เมืองไทย ผมก็งงเลยครับ ก็เลยถาม ไหนว่าจะคบผมไง เธอก็บ่ายเบี่ยงโดยบอกว่าถ้าไม่มีใคร เราจะคบกัน ตอนนั้นผมเสียใจมาก เสียใจสุดๆ คือผมหวังมาปีนึง รอคอยวันที่เราจะได้มาคบกันปีนึง แล้วเธอก็ให้ผมรอด้วย แต่เธอกลับมาหักมุมแบบนี้ เสียใจสุดๆไปเลยครับ
วันที่นางฟ้ากลับมา แฟนเค้าก็ไปรับที่สนามบิน ผมก็โทรไปเพื่อจะเคลียร์ โดยตัดพ้อๆ ว่าทำไมทำกับผมแบบนี้ ถ้าจะกลับมาคบแฟนแล้วรั้งผมไว้ทำไมตั้งปี เธอปฏิเสธทุกอย่าง แล้วเรื่องที่ชอบผม เธอก็บอกว่าเธอชอบผมแบบเพื่อน แล้วน้ำเสียงที่คุยกัน คือแบบรำคาญผมสุดๆ สุดท้ายเธอก็โยนโทรศัพท์ไปให้แฟน ทั้งๆที่ผมพูดกับเธออยู่ ใจร้ายดีมั้ยครับ นางฟ้าคนนี้
นางฟ้าเพิ่งกลับมาวันที่ 10 ที่ผ่านมานี่เอง ผมไม่รู้ว่าทำไมนางฟ้าของผม ซึ่งเคยดีกับผมมากๆ ทำไมเปลี่ยนเป็นคนละคนแบบนี้ ผมโทรไปไม่เคยรับสายเลย พอผมหมดประโยชน์ เค้าก็เขี่ยผมทิ้งแบบไม่ใยดีเลย
วันแรกๆที่อกหัก ผมแค้นมากเลยครับ คิดจะส่ง log msn ที่คุยกัน พวกไฟล์เสียงที่คุยกันผ่าน skype ส่งไปให้แฟนนางฟ้าดู ให้ดูว่านางฟ้าทำกับผมไว้ยังไง ผมคิดว่าแฟนเค้าไม่รู้หรอก ว่านางฟ้าเค้าได้คุยกับผมแบบไหนบ้าง
แต่คิดๆแล้วก็ไม่ได้ทำ ผมไม่อยากทำไรเลวร้ายแบบนั้น เรื่องราวทั้งหมดให้มันแล้วกันไปเถอะ นางฟ้าทำกับผมแบบนั้น ก็คงมีเหตุผลของเค้า เค้าอาจจะไม่ได้ตั้งใจทำผมเจ็บก็ได้ แต่ผมก็ยังงงๆ ว่านางฟ้าทำไมรั้งผมให้รอด้วยความหวังเต็มเปี่ยมอยู่ตั้งปีนึง เธอคงไม่รู้หรอกมั้ง ว่าทำแบบนี้คนอื่นเค้าเสียใจมากแค่ไหน
ตอนนี้ก็ผ่านมาได้ 5 วันแล้วครับ ยังเสียใจมากมาย คิดถึงวันก่อนๆ เราไม่มีคนที่จะต้องอยู่เป็นเพื่อนตอนที่เค้าทำงาน ไม่มีคนคอยให้ช่วยเขียนโปรแกรมแล้ว ไม่มีคนที่จะให้เราคิดถึงอีกแล้ว ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีจริงๆ
เสียใจมากมายจริงๆครับ ตอนนี้ได้แต่ปล่อยให้เวลามันรักษาแผลใจ แล้วหวังว่านางฟ้าของผมจะไม่ทำใครแบบนี้อีก
Create Date : 15 สิงหาคม 2549 | | |
Last Update : 15 สิงหาคม 2549 12:29:04 น. |
Counter : 381 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เมื่อผมไปบวช ตอนที่สาม
เข็มนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังในห้องทำงานของผมบอกเวลาว่าเลยหนึ่งทุ่มตรงมาสิบสี่นาที ผมนั่งอยู่ที่ office คนเดียวในเย็นวันวาเลนไทน์ วันนี้หลายๆคนที่มีความรัก คงเป็นอีกวันหนึ่งซึ่งพวกเขาคงมีความสุขกันมาก ความสุขที่ว่านั้นมันเป็นอย่างไรนะ ผมไม่เคยสัมผัสมันเลยมาเป็นเวลายี่สิบหกปีเต็ม ถ้าได้สัมผัสรสชาติแห่งความรักบ้าง คงเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อย
ท่านผู้อ่านที่รัก ในตอนที่แล้วผมได้เล่าเรื่องวันที่ผมเข้าพิธีบวชไปแล้ว คงจะได้รับรู้แล้ว ว่าการบวชนั้น ยุ่งยากแล้วก็เหน็ดเหนื่อยสาหัสเพียงใด แต่ก็รอดตายมาอย่างหวุดหวิด กลายมาเป็นสมณะ ศิษย์ของพระพุทธเจ้าอย่างเต็มภาคภูมิ
งานของพระภิกษุสงฆ์ ที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือการบิณฑบาตเพื่อให้พุทธมามกะทั้งหลายได้ทำบุญทำกุศลกัน และแล้วการบิณฑบาตของผมก็มาถึงเป็นวันแรก ผมตื่นแต่เช้าขึ้นมาจัดอาสนะ เตรียมบาตรและอุปกรณ์การฉันตามหน้าที่ที่พระใหม่อย่างผมพึงปฏิบัติ หลังจากนั้นก็ห่มจีวรเตรียมบิณฑบาต ขอแทรกท่านผู้อ่านสักนิดเพื่อเป็นความรู้ การห่มจีวรของพระธรรมยุตินั้น จะห่มอยู่สองแบบ คือ ห่มแบบอยู่นอกวัดคือต้องห่มแบบคลุมไหล่ทั้งหมด อีกแบบก็คือห่มแบบทำพิธีอยู่ในวัด จะห่มเฉียงไหล่ คือเปิดไหล่หนึ่งข้าง
กลับมาที่การห่มจีวรเพื่อที่จะออกบิณฑบาต เนื่องจากผมเป็นพระใหม่สดซิง ห่มจีวรก็ยังไม่ค่อยจะเป็น ก็ม้วนๆคลุมๆไปตามเรื่อง เสร็จแล้วก็ต้องใส่สายสะพายบาตรไว้ที่ไหล่ข้างซ้าย มือขวาถือร่ม เผื่อฝนตก ท่านผู้อ่านลองจินตนาการตามผมดูนะครับ จีวรก็ห่มไม่ค่อยเป็น จะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่ ต้องอุ้มบาตร ถือร่ม แล้วก็เดินเท้าเปล่าไปตามถนนลูกรังระยะทางมากกว่า 5 กิโลเมตร เป็นเรื่องที่ทุลักทุเลมากสำหรับพระสมัครเล่นอย่างผม
ผมจะต้องเดินผ่านบ้านโยมๆที่ใส่บาตรกันประมาณ 10 หลัง แต่ท่านผู้อ่านครับ ความลำบากมันอยู่ตรงที่ด้วยโยมแถบๆนั้นเขามีจิตศรัทธาในพระมาก จึงใส่ข้าวและกับข้าวกันอย่างมากมาย บาตรของผม จะเต็มประมาณบ้านที่ 7 ถึงบ้านที่ 8 เอาหล่ะสิ บ้านต่อๆไปทำยังไงดีหล่ะ ก็ต้องจัดๆ ของที่อยู่ในบาตรให้พอให้บ้านที่เหลือใส่ของได้ แล้วบาตรรพะธรรมยุติไม่ใช่เล็กๆ ใส่ข้าวรวมกับข้าวไปเต็มๆก็ไม่ต่ำกว่า 7-8 กินโลเลยครับ ต้องแบกน้ำหนักขนาดนั้นเดินกลับวัดแทบทุกวัน พอถึงวัดก็เหนื่อยหมดแรงทุกที
ขอเล่าพระวินัยกันซักนิดเพื่อประดับความรู้ท่านผู้อ่านทุกท่านได้ทราบ ปกติแล้ว พระภิกษุมีกฎสำหรับการฉันอาหารได้ถึงเที่ยงวันเท่านั้น หลังจากนั้น จะฉันอาหารไม่ได้ ขนม นม เนยทุกอย่างต้องละเว้นทั้งหมด ยกเว้นพวกน้ำปานะ (น้ำผลไม้ที่คั้นเอาเฉพาะน้ำ และผลไม่ใหญ่ไปกว่าลูกมะตูม) แต่พระในสมัยนี้ก็เริ่มหย่อนยานในพระวินัย ฉันนมกันตอนเย็น ซึ่งเป็นเรื่องผิดพระวินัยนะครับ
เกร็ดอีกอย่างหนึ่งในเรื่องของฉัน พระภิกษุมีข้อห้ามว่า ของฉันใดๆ ที่รับประเคนแล้ว จะมีสิทธิฉันได้แค่ 1 วันเท่านั้น ที่เหลือให้มอบเป็นทานไป ศีลข้อนี้ มีเพื่อมิให้ภิกษุ เห็นแก่ของฉัน เก็บอาหารไว้สำหรับฉันหลายวัน แต่พระหลายๆวัด ได้ละเลยข้อห้ามข้อนี้ไป เช่นในวันออกพรรษา ในการตักบาตรเทโว ที่เราๆนำเอาข้าวสารอาหารแห้งไปใส่บาตร ซึ่งในความจริงแล้ว พระท่านเก็บเอาไว้ฉันได้แค่หนึ่งวันเท่านั้นนะครับ พวกปลากระป๋อง นม หรือมาม่าที่เราใส่ไป เหลือจาก 1 วันนั้นแล้วพระท่านก็ต้องยกให้เป็นทานแก่ผู้อ่านต่อไป แต่อย่างที่ได้เล่าให้ฟัง พระหลายๆวัดได้ละเลยศีลข้อนี้ไป
สำหรับตอนหน้าจะได้มาเล่าเรื่องที่ผมได้ไปจำวัดที่วัดป่าบ้านตาด ของหลวงตามหาบัวได้ฟังกันนะครับ
หวังว่าจะได้เล่าให้ทุกท่านได้ฟังกัน
Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2549 | | |
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2549 19:41:09 น. |
Counter : 386 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เมื่อผมไปบวช ตอนที่สอง
ท่านผู้อ่านที่รัก ผ่านพ้นวันพ่อมาแล้ว ผมเชื่อว่าทุกท่านคงมีพ่อเป็นของตัวเองกันทุกๆ คนนะครับ และคงได้บอกรักพ่อกันแล้วทุกคน แต่ถ้าใครยังไม่บอก ก็ขอให้รีบบอกนะครับ เพราะว่าความรักพ่อ ไม่ได้ทำได้เฉพาะแค่วันพ่อเท่านั้น เราทำกันได้ทุกวัน และหวังว่าทุกๆท่านคงจะรักพ่อมากขึ้นทุกวันครับ
กลับมาเรื่องที่ผมไปบวชต่อ ตอนที่แล้วถึงตอนที่ผมเตรียมตัวบวช ต้องนุ่งขาวห่มขาว ถือศีลแปด และไปนอนที่วัดมาหนึ่งคืน ด้วยความที่ไม่ชินสถานที่ ทำให้นอนไม่ค่อยหลับ กว่าจะหลับก็เกือบเช้าแล้ว
ช่วงที่ผมเตรียมตัวอยู่ ก็ต้องทำทุกอย่างให้เหมือนพระจริงๆ ไม่ว่าจะเดินตามพระบิณฑบาตโดยไม่ใส่รองเท้า กินข้าวมื้อเดียว กวาดลานวัด ทำวัตร นั่งสมาธิ ยังฟิตอยู่ครับ ผมยังฟิตอยู่
และแล้วก็มาถึงวันที่ผมจะต้องบวชเป็นพระภิกษุแล้ว เช้าวันที่ 1 ตุลาคม 2548 ผมตื่นขึ้นมาด้วยความคึกคักเป็นพิเศษ วันนี้หล่ะ เราจะได้ทำให้พ่อแม่ได้ภูมิใจ เราจะได้ทำหน้าที่ลูกที่ดี มันคงจะเป็นวันที่พ่อแม่ผมมีความสุขมากอีกวันหนึ่ง
ตามธรรมเนียมของการบวชนั้น ผู้ที่จะบวชจะต้องปลงผม และแต่งชุดขาวให้เรียบร้อยเรียกว่านาค ซึ่งมีเรื่องราวสมัยพระพุทธกาลดังนี้ ก่อนนั้นได้มีพญานาคตนหนึ่ง ได้มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และต้องการที่จะออกบวชเป็นพระภิกษุ แต่ด้วยกฎที่มีไว้ มนุษย์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ออกบวชเป็นพระภิกษุ พญานาคตนนั้นก็เลยแปลงร่างเป็นมานะหนุ่มรูปงาม และได้ไปขอบวชและก็ได้บวชเป็นพระภิกษุดังใจหมาย
ต่อมาพระพุทธเจ้าได้มาทราบว่ามีพญานาคแปลงกายมา และเป็นพระภิกษุอยู่ ซึ่งขัดกับข้อบัญญัติในพระพุทธศาสนา จึงได้ดำเนินการสึกพระที่เป็นพญานาคแปลงกายนั้น แต่พญานาคก็ได้ขอร้องพระพุทธิเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายเนื่องจากมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง โดยขอว่า ต่อไปผู้ที่จักบวชเป็นพระภิกษุ ขอให้เรียกว่านาคก่อนเถิด พระพุทธเจ้าทรงรับคำ และก็เรียกขานว่านาคสืบต่อกันมา
ผ่านการปลงผมปลงคิ้ว ใส่ชุดนาคเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่จะเข้าอุโบสถทำพิธีแล้วหล่ะครับ เนื่องจากผมมีเวลาเตรียมตัวแค่สามวัน ในการซ้อมพิธีและบทสวดมนต์ต่างๆ ผมจึงยังจำขั้นตอนไม่ค่อยได้ ยิ่งว่านั้นบทสวดมนต์ต่างๆ ผมท่องได้ไม่แม่นเอาซะเลย แถมในพิธี ต้องนั่งคุกเข่าสวดมนต์อีก คิดว่าท่านผู้อ่านคงเคยนั่งคุกเข่าสวดมนต์กันมาแล้ว เมื่อยและปวดสุดทานทนเลยครับ เนื่องจากน้ำหนักผมก็ไม่ใช่น้อยๆ คนผอมๆนั่ง ยังปวดเลยครับ คิดดูแล้วกันว่าถ้าเป็นผม มันจะขนาดไหน
พิธีการของผมเริ่มขึ้นประมาณเที่ยงครึ่ง เริ่มด้วยการแห่นาคพร้อมทั้งเครื่องอัฐบริขารรอบพระอุโบสถสามรอบท่านผู้อ่านคงอยากจะรู้ใช่มั้ยครับว่าใครเป็นคนถือหมอน ตามธรรมเนียมแล้วคนที่ถือหมอนจะต้องเป็นคนที่จะครองรักกันในอนาคต หรือแฟนนั่นเองครับ แต่เนื่องจากเกิดมาตั้ง 26 ปีแล้วยังไม่เคยมีแฟนเลยซักคน คนถือหมอนก็เลยกลายเป็นน้องสาวของผมแทน (แต่ตอนนี้ผมมีความรักแล้วหล่ะ เธอเป็นผู้หญิงที่ผมรอคอยเลยทีเดียวหล่ะ ว่างๆจะมาเล่ากันอีกเรื่อง)
หลังจากแห่ครบสามรอบ ก็ต่อด้วยพิธีการในอุโบสถ การนั่งคุกเข่าท่องเอสาหังสามจบ ผ่านไปได้แค่จบเดียว ปวดเข่า ปวดขาซะแล้วครับท่าน ยังเหลืออีกสองจบ และยังมีบทอื่นๆอีกเยอะมากเลย พอเริ่มปวดขา สมาธิเริ่มแตกครับ พอสมาธิเริ่มแตก บทสวดที่เดิมก็สวดไม่ค่อยจะได้อยู่แล้ว ยิ่งหลงยิ่งลืมเข้าไปใหญ่ สวดสองคำผิดคำ ไปเรื่อยเลยครับ อาศัยดำน้ำเอาบ้างพระอุปัฌฌาย์บอกให้บ้าง ผลผ่านไปได้คือผ่านไปได้อย่างทุลักทุเลที่สุด
หลังจากนั้นต้องออกไปข้างนอก ถอดชุดนาค ใส่จีวร เหมือนพระเต็มตัวแล้วครับตอนนี้ ปัญหาเกิดขึ้นอีกหล่ะครับ ผมห่มจีวรไม่เป็นครับท่าน ได้ซ้อมมาไม่กี่ทีเอง ได้อาศัยพระท่านช่วยห่มให้ แต่ก็ไม่ดีเท่าไหร่ ต้องรีบกลับเข้าไปทำพิธีต่อ นั่งคุกเข่าอีกแล้วครับท่าน อะไรมันจะลำบากยากเย็นขนาดนั้นการบวชเนี่ยะ ใจผมเริ่มคิดเมื่อนั่งคุกเข้ามันทรมานสังขารเหลือเกิน เนื่องจากผมห่มจีวรไม่ได้ดีเท่าไหร่ ดังนั้นก็มีปัญหาเวลากราบ ปรากฏว่าจีวรหลุดครับพี่น้อง ตายหล่ะวา ทำยังไงทีนี้ ต้องแก้ปัญหาอีกแล้ว ทั้งบาตรที่ต้องสะพาย ก็ได้แต่ยัดๆจีวรให้มันพออยู่ ดังนั้นถ้าใครเห็นพระบวชใหม่ห่มจีวรผิดระเบียบไม่สวย ไม่ใช่ใครหรอกครับ อาตมาเอง
และแล้วพิธีการบวชก็เสร็จลงอย่างทุลักทุเลเมื่อเวลา 13.59 น. เลขสวยมั้ยครับ และในเวลานั้นเอง ผมได้เกิดใหม่อีกครั้ง แต่เกิดในเพศของพระภิกษุนามว่า ติขปัญโญ แปลว่าผู้ทรงปัญญา
ติดตามต่อตอนหน้าครับ
Create Date : 07 ธันวาคม 2548 | | |
Last Update : 7 ธันวาคม 2548 19:14:10 น. |
Counter : 515 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เมื่อผมไปบวช ตอนที่หนึ่ง
หลังจากทักทายกันไปครั้งแรก เวลาผ่านไปนานเกือบครึ่งปี ได้มา Update Blog กะเค้าอีกครั้งนึง ที่ไม่ได้ Update ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ว่างอะไรมากมาย เพียงแค่มันไม่มีอะไรจะเขียน สมองตัน นึกเรื่องที่จะเขียนไม่ออก มันก็เลยไม่ได้ Update มานานอย่างที่เห็น
วันนี้นึกเรื่องที่จะเล่ามาได้ ก็คือเรื่องที่ผมไปบวชมาเป็นระยะเวลา 1 เดือน ตอนแรกคิดว่าจะเล่าให้จบภายใน 1 ตอน แต่คงยาก เพราะ 1 เดือนที่ได้บวช มันมีเรื่องอะไรให้เล่าเยอะเหมือนกัน คิดว่าจะตัดเป็นตอนๆ กะว่าจะซัก 3-4 ตอนคงจบได้
มีคนหลายคนแปลกใจ แล้วก็ตั้งคำถามกับผมว่า คิดยังไงถึงไปบวช มีเวลาว่างเหรอถึงไปบวช อะไรทำนองนี้ เหตุผลที่ผมอยากไปบวชมันก็มีอยู่หลายๆข้อ ข้อแรกคือในฐานะลูกชายที่ดี ควรบวชให้พ่อแม่ ข้อสอง อยากจะดัดนิสัยตัวเอง เพราะว่าก่อนบวชผมใช้ชีวิตอยู่กับแสงสีค่อนข้างมาก ด้วยหน้าที่การงาน และเงินไม่เคยขาดมือ กระทั่งวันหนึ่งเกิดเอะใจ ความสุขแบบนี้ มันไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์นี่หว่า จึงตัดสินใจหันหน้าเข้าหาธรรม (คิดถูกหรือคิดผิดฟะเนี่ยะ)
ทีนี้เมื่อตั้งใจบวชแล้วจะต้องตั้งใจบำเพ็ญ แล้วก็ศึกษาพระธรรมให้ได้ประโยชน์มากที่สุด เห็นเพื่อนๆคนอื่นๆ บวชกันอาทิตย์สองอาทิตย์ ก็มีความคิดว่า มันจะได้อะไรว้า บวชเวลาแค่นั้น บวกกับตอนนั้นจิตใจมันเหี้ยมหาญมาก เอาจริงเอาจังสุดๆ เลยตัดสินใจบวช 1 เดือน ระยะเวลา 1 เดือนที่ต้องลางาน สำหรับตำแหน่งอย่างผมถือว่าเยอะมากๆเลยครับพี่น้อง
วัดที่ผมตั้งใจไปบวช เป็นวัดใกล้ๆบ้าน เป็นวัดธรรมยุติแบบพระป่า ก่อนอื่นขออธิบายเกี่ยวกับวัดก่อน วัดในศาสนาพุทธในบ้านเรา แยกเป็น 2 แบบคือ ธรรมยุติกับมหานิกาย ซึ่งทั้ง 2 แบบนี้ก็ถือเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาเหมือนกัน เพียงแต่ สายธรรมยุตินั้นจะถือข้อปฏิบัติในศีลเคร่งกว่ามากๆ ผิดกับทางมหานิกายที่ไม่ค่อยเคร่งเท่าใด กลับมาที่วัดที่ผมจะบวชเป็นวัดธรรมยุติ ฉันข้าวมื้อเดียว ที่ตั้งอยู่กลางเขารกทึบ ต้นไม้แผ่กิ่งก้านสาขาเขียวครึ้มไปทั้งเขา กุฏิหลังเล็กๆ กระจายกันอยู่ในเขา ห้องน้ำมีให้แบบตามมีตามเกิด อากาศชื้นมากๆ เรื่องยุงนี่ไม่ต้องพูดถึง ตกเย็นแล้วแทบจะต้องไปนั่งอยู่ในมุ้งเลยทีเดียว ระยะทางบิณฑบาตตั้งแต่วัดถึงบ้านไปกลับประมาณ 5 กม. ใช้เวลาเดินประมาณชั่วโมงครึ่ง
ฟังดูแล้วมันลำบากพอมั้ยครับ เอาหล่ะเมื่อต้องการดัดนิสัยตัวเองซะบ้าง ทนลำบากแค่ 1 เดือนมันคงไม่ตายหรอก ตอนนั้นจิตใจฮึกเหิมมาก ดังทหารใหม่จะออกรบฉันใดก็ฉันนั้น
ทีนี้ เวลาก่อนบวช มันก็ต้องไปอยู่วัดเตรียมตัวก่อน สำหรับผมเนื่องจากเวลาน้อย ก็เลยไปเตรียมตัวอยู่วัดแค่ 3 วันถือศีลแปด นุ่งขาว ท่องเอสาหัง (ขอบอกว่าเอสาหังกับเวลาท่องแค่ 3 วันมันยากเหมือนกันนา) คืนแรกนอนม่ายหลับเลยครับท่าน ทั้งหนาว เตียงมันแข็ง (นอนฟูกไม่ได้นะครับท่าน) ตุ๊กแกร้องทั้งคืน ฝนตกปรอยๆอยู่ทั้งคืน ระยะเวลาคืนแรก โอยย มันยาวนานจริงๆ กว่าจะหลับก็เกือบๆเช้า ตื่นขึ้นมาตีห้าต้องรีบลงไปจัดอาสนะให้พระ นอนก็นอนไม่ค่อยหลับ งัวเงียแท้ๆ
นี่ยังไม่ได้บวชเลยนะเนี่ยะ ขอไปต่อตอนที่ 2 ละกันนะ
Create Date : 30 พฤศจิกายน 2548 | | |
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2548 16:08:10 น. |
Counter : 346 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|