ความรับผิดชอบของมืออาชีพ



ผมเคยเขียนเรื่องของมืออาชีพไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่วันนี้ก็อยากจะเขียนอีก นับว่าผมหมกมุ่นเรื่องของมืออาชีพอยู่พอสมควร

หากใครได้ติดตามข่าวในช่วงการจลาจลครั้งใหญ่ในพม่าเมื่อสองเดือนก่อน คงน่าจะผ่านตาข่าวน่าเศร้าของการเสียชีวิตของคนต่างชาติ คนแรก และเหมือนจะเป็นคนเดียวในประเทศพม่า แต่สำหรับผมมันเป็นเรื่องที่เศร้าใจกว่า เพราะมันคือการเสียชีวิตของมืออาชีพชาวญี่ปุ่น ในฐานะช่างภาพวิดิโอ ในเหตุสงครามประชาชนเรียกร้องประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2550 ที่นครย่างกุ้ง ประเทศพม่า

เคนจิ นางาอิ (Kenji Nagai) ช่างภาพอิสระของสำนักข่าว APF News จบชีวิตลงในวัย 50 ปี ด้วยการเสียเลือดไปมาก เนื้องจากถูกกระสุนปืนของทหารพม่าเข้าที่ตับ

เชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกคารวะในความเศร้าสลดของข่าว คือภาพวินาทีสุดท้ายแห่งชีวิตของช่างภาพท่านนี้ ที่พยายามชูกล้องขึ้นเพื่อถ่ายภาพต่อไป ก่อนจะลดมือลงพร้อมชีวิตที่สิ้นสุด

“ตายในหน้าที่” เป็นทั้งคำอธิบาย และคำสดุดี ซึ่งแม้เราต่างรู้กันดีว่า ชาวญี่ปุ่นป็นชาติที่บูชางาน รับผิดชอบต่องาน และยอมตายได้เพื่องาน เราก็คงคิดว่าเป็นเพียงคำเปรียบเปรย ตราบจนกระทั่งได้เห็นภาพที่กล่าวไปนี้

“งาน” นั้นมันมีค่า เสียจนยอมตายแทนให้ได้เชียวหรือ เราคงเข้าใจตรรกะของมืออาชีพผู้สิ้นชีพได้ยากนัก

ผมนึกถึงเรื่องของชนชาติอีกชนชาติหนึ่งที่ไกลออกไปกว่าครึ่งโลก ชนชาติที่ได้ชื่อว่ารับผิดชอบและซื่อสัตย์สูงที่สุดในยุโรป คือ ชาวสวิส

หากใครเคยไปเยือนนครโลซาน (Lucerne) ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ อาจจะเคยได้ชมอนุสาวรีย์สิงโตหินที่ได้รับบาดเจ็บใกล้สิ้นใจ ล้มลงกอดตราสัญลักษณ์แห่งราชวงศ์ฝรั่งเศสเอาไว้ อนุสาวรีย์นี้มีไว้เพื่อระลึกถึงวีรกรรมของทหารรับจ้างชาวสวิส หรือกองกำลังองค์รักษ์สวิส (Swiss Guard) ที่ทำหน้าที่ปกป้องพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เมื่อครั้งปฏิวัติฝรั่งเศส ในคราวนั้น ทหารองครักษ์สวิสต่อสู้จนตัวตาย บางส่วนถูกประหารชีวิตด้วยกิโยติน

เราพอเข้าใจได้ ถึงกรณีทหารหาญที่รบและยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อเอกราชของชาติ หรือผู้จงรักภักดียิ่งต่อองค์ราชันย์แห่งชนในชาติตน จึงยอมเอาชีวิตถวายเป็นราชพลี

แต่กรณีนี้ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ก็ไม่ใช่ญาติโยมอะไรของพวกเขา จะว่าเพราะเป็นพ่ออยู่หัว ก็หาใช่กษัตริย์แห่งแผ่นดินพวกเขา แถม “กระแส” แห่งการพิพากษาในขณะนั้น ก็ได้ถวายอิสริยยศ “ทรราช” ให้แก่พระเจ้าหลุยส์เสียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทหารกลุ่มนี้กลับยินดีตาย เอาชีวิตเข้าแลก เพื่อกษัตริย์แผ่นดินอื่น กษัตริย์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นทรราช โดยมีความผูกพันเป็นเพียง “นายจ้าง” เท่านั้นเอง

สิ่งเดียวที่เหนี่ยวรั้ง คือคำว่า “หน้าที่” และ “ความรับผิดชอบ”

เป็น “หน้าที่” และ “ความรับผิดชอบ” ที่มีค่ากว่าชีวิตเสียอีก

เกียรติศักดิ์แห่งความซื่อสัตย์ขององครักษ์สวิส จึงยืนยงมาชั่วทุกวันนี้ และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งสำหรับคาทอลิก คือการรักษาความปลอดภัยให้แก่องค์พระสันตะปาปาที่กรุงวาติกัน

ความรับผิดชอบขั้นสูงสุดของ “มืออาชีพ” นี้เอง ที่ข้ามพ้นทั้งขอบเขตอารมณ์ ความอยาก ข้ามพ้นทั้งจากความกลัวและความรัก ทั้งความชังและกิเลสทั้งมวล เหลือเพียงความยึดมั่นใน “หน้าที่” และ “บทบาท” อันตนได้รับในตำแหน่งหน้าที่นั้นเอง ทำให้ “มืออาชีพ” ของแท้ทั้งหลาย จึงเป็นบุคคลอันควรได้รับการเคารพจากบุคคลวิญญูชนอื่น ที่ยังข้ามไม่พ้นเส้นแบ่งเหล่านั้น

ความรับผิดชอบของมืออาชีพนั้น งดงามและยิ่งใหญ่ด้วยประการฉะนี้

ขออธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิที่เขาเชื่อ ดลบันดาลให้ดวงวิญญาณของ เคนจิ นางาอิ ช่างภาพมืออาชีพ จงไปสู่สุคติในสัมปรายภพอันสมควร และผมคิดว่า มันอาจจะเป็นสัมปรายภพเดียวกับเหล่าบรรดาทหารรับจ้างสวิส กลุ่มนั้นก็ได้.




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2550   
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2550 5:18:04 น.   
Counter : 1496 Pageviews.  

Anorexia : เมื่อความผอมเป็นที่น่ารังเกียจ


            
หลายเดือนที่แล้ว ชาวมิลาน โรม และเมืองอื่นๆในอิตาลี ต่างตกตะลึงกับป้ายโฆษณาสยองขวัญ ของหญิงสาวเปลือยกายทั้งร่าง แต่เป็นร่างที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก และแววตาชวนสยองปนสลด ราวกับผีดิบไม่ยอมตาย ซึ่งมองมาทางผู้ชมด้วยสายตาที่ยากจะบรรยายหรือตีความ ช่างขัดต่อตัวอักษรน่ารักสีชมพูขาวที่พาดผ่านเสียจริงๆ นี่ถ้าคำเปรียบเปรยถึงความผอมในภาษาไทยเราจะใช้ว่า “ผอมเป็นไม้เสียบผี” นี่ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็น “นู้ดผีเสียบไม้” ก็ได้

เปล่าครับ นี่ไม่ใช่โฆษณาภาพยนตร์เรื่อง Resident Evil ภาคใหม่ แต่ว่าเป็นโฆษณาของเสื้อผ้ายี่ห้อหนึ่งของอิตาลี คือ Nolita ในนโยบายโฆษณา “No Anorexia, Nolita”

ผลงานภาพถ่ายโดย โอลิเวียโร ทอสกานี (Oliviero Toscani) ช่างภาพผู้มีชื่อเสียงผู้เคยมีผลงานสร้างชื่อกับเบเนตตอง ส่วนนางแบบเป็นสาวฝรั่งเศสนาม อิสซาเบล กาโฅร (Isabelle Caro) อายุ 27 ปี ผู้มีน้ำหนักเพียง 32 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับส่วนสูง 165 เซนติเมตรของเธอ

อิซซาเบลป่วยด้วยอาการอโนเร็กเซียมาตั้งแต่อายุ 13 ปีแล้ว เธออุทิศตนยอมถ่ายแฟชั่นนู้ดสยองขวัญนี้ เพื่อเตือนใจบรรดาสาวๆนักอยากผอมว่า อาการปฏิเสธอาหารนี้ เป็นเรื่องที่ “ผิด” และมีอันตรายอย่างแรงถึงชีวิต ไม่ควรทำตามเป็นเยี่ยงอย่าง

อาการอโนเร็กเซีย หรือ Anorexia มีที่มาจากภาษากรีก คือ คำว่า A หรือ An ที่แปลว่าปราศจาก กับ orexe ที่แปลว่า ความอยากอาหารอาหาร ในภาษาอังกฤษชื่ออาการนี้มีชื่อสามัญว่า Decreased Appetite อันที่จริงชื่ออาการอโนเร็กเซียนี้ ไม่ได้หมายความถึงการปฏิเสธอาหารด้วยเหตุผลทางจิตเสียทีเดียวนัก

ในทางการแพทย์ อาการ Anorexia (รหัสอาการในระบบ CDI-10 คือ R63.0) สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความเครียด เอดส์ มะเร็ง หรืออาการทางสมองอื่นๆ แต่อาการอโนเร็กเซียที่กำลังเป็นที่กล่าวถึงมากในโลกปัจจุบัน คืออาการปฏิเสธอาหารอันเนื่องมาจากสภาพทางจิต หรือ Anorexia nervosa ซึ่งเป็นอาการปฏิเสธอาหารอันเนื่องมาจากสภาพทางจิตใจ และการลดความอ้วนที่ไม่ถูกวิธี เช่น การอดอาหารอย่างรุนแรง การบังคับให้อาเจียน การรับยาบางอย่างเข้าไป ซึ่งในที่สุด เมื่อเกิดอาการปฏิเสธอาหารแล้ว ร่างกายจะปรับตัวให้ตัวใจเต้นช้าลง และไม่รับอาหาร ซึ่งก็จะประกอบกับอาการทางจิต ที่จะหวาดกลัวต่อการที่มีน้ำหนักตัวเพิ่ม หรือการที่น้ำหนักไม่ลดลง

อโนเร็กเซีย เป็นปัญหาสุขภาพที่เกิดมาจากจิต และเป็นปัญหาทางจิต ที่เกิดเนื่องมาจากสังคม โดยเฉพาะค่านิยมความงามในยุคหลัง ที่มาจากตะวันตกเอง คือ “ยิ่งผอม ยิ่งสวย” โดยสะท้อนผ่านออกมายังนางแบบระดับโลก ที่จะถือว่า สวยงามระดับโลกได้ ก็ต้องมีเรือนร่างอันผอมบางราวกับโครงกระดูกที่มีหน้าที่เอาไว้เพียงแค่แขวนเสื้อผ้า

ค่านิยมนี้ถูกสลักฝังลงในสัญชาติญาณเบื้องต้นของหญิงสาวตั้งแต่ยังเด็ก ดังเช่นที่นางแบบในข่าว เธอให้สัมภาษณ์ว่า เธอป่วยเป็นโรคนี้มาตั้งแต่อายุ 13 ปี ซึ่งนับว่าอยู่ในวัยแรกสาว

ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่ากลัว เพราะค่านิยมเช่นนี้ยังถูกปลุกฝังกันอยู่ เพิ่งจะเริ่มมาต่อต้านกันจริงจังไม่เกินสองปีมานี้เอง เชื่อว่าอาการนี้น่าจะเป็นปัญหาใหญ่เชิงสุขภาพของประชาคมโลกได้ เมื่อเด็กหญิงที่เกิดในช่วงก่อนหน้า และหลังจากเธอจำนวนหนึ่ง จะแสดงอาการของโรคนี้ในวัยสาว

ราวกับรู้ว่า ต้นกำเนิดของค่านิยมที่ทำให้เกิดโรคภัยชนิดใหม่ต่อมวลมนุษยชาติ มีกำเนิดมาจากแฟชั่นทางฝั่งยุโรป เริ่มมีการตื่นตัวในการพยายาม “แก้ไข” ค่านิยมนี้

เช่นกรณีของเสปน ที่เป็นประเทศแรก มีกฎหมายห้ามนางแบบที่ผอมเกินกว่าค่ามาตรฐาน มิให้เดินแบบบนแคทวอล์ก รวมทั้งการห้ามแสดงหุ่นลองเสื้อขนาดเล็กเกินไปในร้านขายเสื้อผ้า และปรับขนาดเสื้อผ้าจากเสื้อผ้าเบอร์ 46 ยุโรป ที่เดิมถือว่า เป็นเสื้อผ้าขนาด “ใหญ่” ให้ถือว่าเป็นเสื้อผ้าขนาด “ปกติ"”ไปแล้ว

แองเจลา เออราส (Angela Heras) ผู้อำนวยการองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า “แฟชั่นนั้นต้องยอมรับให้ผู้หญิงสามารถรู้สึกดี ในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ได้”
          
ปัจจุบันผู้หญิงชาวเสปนหนึ่งแสนคน ได้ป่วย หรือมีแนวโน้มว่าจะป่วย ด้วยโรคปฏิเสธอาหารนี้ นี่อาจจะเป็นสาเหตุให้เสปน เป็นประเทศแรกในยุโรป ที่มีกฎหมายมาควบคุมเรื่องแฟชั่นที่สร้างค่านิยมอันตรายเช่นว่านี้

ส่วนในประเทศไทยเรา หลายคนที่ชอบอ่านข่าวหรือซื้อหนังสือพิมพ์ นิตยสารแนวซุบซิบดารา หรือได้รับฟอร์เวิร์ดเมล์หรืออ่านกระทู้ในเวบบอร์ด คงตกตะลึงกับภาพของนางแบบสาวอดีตท๊อปโมเดลของประเทศ ผู้ที่เคยโฆษณากาแฟเย็นยี่ห้อหนึ่งจนเล่นเอารถชนกันบนทางด่วนมาแล้ว

ปัจจุบันนี้นอกจากชื่อเสียงเธอที่หายไปจากวงการแล้ว การกลับมาของเธอก็สร้างความน่าสะพรึง ด้วยรูปร่างที่ซูบผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ตาโรย แก้มเป็นโหนก ผมกระเซิงดูขาดสารอาหาร แทบไม่เหลือร่องรอยของสาวเซ็กซี่ในอดีต

แม้เธอจะแก้ตัวว่ามาจากการโหมเล่นกีฬาอย่างหนัก แต่ก็ยากที่ใครจะเชื่อ และสงสัยว่า เธอกำลังทุกข์ทรมานด้วยโรคภัยจากอาการอโนเร็กเซียนี่หรือไม่

แม้สถานการณ์ของประเทศไทย ยังไม่แย่ หรือจัดว่าน่าเป็นห่วงเท่าในยุโรป กระนั้น ค่านิยมในสังคมไทยก็มีการบีบสร้างค่านิยมอื่นนอกเหนือจากความ “ผอม” คือ “ความขาว” จากในโฆษณาเครื่องสำอางฟอกสีหลายต่อหลายชนิด หลายยี่ห้อ หลายเกรด มีเรื่องตลกคือ มีเครื่องสำอางของฝรั่งเศสบางแบรนด์ ที่ทำสูตรไวท์เทนนิ่ง เพื่อขายในโซนเอเชียเท่านั้น ! มาซื้อในฝรั่งเศสนี้ก็ไม่มีขาย

อาจจะอีกสักพัก ที่สังคมของเราอาจจะเห็นปัญหา คงต้องจับตาและเริ่มดำเนินการอย่างจริงจังบ้าง อย่างน้อยก็ควรจะปรามค่านิยมเรื่อง “ผอมสวย” หรือ “ขาวแบบคนกรุงเทพฯ” เพื่อป้องกันไม่ให้สาวไทยเรากลายเป็นผีเสียบไม้ฟอกสี เดินลากขาไปทั่วสยามสแควร์เหมือนในหนังสยองขวัญ.




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2550   
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2550 3:49:12 น.   
Counter : 1762 Pageviews.  

Ma liberté de penser : คือสิทธิเสรีของข้าที่จะคิด

เนื่องในโอกาสฉลองที่ทางการประเทศไทย ได้ยุติการปิดกั้นการเข้าถึงเวบไซต์ youtube แล้ว ผมจึงขอนำมิวสิกวิดิโอฝรั่งเศสหนึ่งคลิป เพื่อประเดิมในส่วนของการเรียนภาษาฝรั่งเศส ด้วยสื่อมัลติมีเดีย ในเวบของผม (www.chezplayers.com)

เพลงนี้ชื่อว่า “เสรีภาพแห่งการคิดของฉัน” (Ma libaté de penser) หรือแปลอย่างฉวัดเฉวียนตามประสาว่า “คือสิทธิเสรีของข้าที่จะคิด”

เพลงนี้ถูกใช้ในการสอนภาษาระดับชั้นกลาง ของโรงเรียนภาษา CAVILAM ซึ่งคาดว่า นอกจากเพราะเป็นเพลงร๊อกร่วมสมัยแล้ว เพลงนี้ยังอุดมไปด้วยชุดศัพท์เกี่ยวกับเครื่องมือเครื่องใช้ภายในบ้าน เหมาะแก่การสอนศัพท์ให้แก่นักเรียนภาษาเป็นอย่างยิ่ง

ผู้ร้องเพลงนี้คือ Florent Pagny ซึ่งเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงและได้รับรางวัลมากมายในฝรั่งเศส แต่ความที่ใช้เงินไม่รู้บันยะบันยัง แถมยังไปทะลึ่งโกงภาษีให้ถูกจับได้อีก ก็เลยถูกทางการฝรั่งเศสเรียกคืนภาษีทั้งหมด เล่นเอาสิ้นเนื้อประดาตัวไป เรียกว่าพอยึกทรัพย์กันเสร็จ พี่แกต้องเข้าไปนอนในรถทีเดียว เพราะไม่มีกระทั่งบ้านช่องให้ซุกหัวนอน ด้วยเหตุการณ์นี้ ทำให้เขาเขียนเพลงนี้ขึ้นมากึ่งๆประชด กึ่งๆสอนใจประชาชน ว่า ในชีวิตนี้ ใครๆเขาก็เอาอะไรของเราไปได้ ยกเว้นสิ่งเดียว คือเสรีภาพในการคิด

อันที่จริงก็สุ่มเสี่ยงที่ยกเรื่องของนักร้องคนนี้ และเพลงนี้มานำเสนอ เพราะอันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องเท่าไร ด้วยที่แกถูกยึดทรัพย์มันก็ความผิดของแกเต็มประตู และระบบภาษีของฝรั่งเศสก็ไม่มีเลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม ดังนั้นเจ้าหน้าที่เขาก็ไม่ได้กลั่นแกล้งพี่แกเหมือนกัน

แต่ถ้าเราคิดว่า แม้ในเรื่องเลวแสนร้าย ก็มีบทเรียนที่มีค่าไว้สั่งสอน เพลงนี้ก็เป็น “บทเรียน” ที่ดีในการสอนเรื่องของเสรีภาพในการคิดของเรา เสรีภาพที่เป็นของเราโดยแท้ ที่ไม่มีใครสามารถพรากไปได้ ตราบจนลมหายใจสุดท้ายแห่งชีวิต

อนึ่งคำแปลของเพลงนี้ออกจะฉวัดเฉวียนเพื่อรักษาอารมณ์ของเพลงไว้ ตรงไหนที่แปลไม่ตรง ก็ได้บอกไว้แล้วตอนท้าย

เชิญสดับ.




Quitte à tout prendre prenez mes gosses et la télé,
Ma brosse à dent mon revolver la voiture ça c'est déjà fait,
Avec les interdits bancaires prenez ma femme, le canapé,
Le micro onde, le frigidaire,
Et même jusqu'à ma vie privée
De toute façon à découvert,
Je peux bien vendre mon âme au Diable,
Avec lui on peut s'arranger,
Puisque ici tout est négociable, mais vous n'aurez pas,
Ma liberté de penser.

Prenez mon lit, les disques d'or, ma bonne humeur,
Les petites cuillères, tout ce qu'à vos yeux a de la valeur,
Et dont je n'ai plus rien à faire, quitte à tout prendre n'oubliez pas,
Le shit planqué sous l'étagère,
Tout ce qui est beau et compte pour moi,
J' préfère que ça parte à l'Abbé Pierre,
J' peux donner mon corps à la science,
S' il y'a quelque chose à prélever,
Et que ça vous donne bonne conscience, mais vous n'aurez pas,
Ma liberté de penser.

Ma liberté de penser.

J' peux vider mes poches sur la table,
Ca fait longtemps qu'elles sont trouées,
Baisser mon froc j'en suis capable, mais vous n'aurez pas,
Ma liberté de penser.

Quitte à tout prendre et tout solder,
Pour que vos petites affaires s'arrangent,
J' prends juste mon pyjama rayé,
Et je vous fais cadeaux des oranges,
Vous pouvez même bien tout garder,
J'emporterai rien en enfer,
Quitte à tout prendre j' préfère y' aller,
Si le paradis vous est offert,
Je peux bien vendre mon âme au diable,
Avec lui on peut s'arranger,
Puisque ici tout est négociable, mais vous n'aurez pas,
Non vous n'aurez pas,
Ma liberté de penser.
Ma liberté de penser.

................................................

ขนไปเลยครับทั้งลูกเต้าบรรดาทีวี
แปรงสีฟันก็มี และอย่าลืมปืนและรถยนต์ด้วย
อายัดเงินในแบงค์ก็ตามจิต หรือจะคิดยึดเมียก็ตามใจ
ไมโครเวฟ ตู้เย็น หรือกระทั่งชีวิตส่วนตัวก็ได้
เปิดโปงมันโลดๆไปเล้ย
ฉันขายวิญญาณให้ปิศาจไปก็ดี
เพราะเหมือนชีวีน่าจะง่ายขึ้น
ในเมื่อชีวิตนี้ก็จะถูกเซ็งลี้อยู่แล้ว
แต่อย่าลืมนะว่า นายเอาอะไรไปไม่ได้อย่างนึง
คือสิทธิเสรีที่ข้าจะคิด

หรือจะเอาเตียง แผ่นเสียงทองคำ หรืออารมณ์ขำๆ
ช้อนคนกาแฟก็ดี ถ้าแกคิดว่ามันจะมีค่าพอจะเซ็งลี้
เอาที่คิด ว่าเอาไปแล้วฉันจะง่อยเปลี้ย ไม่มีอะไรทำอีกน่ะ
เศษขี้ที่มันติดอยู่ใต้โต๊ะน่ะด้วย
กับสิ่งดีๆ มีค่าในชีวิตฉัน
แต่อย่าลืมแบ่งเงินที่ได้ไปช่วยพระบาทน้ำพุ*
เออ ศพ**ของฉันก็เอาไปทดลองวิทยาศาสตร์ได้
เผื่อเขาจะค้น จะสกัดอะไรขึ้นมาบ้าง
เอาความคิดอ่านฉันไปปู้ยี่ปู้ยำได้
แต่ก็อย่าลืมว่า โปรดอย่าลืมว่า
นายพรากเสรีภาพในการคิดของข้าไปไม่ได้หรอก

ฉันจะเทกระเป๋าตังค์ลงบนโต๊ะ
แต่มันคงไม่เหลืออะไรแล้วมั้ง ออกจะรูเบ้อเร่อ
กุงเกงก็ถอดให้ได้ ถ้าจะเอา
แต่อย่าลืมละ
ว่าแกพรากเสรีภาพในการคิดของข้าไปไม่ได้หรอก

ขายทอดตลาดไปให้หมด
ทำงานของพวกแกไปให้มันจบๆ
เหลือชุดนอนเน่าๆ ไว้ให้ใส่ตัวเดียวก็พอ
และฉันมีของขวัญจะให้แก ไอ้สีกากี***ทั้งหลาย
ฉันไม่เอาอะไรติดไปนรกด้วยหรอก
แกเอาไปให้หมดเลย ฉันเต็มไปใจจะไปอยู่แล้ว
ถ้าบนสวรรค์น่ะจะมีพวกแก
ฉันขอลงนรกไปคุยกับผองผีจะดีกว่า
พวกมันคงพอจะพูดง่ายเข้าใจไม่อยาก
ในเมื่อชีวิตนี้ก็จะถูกเซ็งลี้อยู่แล้ว
แต่อย่าลืมนะว่า นายเอาอะไรไปไม่ได้อย่างนึง
คือสิทธิเสรีของข้าที่จะคิด
คือสิทธิเสรีของข้าที่จะคิด
คือสิทธิเสรีของข้าที่จะคิด



* คำนี้ในเนื้อร้อง ใช้ “J' préfère que ça parte à l'Abbé Pierre,” ซึ่งประมาณว่า “ฉันหวังว่าส่วนนี้จะอุทิศให้แก่ อับบี้ ปิแอร์” ซึ่งหมายถึงสาธุคุณปิแอร์ (l'Abbé Pierre 1912-2007) ผู้ก่อตั้งมูลนิธิการกุศลเพื่อช่วยเหลือเหล่าคนยากจน และคนจรจัดที่ไร้บ้าน ที่ชื่อว่า (Compagnons d'Emmaüs ) ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลเพื่อมนุษยธรรม ที่ชาวฝรั่งเศสเชื่อถือมากที่สุดแห่งหนึ่ง ดังนั้นเพื่อรักษาอารมณ์เดิมไว้ จึงขออนุญาต “แผลง” เป็น “พระบาทน้ำพุ”

** จริงๆคำว่า un corps (เอิง กอร์) ในภาษาฝรั่งเศส จะหมายถึง “ร่างกาย” มากกว่าคำว่า a corps (อะ คอร์ป) ในภาษาอังกฤษ แม้จะเขียนพ้องรูปกันก็ตาม แต่ในบริบทของเพลงนี้ น่าจะหมายถึง “ศพ” เพื่อเอาไปทดลองทางวิทยาศาสตร์ จึงในที่นี้ จึงขอแปลคำว่า mon corps เป็น “ศพ"

*** ในเพลงใช้คำว่า Les oranges ซึ่งเดาจากเนื้อหาของเพลง และมิวสิกวิดิโอแล้ว คิดว่าน่าจะหมายถึงสีของเครื่องแบบ หรือสีขององค์กรเจ้าพนักงานยึดทรัพย์ ซึ่งอันนี้ไม่แน่ใจ ใครทราบกรุณาบอกหน่อย ดังนั้น เพื่อให้ได้อารมณ์เพลง (อีกแล้ว) เลยขอแปลว่า “สีกากี” ซึ่งเป็นสีของเครื่องแบบเจ้าพนักงานบังคับคดีฉบับไทย


สุดท้ายนี้ ขออุทิศเพลงนี้ ให้แก่ “พระยาพิชัย” และ “ท่อนจัน”




 

Create Date : 25 กันยายน 2550   
Last Update : 25 กันยายน 2550 20:58:19 น.   
Counter : 1177 Pageviews.  

เสียงที่ไม่ได้ยิน

ต้นโหระพา



ธรรมเนียมการขายผักใบเครื่องเทศของเมืองนี้ค่อนข้างน่าสนใจ หากคุณต้องการซื้อใบเครื่องเทศบางชนิด เช่น ใบสะระแหน่ หรือใบโหระพาในฤดูร้อนของเขตโปรวองซ์นี้ เป็นไปได้ที่เขาจะไม่แยกขายให้คุณเป็นใบหรือเป็นกิ่ง แต่ขายยกต้น หนึ่งกระถาง ให้เราไปริดใบกินเอาตามใจชอบ หากริดใบแล้วต้นเครื่องเทศนั้นยังพอจะมองเห็นเป็นรูปต้นไม้อยู่บ้าง คือไม่ถึงกับถอนรากถอนโคนกันหมดต้น เราก็นำกระถางต้นเครื่องเทศที่เหลือจากการบริโภคนั้น ไปรดน้ำ วางไว้ในที่ได้แสงแดด รอสักพัก ต้นเครื่องเทศนั้นก็จะฟื้นสภาพ แตกหน่ออกใบ เติบโตรอให้เด็ดไปประกอบอาหารรับประทานใหม่


ฟังดูก็น่าสนใจ หรือบางคนอาจจะมองว่าการขายใบเครื่องเทศแบบนี้ ฟังดูน่ารักเป็นธรรมชาติดีจริงๆ แถมถ้าเราดูแลต้นเครื่องเทศนั้นอย่างดี เราอาจจะไม่ต้องไปซื้อใบของเครื่องเทศชนิดนั้นอีกเลยตลอดฤดูร้อนนั้นก็ได้ เด็ดถนอมๆ หรือเอาปลูกลงดินไปเลยก็ได้


แต่ถ้าเราลองเปลี่ยนโจทย์ว่า มีร้านขายหมูที่ไหนสักร้าน ขายหมูด้วยวิธีเช่นนี้ คือ เมื่อมีผู้ต้องการซื้อหมู ผู้ขายจะขายหมูเป็นๆ มาให้หนึ่งตัว เมื่อใดก็ตามที่ผู้ซื้อต้องการกินเนื้อหมูส่วนไหน ก็ถือมีดไปเถือเนื้อออกมารประกอบอาหารรับประทานได้ตามใจชอบ ที่เหลือก็ทำแผลไว้ ผูกไว้ และก็เลี้ยง ต่อไปถ้าหมูนั้นแผลหาย ก็ค่อยไปเชือดเนื้อส่วนอื่นๆ มากิน จนกว่าจะหมดตัว...


ฟังดูโหดร้ายจนน่ารังเกียจว่าทำไมถึงคิด และเขียนเรื่องน่ากลัวแบบนี้ออกมาได้


ครั้งหนึ่ง ที่ผมเข้าไปอ่านเรื่องอาหารการกินในห้อง “ก้นครัว” ในพันทิป ได้เจอกระทู้ถามหาสูตรอาหารมังสวิรัติกระทู้หนึ่ง ความที่ผมเองก็เป็นคนกินมังสวิรัติในบางมื้อ จึงลองเข้าไปดู และได้พบว่าคำตอบๆหนึ่งได้สะกิดใจแรงๆ จนคิดต่อไปถึงเรื่องของต้นโหระพาที่ซื้อมาเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้


ผู้ตอบกระทู้คนนั้นเข้าไปแนะนำสูตรอาหารมังสวิรัติสูตรหนึ่ง ประกอบด้วยเต้าหู้ ไข่ไก่ พริกไทย ผักชี หัวหอม กระเทียม เป็นอาหารน่ารับประทาน แล้วเธอก็ตบท้ายกระทู้ว่า “มื้อนี้ไม่เป็นหนี้ชีวิตใคร”


จริงหรือ ?


ผมแน่ใจว่า เต้าหู้แปรรูปมาจากเม็ดถั่วเหลือง ซึ่งเป็นเชื้อชีวิตของต้นถั่วเหลือง ไข่ไก้แม้จะไม่ได้ผสม แต่ก็มีสัญญาณชีวิตอยู่ในแทบทุกเซล ผักชี หัวหอม กระเทียมทั้งหลาย แน่นอนว่าเป็นส่วนหนึ่งมาจากพืชที่เคยมีชีวิตอยู่ทั้งสิ้น


พืชเหล่านั้นไม่อาจเป็นเจ้าหนี้ชีวิตใครได้หรือ ?


คนส่วนใหญ่รู้ก็รู้ว่า พืชทั้งหลายก็เป็นสิ่งมีชีวิต เพียงแต่ชีวิตของพืชนั้นมีสัญญาณที่แตกต่างจากสัตว์ ส่วนสำคัญก็คือ พืชไม่มีความสามารถในการพยายามต่อสู้เพื่อเยื้อชีวิตของตน แตกต่างจากสัตว์ ความรู้สึกในการถอนผักกาดสักต้น กับการเชือดไก่สักตัว จึงผิดกันลิบลับ


แต่ถ้ามองว่าเป็นการตัดสัญญาณชีวิตชีวิตหนึ่ง อันที่จริงมันก็เท่าเทียมกัน มิใช่หรือ ?


มนุษย์หลายคนเชื่อว่าการงดเว้นการกินเนื้อสัตว์ คือการละเว้นชีวิต ไม่เบียดเบียนชีวิต แต่ก็มีข้ออ้างอันอ้อมแอ้มต่อการกินพืชอยู่เสมอ ในทุกคำอธิบาย ทุกลัทธิศาสนาที่มองว่าการกินสัตว์เป็นบาป แต่การกินพืชไม่บาป


(อันที่จริง แนวคิดเรื่องการ “ละเว้นสิ่งไม่ดี” ถือเป็นการ “ทำดี” เป็นตรรกะที่ยังมีช่องโหว่อยู่มากสำหรับผม กล่าวคือ หากมองว่าสิ่งใดที่กระทำแล้วเป็นสิ่งไม่ดี (อาจจะการกินเนื้อสัตว์) หากเรางดทำเช่นนั้น เราได้ความดีมาโดยอัตโนมัติหรือ ? ด้วยเหตุผลใด ? ถ้าเช่นนั้น การที่ผมไม่บังคับขืนใจผู้หญิงสักคน หรือไม่ไปลักเอาคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่ใครเผลอวางทิ้งไว้ เท่ากับผมทำ “ความดี” แล้วหรือไม่ ? ตรรกะตรงนี้ยังไม่ลงตัวสำหรับผม)


หากว่าการเด็ดใบไม้สักใบ ต้นไม้เจ้าของอวัยวะใบไม้นั้นส่งเสียงร้องโหยหวนขึ้นมา ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครคิดว่ากินแต่พืช งดเว้นเนื้อสัตว์ เป็นการไม่ทำบาป หรือไม่เป็นหนี้ชีวิตใคร


เพียงแต่ว่า ต้นไม้ไม่ส่งเสียง หรืออาจจะส่งเสียงที่ไม่ได้ยิน ทำให้คนบริโภคพืชกันได้อย่างสบายใจ


ไม่อาจบังอาจคาดเดาความคิดพระศาสดา แต่ผมก็เชื่อว่า พระพุทธเจ้าอาจจะพิจารณาเห็นถึงความไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้ และตระหนักรู้ถึงว่า ตราบที่ชีวิตอยู่ในวัฏสงสาร ชีวิตนั้นย่อมเป็นหนี้ชีวิตอื่น และต้องใช้ชีวิต หรือเชื้อชีวิตอื่นในการหล่อเลี้ยงชีวิตทั้งสิ้น ท่านจึงมิได้ถือให้ว่าการงดเว้นการกินเนื้อสัตว์เป็นศีลบังคับแก่ชาวพุทธ หรือภิกษุสงฆ์


พลังจากชีวิตหนึ่งที่ดับสิ้นลง ไปสร้างพลังงานในชีวิตอื่นได้เรื่อยๆ ตลอดไปเช่นนี้ วงวัฏจักรแห่งชีวิตจึงมีความซับซ้อนเกินกว่าจะกล่าวกันว่า การบริโภคชีวิตประเภทใด ถือเป็นหนี้ชีวิต


หรือหากคิดอย่างนั้น ก็ไม่ต้องห่วง เพราะสักวันหนึ่งเราก็จะต้องใช้หนี้ชีวิตนั้นแน่นอน ด้วยชีวิตของเรา ที่จะทอดร่างให้เป็นอาหารของเหล่าจุลลินทรี หรือเราอาจจะผ่อนชำระหนี้ชีวิตด้วยการขับถ่ายของเสียซึ่งเป็นอาหารของจุลชีวิตและพืชจนถึงสัตว์


แม้กระทั่งการหายใจก็เป็นการใช้หนี้ชีวิตแบบผ่อนรายวินาทีก็ได้ ด้วยอากาศที่ฟอกเลี้ยงพลังชีวิตเรานั้น ก็เป็นอาหารของพืช ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดไม่อาจส่งเสียงได้


แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีชีวิต


ผมจ่ายดอกเบี้ยด้วยน้ำสะอาด จากขวดเดียวกันกับที่ผมกิน

แก่ต้นโหระพา ที่เติบโตแตกใบสมบูรณ์


ที่ผมอาจจะมาขอกู้หนี้ ยืมชีวิตบางส่วนของมัน ไปผัดกุ้งเขียวหวานกินกับเส้นพาสต้า ในสักวันในสัปดาห์หน้า




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2550   
Last Update : 26 สิงหาคม 2550 5:12:33 น.   
Counter : 804 Pageviews.  

งานของมืออาชีพ



มือสมัครเล่นกับมืออาชีพต่างกันอย่างไร ?
เอาตามรูปศัพท์ง่ายๆ คำว่ามือสมัครเล่น แปลว่า “มือ” ที่สมัครใจเข้ามาเล่น ส่วนมืออาชีพ คือ “มือ” ที่ทำเป็นอาชีพ และอาชีพคืองานที่เปลี่ยน
เป็นปัจจัยเลี้ยงตัว

มืออาชีพกับมือสมัครเล่นมิได้เอาไว้แบ่งแยกคุณภาพของผลงานต่อชิ้นเสียขาดเด็ดออกจากกัน งานของมือสมัครเล่นผู้หลงใหลบางงาน อาจจะมีคุณภาพเหนืองานของมืออาชีพเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอจนไม่ต้องยืนยันเรื่องจริงเท็จกัน

พ่อครัวแม่ครัวมือสมัครเล่น ทำอาหารได้อร่อยเด็ดกว่าร้านอาหารก็มีมาก
นักเขียนสมัครเล่นบางคนอาจจะเขียนหนังสือได้สนุกสนานแถมข้อมูลแน่นหนาน่าอ่านกว่านักเขียนมืออาชีพที่มีหนังสือตีพิมพ์ออกวางขายหลายปกแล้วในท้องตลาด
และเพื่อนเราบางคนอาจจะเล่าตลกในวงเหล้าได้หัวเราะแตก ยิ่งกว่านักแสดงตลกคาเฟ่

ถ้าเช่นนั้น คนที่ทำอะไรด้วยใจรัก สมัครใจเล่น จึงทำงานหลายๆงานได้ดีกว่าคนที่ทำเป็นอาชีพ เพราะมีแรงผลักดันเป็นใจรักมากกว่าปัจจัยทางการเงินเลี้ยงตัวกระนั้นหรือ ?

แล้วเหตุใดคนคิดภาษาไทย (ถ้าจะมี) ถึงเติมคำว่า “เล่น” ลงไปในคำว่า “มือสมัครเล่น” เล่า ทำไมจึงไม่ใช้คำว่า “มือสมัครทำ” หรือ “มือสมัครใจ” หรือมืออื่นๆที่ฟังดูหนักแน่นเอาจริงเอาจังสมดังคุณภาพของงานที่เหนือกว่านั้น ?

คงเพราะคำว่า “เล่น” มักจะหมายถึงกิจกรรมที่ก่อความสุข และความพึงใจต่อผู้ทำ หรือผู้เล่น ซึ่งตรงนี้แหละเป็นจุดที่ผมเห็นว่ามันเป็นพรมแดนแบ่งแยกของคำว่า “มือสมัครเล่น” กับ “มืออาชีพ” ออกจากกัน

เพราะมือสมัครเล่นทำงานเพราะ “อยากเล่น” อยากมีความสุขจากการทำงานนั้นๆ โดยการทำงานเป็นความสุข หรือการตอบสนองอารมณ์บางอารมณ์

แต่มืออาชีพตัดเรื่อง “ความอยาก” และ “อารมณ์” ออกไปจากงานได้มากกว่า

นักทำขนมเค้กที่เรารู้จักว่าทำเค้กอร่อยเหลือหลายยิ่งกว่าเค้กกัลปพฤกษ์ คงจะทำเค้กออกมาได้ดี จนกว่าเธอจะต้องทำเค้กในเวลาที่ไม่อยากทำในจำนวนมากด้วยเวลาที่จำกัด

เพื่อนเราที่เขียนหนังสือดีน่าอ่าน จะยังเขียนหนังสือได้ดีด้วยข้อมูลหนักแน่นน่าสนใจอีกไหม หากเขาจะต้องลงไปเขียนและค้นในเนื้อหาที่เขาไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย และมีความซับซ้อนจุกจิกน่าปวดหัว
และเพื่อนที่เล่าเรื่องขำขันคนนั้นของเรา จะตลกออกไหม ถ้าเพิ่งถอยรถไปชนกำแพงจนเสียหายทั้งกำแพงทั้งรถ

ผมเคยได้ยินเรื่องราวของนักแสดงตลกบนเวที ที่ต้องขึ้นเล่นตลก และสามารถเล่นได้ขำเท่าเมื่อวาน ทั้งๆที่ญาติคนสนิทของเขาเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อเช้า

หรือพ่อครัวในร้านอาหารที่สามารถทำอาหารอย่างเดียวกันเป็นสิบจาน โดยรสชาติเหมือนกันหมด แม้เขากำลังเหม็นเบื่ออาหารอย่างรุนแรง ด้วยต้องทำและชิมอยู่ตลอดเวลา

หรือนักเขียนซึ่งสามารถเขียนอะไรก็ได้ตามแต่ได้รับคำสั่งจากสำนักพิมพ์ หรือจากท้องตลาด ด้วยคุณภาพของงานที่อยู่ในมาตรฐานเดิม

นี่คืองานของมืออาชีพ ที่ไม่ได้ทำเพราะ “เล่น”
แต่เพราะหน้าที่และความรับผิดชอบ และการรักษามาตรฐาน ทำให้เขาเป็นมืออาชีพ

มืออาชีพที่ไม่ต้องเล่น ไม่ต้องรออารมณ์ ไม่ต้องนึกสนุกก่อนถึงจะทำได้ดี

ผมเองมีหลายมือ เป็นมือสมัครเล่นในหลายมือ ส่วนงานที่ถือว่าเป็นอาชีพนั้น ก็ยังไม่ดีและสม่ำเสมอเพียงพอที่จะเรียกตัวเองว่ามืออาชีพได้แบบไม่อายปากกระดากตาตนเองบนกระจก

งานของผมส่วนใหญ่ทำเพราะสนุกทำ อยากทำทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร การดูหมอ การชงกาแฟ การเขียนหนังสือ การถ่ายภาพ และอื่นๆอีกมากมาย

ผมขอสารภาพอย่างละอายว่า หลายๆครั้งที่พอใจในผลงานของตัวเองบางชิ้น จนเผลอข้ามเส้นไปปรามาสมืออาชีพบางคน หรือบางงาน ว่าถ้าได้คุณภาพแค่นี้เท่านั้น ก็สู้มือสมัครเล่นอย่างฉันไม่ได้

แต่แล้วเมื่อเริ่มหมดสนุกในงานนั้น หรือเมื่อไอเดียและมุกเริ่มหมดลง หรือผลิตงานไม่ได้มาตรฐานเท่าเดิม หรือใช้เวลามากมายแล้วยังไม่ได้ผลงานที่น่าพอใจ เกิดปัญหาทางใจจนทำงานบางชิ้นไม่ได้ เมื่อนั้นความละอายก็จะกลับมาไล่ความผยองถือมั่นออกไป และความละอายนั้นได้สอนบทเรียนผมถึงเรื่องเส้นแบ่งของ “มือสมัครเล่น” กับ “มืออาชีพ”

เมื่อใดที่จะทำงานได้เฉพาะเมื่ออยากทำ เมื่อนั้นเราคือมือสมัครเล่น
และเป็นมือสมัครเล่นจะทำงานได้วิเศษแค่ไหนก็ได้ไม่แปลก

แต่เมื่อใดที่คุณทำงานวิเศษนั้นได้ แม้จะยังไม่อยากทำ หรือไม่จำเป็นต้องทำ หรือไม่สนุกที่จะทำ

เมื่อนั้นคุณอาจจะอยากเรียกตัวเองว่ามืออาชีพบ้างก็ได้.




 

Create Date : 07 สิงหาคม 2550   
Last Update : 9 สิงหาคม 2550 2:31:16 น.   
Counter : 687 Pageviews.  

1  2  3  4  

Players
Location :
Aix-en-Provence France

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Players's blog to your web]