เรื่องของประเทศเปลือกหอย



กาลครั้งหนึ่งยังมีประเทศเกาะที่ตั้งอยู่ในหุบเขาอันห่างไกลแห่งหนึ่งในทะเลจีนใต้ ประเทศนี้ไม่มีพื้นที่ใดติดทะเลเลยเพราะขุนเขาอันสูงใหญ่ปิดขังไว้ทุกด้าน หากนึกไม่ออกก็ลองนึกถึงทะเลในของประเทศไทยดูก็ได้ แต่เปลี่ยนทะเลเป็นพื้นที่ราบอันอุดมสมบูรณ์และมีแม่น้ำ มีทะเลสาบน้ำจืดอยู่ภายในแล้วกัน

เนื่องจากเมื่อสองร้อยหกสิบเก้าปีที่แล้วเกิดคลื่นยักษ์สึนามิในทะเลจีนใต้ ทำให้น้ำทะเลท่วมสูงจนล้นไหลผ่านภูเขาเข้ามาในประเทศลึกลับนี้ได้ หอยลายจำนวนหนึ่ง ติดกับน้ำทะเลมาด้วย ชาวบ้านได้ลิ้มรสหอยลายก็เกิดชอบใจว่าได้รับอาหารทิพย์จากสรวงสวรรค์ เป็นอาหารที่ไม่อาจหาที่ใดได้อีกแล้ว เมื่อกินหอยลายหมด ชาวประชาของเกาะนั้นก็เก็บเปลือกหอยลายไว้เป็นของสะสม และของที่ระลึกอันมีค่ายิ่ง

นานไป นานไป เปลือกหอยลายก็กลายเป็นสิ่งของสูงค่า มีจำนวนจำกัด หาที่ไหนอีกไม่ได้ ผลิตเพิ่มขึ้นเองก็ไม่ได้ อาจจะมีมาได้อีกครั้งหากมีสึนามิเกิดขึ้น ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไร ดังนั้นใครยิ่งมีเปลือกหอยลายมากเท่าไร ยิ่งรู้สึกว่าตนเองมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อใครนำเปลือกหอยลายไปให้ผู้อื่น ผู้ได้รับเปลือกหอยลายนั้นก็ดีใจ นำอาหารบ้าง สิ่งของบ้าง มาบำเหน็จคืนให้แก่ผู้ให้เปลือกหอยลาย ในที่สุด เปลือกหอยลายก็กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนในประเทศนั้นใช้แลกเปลี่ยนกัน คล้ายๆกับที่คนในประเทศเราๆใช้เงินนั่นเอง

วันที่ 21 ธันวา ปีอะไรไม่ทราบ นายปุก ชาวบ้านแถบติดถ้ำภูเขาพบว่า ถ้ำหินแถวบ้านของเขามีน้ำเค็มซึมออกมา เมื่อเขาเดินลึกเข้าไปก็พบว่า ถ้ำนั้นแตกทะลุลงด้วยการทำลายของวันเวลา ทำให้เดินออกไปทะเลได้ ที่ฝั่งทะเลนั้นมองออกไปไม่ไกล แลเห็นฝั่งฟ้าประเทศอื่น นายปุกอยากรู้ว่าฝั่งนั้นเป็นอย่างไร จึงร่วมต่อเรือกับเพื่อนๆ เดินทางไปยังดินแดนอื่นที่เห็น

นายปุกรวบรวมเปลือกหอยลายจำนวนหนึ่งติดตัวไปด้วย เมื่อถึงฝั่งนั้น เขาพยายามนำเปลือกหอยลายไปมอบให้คนที่ฝั่งนั้นเพื่อเป็นการผูกมิตรและหวังจะแลกเอาสิ่งแปลกๆ กลับมาด้วย แต่กลายเป็นว่าคนต่างประเทศนั้นไม่ได้รู้สึกยินดีกับหอยลายที่ชาวคณะนายปุกเอาไปกำนัลให้ กลับหัวเราะหัวล้อด้วยความขบขัน ว่าพวกชาวเกาะนี้ช่างเร่อร่า เปลือกหอยลายนั้นหรือจะเป็นของมีค่า มันก็แค่ขยะเหลือกินจากหอยชนิดหนึ่ง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ชาวประเทศนอกชี้ให้นายปุกและพวกมองดูเปลือกขยะหอยที่วางกองเต็มชายหาด มีทั้งหอยลาย หอยแมลงภู่ หอยเชลส์ หอยนางรม หอยหวาน หอยเม่น พวกเอ็งจะเอากี่หอยเล่า เก็บไปซี ฯลฯ และเมื่อถามว่าพวกท่านมีสิ่งใดเป็นที่พึงใจเล่าหากไม่ใช่เปลือกหอยลาย ชาวต่างประเทศเหล่านั้นให้นายปุกดูแผ่นกลมโลหะสีเงินบ้าง สีทองบ้าง บอกว่านี่ต่างหาก ที่ชาวสากลถือว่าเป็นสิ่งดี สิ่งมีค่า ใครมีมากแล้วจักมีความสุข หากนำไปให้ใครเขาก็พอใจ และกำนัลอาหารหรือสิ่งของมาให้

ชาวคณะเริ่มรู้สึกเสียใจว่า ทำไมเปลือกหอยลายอันแสนมีค่าถึงถูกทิ้งขว้างเยี่ยงนี้ และไยคนอื่นเขานับถือโลหะกลมที่ไม่เคยเห็น ชาวประเทศเกาะหลายคนอยากจะเก็บเปลือกหอยลายที่เห็นกลับไป แต่นายปุกก็ห้ามไว้ เพราะเชื่อว่าเปลือกหอยที่ถูกทอดทิ้งของดินแดนนี้ไม่เหมือนเปลือกหอยของชาวแดนเกาะ ซึ่งเป็นเปลือกหอยอันมีค่าที่แม่ทะเลประทานให้ บางคนอยากจะขอโลหะกลมที่ชาวอื่นนับถือกลับมา (ต่อจากนี้เขารู้แล้วว่ามันเรียกว่าเหรียญสตางค์) นายปุกก็ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่น่าจะดีอะไร แม้จะดูสวยงามแวววาว แต่เปลือกหอยลายก็เป็นสิ่งพึงใจของชาวเกาะเราแล้ว หากจะมีสิ่งพึงใจที่สองเห็นจะวุ่นวายเป็นแน่แท้ นายปุกรีบพาชาวคณะลงเรือก่อนที่จะเกิดเหตุกวนใจอื่นๆ จะตามมา

นายปุกและชาวคณะไปเล่าให้ผู้ใหญ่เกาะฟังถึงสิ่งที่ได้พบ ผู้ใหญ่เกาะตระหนกใจ บัญชาให้นายปุกไปนำชนผู้รู้มาจากดินแดนอื่นมาให้การทีว่าทำไมจึงมีเรื่องพิสดารเช่นนั้นได้ นายปุกไปยังดินแดนนั้นใหม่ นำเอาข้าวปลาจากแดนเกาะ ซึ่งถือเป็นสิ่งสากลที่ทุกชนต้องการเสมอในยามท้องร้อง ไปป่าวประกาศให้ผู้รู้ไปอธิบายเรื่องประหลาดนี้ให้แก่ผู้ใหญ่เกาะฟัง ได้อาสาสมัครมาคนหนึ่ง เป็นนักศึกษาผมแดง

นักศึกษาได้เล่าให้ผู้ใหญ่เกาะและผู้อาวุโสฟังว่า ในโลกนี้มีคนมากมายที่ชื่นชอบในสิ่งหายากอันไม่เหมือนกัน ในบางยุคสมัย เกลือเป็นสิ่งหายาก ผู้ใดมีเกลือมาก ผู้นั้นมีความสุข เมื่อนำเกลือไปให้แก่ผู้ใดผู้นั้นก็จะดีใจและมอบข้าวของให้ ต่อมาในบางที่เช่นดินแดนฝั่งทะเลที่เขามานั้น เหรียญเงินเหรียญทองเป็นของหายากและมีค่า คนก็นับถือบูชาประดุจกัน นอกจากนี้ในดินแดนโพ้นทะเลไกลออกไปอีก ก็ได้ทราบว่ามีชนกลุ่มผู้นับถือกระดาษทรงศักดิ์เหมือนกัน เหตุที่กระดาษนั้นมีค่าเนื่องจากมีผู้ใหญ่เมืองรับรองแข็งขันว่า กระดาษนั้นมีค่าเทียบเท่าเงินเหรียญ และสามารถนำไปแลกอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ ส่วนเผ่าชนที่นับถือเปลือกหอยเช่นชาวเกาะนี้ก็มีเหมือนกัน เขาเรียกสิ่งสูงค่านั้นว่าเบี้ย แต่ก็เห็นว่าได้เลิกใช้กันไปหมดแล้ว

เมื่อได้ฟังคำให้การของนักศึกษาผมแดงนั้นแล้ว ก็เกิดความวุ่นวายไม่มั่นใจขึ้นในหมู่ชาวประเทศเกาะผู้อยู่ในที่ประชุมนั้น บ้างก็ว่าเราน่าจะหาเงินเหรียญมาใช้เยี่ยงชาวแดนฝั่งทะเล หรือบางคนไปไกลว่าจะเอาอย่างชนโพ้นที่นับถือกระดาษนั้นเชียว แต่ส่วนใหญ่ก็ว่าเปลือกหอยลายเรานั้นเป็นสิ่งประเสริฐที่แม่ทะเลประทานให้ในวาระพิเศษแล้ว ไม่สมควรพึงใจในสิ่งอื่นใดอีก บางพวกไม่รู้ว่าจะชอบแล้วอย่างไร จึงว่าเราใช้ทั้งเหรียญเงินเหรียญทอง และเปลือกหอยลายไปด้วยกันก็ได้ แต่ถ้าเช่นนั้นใครจะมีค่ามากกว่ากัน ระหว่างเหรียญเงินทองหรือเปลือกหอย แล้วถ้ามีกระดาษทรงศักดิ์เข้ามาอีกเล่า เราจะพึงใจต่ออะไรลดหลั่นจากกัน ในที่สุดก็เกิดวิวาททุ่มเถียงขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ประเทศเกาะนั้นจำความได้

ผู้ใหญ่เกาะเห็นว่าไม่เป็นการดี จึงให้นายปุกเชิญนักศึกษาผมแดงนั้นกลับไปยังดินแดนฝั่งทะเล และบัญชาให้ชาวบ้านช่วยกันหาหินมาปิดช่องทางผาที่แตกทะลุออกสู่ทะเลนอกนั้นเสีย และกล่าวแก่ผู้คนทั่วไปว่า ดินแดนฝั่งทะเลนอกนั้นออกไปนั้นเป็นดินแดนที่ไม่มีความสุข ไม่มีสิ่งน่าชื่นชมชวนดูอย่างไรเลย

ปัจจุบันชาวเกาะนั้นก็ยังคงนับถือพึงใจในเปลือกหอยลายอยู่ หากบางคนที่เคยไปเยี่ยมเยือนดินแดนฝั่งทะเล ก็เก็บเหรียญเงินเหรียญทองไว้เป็นที่ระลึก หรือบางคนอาจจะเก็บไว้อย่างหมายใจว่า ถ้าภายหลังชาวเกาะเกิดเลิกพึงใจในเปลือกหอยลายแล้ว เหรียญเงินเหรียญทองที่เขาแอบเก็บไว้จักกลายเป็นของมีค่า ใครจะรู้

อย่างไรก็ตามทุกคนก็ล้วนมีความสุขและพึงใจในสิ่งที่ตนเองยึดถือไว้ทั้งสิ้น

และก็มีชาวเกาะนั้นหลายต่อหลายคนสามารถเดินทางออกไปนอกเกาะ ยังดินแดนฝั่งทะเลและโพ้นทะเลไกลได้ ด้วยวิธีใดก็ไม่ทราบ แต่อาจจะเป็นได้ว่าช่องผาทะลุนั้นมีมากกว่าที่หมู่บ้านของนายปุกก็เป็นได้ชาวประเทศเปลือกหอยผู้ผจญภัยนั้น พยายามนำเอาเปลือกหอยกันพึงใจของเขาไปมอบให้แก่คนที่เขารู้สึกพอใจ แม้ผู้ที่ได้รับเปลือกหอยนั้นจะไม่ยินดียินร้ายกระไร แต่ชาวเกาะเปลือกหอยนั้นก็ดีใจและภูมิใจที่ได้เป็นผู้ให้

หากว่าท่านเดินเล่นที่ห้างเดอะมอลล์ ท่าพระแล้ว มีผู้นำเปลือกหอยลายสภาพดีมามอบให้อย่างพึงใจก็ขอให้ท่านรับไว้อย่างรู้ค่าเถิด เพราะนั่นอาจจะเป็นกำนัลจากผู้คนแห่งประเทศเปลือกหอย.




 

Create Date : 24 เมษายน 2550   
Last Update : 24 เมษายน 2550 20:58:36 น.   
Counter : 1085 Pageviews.  

ความล้มเหลว และแผน

(บล็อกตอนนี้เกิดจากการผสมเนื้อหาที่เขียนไว้ในเวบ Chezplayers สองตอน คือตอน “เปิดแล้ว” และตอน “แผน")

ในปี 2549 เป็นปีที่สองของการทำเวบ Chezplayers (รวมทั้งบล็อกในบล็อกแกงค์แห่งนี้) ของผม แต่อย่างที่ท่านที่ติดตามมาบ้าง (ถ้ายังพอจะมีเหลืออยู่) เป็นปีที่ผมอัพเดทเวบน้อยมากๆ และถูกทิ้งร้างไว้เป็นเวลานาน จนหลายคนคิดว่าปิดไปแล้ว ผู้ติดตามเวบที่เคยมีก็หายๆกันไป พร้อมกับกระแสขาลงของวงการบล็อกเกอร์ และเวบไซต์ส่วนบุคคลในเมืองไทย เวบบล๊อกที่เคยมีคอมเมนต์กันทีละเกือบครึ่งร้อย ก็เหลือแค่หลักหน่วย หรืออย่างเก่งก็สิบกว่าความเห็น แม้แต่บล็อกที่มีการอัพเดทสม่ำเสมอ ด้วยคุณภาพที่คงเส้นคงวา (เช่นของ อ. นิติรัฐ) ก็หนีไม่พ้นสัจธรรมนี้

แล้วเวบทิ้งๆ ร้างๆ อย่าง Chezplayers จะรอดไหม ? ไม่เห็นต้องสงสัยเลย

ปี 2549 เป็นปีที่ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งด้านดีและด้านร้าย ด้วยอุปสรรคในเรื่องการศึกษา ทำให้ผมสูญเสียพลังในการทำอะไรหลายๆอย่างไป หลายท่านคงสังเกตจากคุณภาพที่ลดลงไปมากของงานเขียน การไม่มีงานเขียนออกมาในระดับสาธารณะ ไม่มีภาพถ่ายใหม่ๆ ไม่มีการแนะนำเมนูอาหารใหม่ๆ หรือไม่ได้สร้างงานเชิงสร้างสรรค์ใดๆออกมาเลย ที่สำคัญ “บุญชิต” ไม่ตลกอีกต่อไปแล้ว

ผมอยากเรียกสภาวะดังกล่าวว่า การขาดทุนชีวิต ถึงขั้นล้มละลายด้านความคิดสร้างสรรค์ (Creativity liquidation)

ก่อนหน้านั้น แม้ผมจะไม่ใช่นักเขียนชื่อดัง ไม่ใช่ช่างภาพมือโปร แต่งานของผมก็ถือว่าไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่นัก งานเขียนจำนวนมากถูกนำไปทำเป็นฟอร์เวิร์ดเมล์ รุปถ่ายบางรูปสมัยที่ยังชอบโพสต์ลงพันทิป ก็ถูกคนก๊อปไปใช้อยู่บ้าง ผลงานทางวิชาการได้รับการยอมรับและอ้างอิง แต่ ณ วันนี้สิ่งต่างๆที่กล่าวมาถดถอยลงไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ถ้าผมไม่ทำอะไรเสียบ้าง ผมจะตกอยู่ในสภาพของไอ้ขี้แพ้ ที่ประสบความล้มเหลวไปเสียทุกเรื่อง ภายในเวลาปีนี้แน่ๆ

ผมจึงต้องลุกขึ้นมาดำเนินแผน “ฟื้นฟูจิตการ” (คงคล้ายๆบริษัทที่ล้มละลายต้องฟื้นฟูกิจการแหละนะ) ก่อนที่อะไรๆจะสายไป

หนึ่งในแผนฟื้นฟู คือการกลับมาทำเวบ Chezplayers และเขียนบล๊อกอีกครั้ง

สำหรับเนื้อหาเก่าๆของเวบเดิมนั้น ผมกำลังพิจารณาปรับเข้าสู่รูปแบบของเวบใหม่ และอาจจะใช้เวลาอีกสักพัก เนื่องจากเนื้อหาบางส่วนไม่อัพเดท หรือบางส่วนก็มีความเป็นส่วนตัวเกินไป หรือเป็นความทรงจำที่ไม่มีวันหวนกลับคืนมาอีกแล้ว และอยากจะเก็บไว้คนเดียว

สำหรับสิ่งที่ตั้งใจจะทำให้ได้ ในการฟื้นฟูจิตการ ได้แก่



1. นอนและตื่นเป็นเวลา รวมเวลานอนไม่น้อยกว่า 5 ชั่วโมง ไม่มากกว่า 6 ชั่วโมง
            
- ผมเสียนิสัยเพราะการนอนกลางวัน หรือนอนเป็นกะๆ อยู่นาน ซึ่งก็พบว่ามันทำให้อยากนอนอยู่เรื่อย สู้พยายามนอนนานๆ แล้วตื่นรวดเดียว เด้งจากเตียงไม่ได้
            
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ทำได้ ยกเว้นแอบนอนกลางวันไปราวๆสองครั้ง ครั้งละสองชั่วโมง

2. โครงการฟื้นฟูความสามารถด้านการเขียนหนังสือ 1 “ทำ"เป็น"เล่น”
            
- ผมได้พบหนังสือที่น่าสนใจเล่มหนึ่ง ของ ปราบดา หยุ่น เป็นหนังสือ ... ยังไงดีหว่า เป็นหนังสือแนะวิธีเขียนหนังสืออย่างมีลมหายใจ เนื้อหาในเล่มน่าสนใจมากทีเดียว และในแต่ละบท มีแบบฝึกหัดหรือการบ้านที่น่าสนุกลองทำตาม แม้กระทั่งสำหรับผู้ที่เขียนหนังสือเป็นงานประจำแล้ว หรือเชื่อว่าตัวเองเขียนหนังสือ “เป็น” แล้ว
            
ในฐานะที่หนังสือของผม “ตาย” ไปแล้ว เมื่อผมต้องการฟื้นฟู ผมจึงคิดถึงหนังสือเล่มนี้เป็นเล่มแรก และหยิบขึ้นมาอ่าน และตั้งใจจะทำความเข้าใจ และทำแบบฝึกหัดท้ายบท อย่างน้อยสัปดาห์ละชิ้น หรือหนึ่งงาน เป็นเวิร์กชอปเพื่อฟื้นฟูความสามารถด้านการเขียน

เป็น


3. โครงการฟื้นฟูความสามารถด้านการเขียนหนังสือและถ่ายรูป “Machines in my life”
            
- เป็นการถ่ายภาพ และเขียนบรรยาย ซึ่งถ้าเป็นไปได้ อาจจะฟื้นฟูทักษะทั้งสองด้าน ทั้งการถ่ายภาพและเขียนหนังสือ แบบฝึกหัดนี้คือการเอาอุปกรณ์จักรกลทั้งหลายที่ใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวัน มาถ่ายภาพ และเล่าให้ชาวบ้านฟัง ว่ามันเป็นอย่างไร ดีห่วยตรงไหน ซื้อมาทำไม ใช้คุ้มไหม รวมทั้งการใช้งานพิสดารต่างๆเท่าที่คิดได้ และทำไปจริง

            
- อ่าน “Machines in my life” ตอนแรก ได้ที่นี่ >

4. รักษาวินัยในการใช้เงินพยายามใช้เงินอย่างประหยัด กำหนดงบการใช้จ่ายไว้แน่นอนในแต่ละเดือน
            
- อันนี้ทำได้ และทำไปแล้ว แต่ยังไม่เป็นไปตามงบเท่าไรเพราะมีอุบัติเหตุให้ต้องจ่ายเงินเรื่อย แต่ก็ถือว่าน่าพอใจ

5. หาทางไปเที่ยวต่างเมือง หรือต่างประเทศ
            
- อันนี้ขึ้นกับว่าจะทำตามข้อ 4. ได้ดีแค่ไหน

6. รักษาวินัยเรื่องกิน
            
- กินเฉพาะในมื้อ งดกินจุบจิบ งดกินอาหารหน้าคอมพิวเตอร์ งดเนื้อสัตว์จำนวนมากหรือชิ้นใหญ่ กินมังสวิรัติ อาทิตย์ละหนึ่งวันเป็นอย่างน้อย กินผลไม้อย่างน้อยวันละสองชนิดต่อวัน ทุกวัน
            
อันนี้ทำไปได้ดีพอสมควรแล้ว



7. วิปัสนาและสวดมนต์ ตามแต่โอกาสจะอำนวย
- รู้สึกจะทำยาก ทั้งๆที่น่าจะทำที่สุด

นี่คือแผนในระยะต้นที่จะทำให้ได้ในช่วงนี้ ราวๆกลางเดือนหน้า จะมาสรุปผลอีกครั้งว่าสำเร็จไปแค่ไหน อย่างไรบ้าง




 

Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2550   
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2550 4:22:45 น.   
Counter : 702 Pageviews.  

Blog Tag ของบุญชิตฯ

ผมได้รับคำเชิญให้เขียน Tag จากคุณ “สหายสิกขา” (ซึ่งขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ที่ไม่ได้ตอบรับไปทันทีตอนนั้น เพราะกำลังมึนเนื่องจากเพิ่งลงจากเครื่องบิน หลังการเดินทางกว่า 25 ชม. จากบ้านที่ถนนวิภาวดี – บ้านที่ถนน Jacobins ผ่านสนามบินสามสนามและเวลารอต่อเครื่องอีก 7 ชม.) จากนั้นผมก็ใช้เวลาศึกษาว่า อี Tag เนี่ยมันคืออะไรหนอ ก็พบว่าการละเล่นเช่นนี้นั้นกำลังเป็นที่นิยม เพื่อนฝูงคนในแวดวงผมล้วนโดนแทกกันไปหมดแล้ว ขนาด ปิ่น ปรเมศ ที่ไม่ได้อัพเดทบลีอกมานานแล้วยังอดรนทนไม่ไหวมาเขียน Tag หรือกระทั่ง ปราบดา หยุ่น (นักเขียนที่แลดูไม่ค่อยเข้ากับการเล่นอะไรแปลกๆ ตามแฟชั่นเลยแม้แต่น้อย) ก็ยังเขียน Tag

น่าสนุกดี เอาบ้างดีกว่า

ผมไม่ย้อนกติกาของการเล่น Tag ละนะ เพราะถ้าไม่หลังเขากลางหุบอย่างผม ก็คงรู้จักการเล่น Tag ของเหล่าบล๊อกเกอร์กันแล้ว หรือถ้าไม่รู้จัก ก็มองหาบล็อกที่คุณอ่านประจำดูสักบล็อกสองบล๊อก ไม่ใครก็ใครคงจะอธิบายเรื่องการเล่น Tag ไว้แล้วเป็นแน่

๑. ผมชอบดื่มสุรา และยอมรับตรงๆว่า ชอบดื่มเพราะติดใจในรสชาติหอมหวานอุ่นของสุราสารพัดตระกูล บางคนอาจจะให้เหตุผลในการดื่มสุราของตนว่า มิใช่ชอบในสุรา แต่ชอบบรรยากาศการร่ำสุรา แต่สำหรับผมแล้ว รสชาติสำคัญกว่าบรรยากาศ หลายครั้งที่การร่ำสุราในหมู่เพื่อน ผมยินดีจ่าย หรือเพิ่มเงินค่าเหล้าขวดกลาง เพียงเพื่อขอให้เป็นสุรารสชาติดีที่ยอมรับได้ – ไหนๆกินเหล้ามันก็เป็นโทษเป็นภัยทั้งต่อศีลธรรมและสุขภาพแล้ว ก็ขอให้มันมีโทษแบบอร่อยๆหน่อย

แต่ผมก็มั่นใจว่าไม่ได้ติดสุรา เพราะผมไม่จำเป็นต้องใช้สุราเพื่อกระตุ้นการทำอะไรบางอย่าง เช่นเขียนหนังสือ (ไม่ต้องกินเหล้าย้อมใจ เพราะใช้อย่างอื่นย้อม – ดูข้อ ๒) ผมไม่เคยอยากสุราจนมือไม้สั่น หรืออยากดื่มจนหงุดหงิด ผมอยากดื่มเพราะอยากดื่ม และดื่มพอให้หายอยาก แล้วหยุดได้

ผมเริ่มดื่มเหล้าแล้วพึงใจ (ไม่นับการแอบจิบเบียร์พ่อ หรือการกินไวน์ตามผู้ใหญ่ตอนเด็กๆ) คือเหล้าเชี่ยงชุนของป้าแถวบ้าน ที่ผมชอบไปคุยกับแกตอนเด็กๆ เพราะชอบฟังประสบการณ์คนแก่ ปัจจุบันเหล้าที่พึงใจของผมมีมากมายนัก สำหรับสก๊อตวิสกี้ ก็ตระกูล “ไอ้จ้อนย่าง” (Johny Walker) ทั้งหลายทุกระดับสีฉลาก ผิดจากตระกูลนี้ก็มี “ตราขาว” หรือ John Dewar White Label อันนี้กินตามเสี่ยหงวน ในเรื่องชุดสามเกลอ ส่วนวิสกี้อเมริกันหรือเบอร์เบิ้ล ก็ชอบพี่แจ๊ก (แดเนียล) – ตัวนี้ให้เจ๋งต้องผสมสไปรต์ นอกตระกูลนี้ก็มีไวน์ฝรั่งเศสทั้งหลาย ไม่ค่อยเกี่ยง คอนยัค ผมจะชอบผสมโค้กกิน หวาน ซ่า และหอม ส่วนเหล้าสีขาวใสทั้งหลาย ที่โปรดเป็นพิเศษ คือว้อดก้าจากโปแลนด์ (ใครจะรู้มั่งว่าว้อดก้าที่ดีที่สุดไม่ใช่ของรัสเซีย แต่เป็นของโปแลนด์) ส่วนเหล้าไทย ผมเคยกินกระแช่ที่อร่อยสุดๆ ได้มาจากงานโอทอป รสชาติหอมหวานเหมือนน้ำข้าวผสมน้ำมะพร้าวอ่อน แอลกอฮอลกำลังดีไม่รุนแรงจนเกินไป แต่เสียดายว่าจำไม่ได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์มาจากไหนน่ะซี

แต่กระนั้น ผมเป็นคนไม่ดื่มเบียร์เลย เพราะว่ามันขม !!!

๒. สิ่งที่ย้อมใจผมได้ดีที่สุด คือหนังสือ คนใกล้ชิดผมจะรู้ดีว่า ถ้าผมลุกขึ้นมาทำอะไรแปลกๆ หรือมีไฟลุกโชนเกินกว่าเหตุเมื่อไร สาเหตุสำคัญน่าจะมาจากการไปอ่านอะไรเข้าสักอย่างหนึ่ง หนังสือในที่นี่รวมหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น หรือมังกะด้วย

หากผมทดท้อจากการทำงานหรือการดำรงชีวิต หนังสือที่ย้อมใจผมได้ดีที่สุด คือการ์ตูนชุด “คุณหมาปัญญาเยอะ” (Kangaeru Inu) ซึ่งเป็นเรื่องที่อ่านแล้วชูใจ ทำให้มีกำลังใจในชีวิตได้มากที่สุด ส่วนถ้าอยากเติมไฟในการเขียนหนังสือ หนังสือของ ปราบดา หยุ่น วินทร์ เลียววาริณ และ ป. อินทรปาลิต ก็เป็นหนังสือที่สามารถเติมไฟในการเขียนของผมได้ดีที่สุด (สารภาพว่าที่ลุกมาเขียนบลีอกเรื่องแทกให้จบนี่ก็เพราะอ่าน “เรื่องตบตา” หนังสือใหม่ ของปราบดาฯ ไปนี่แหละ)

หรือเมื่อไรอยากจะรู้สึกว่า ตัวเองมีพลังในการทำให้สังคมมันดีขึ้น (หรืออย่างน้อยก็แย่น้อยลง) หนังสือที่ปลุกใจสำหรับกรณีนี้ คือ การ์ตูนชุด “คุนิมิตสึ คนจริงจอมกระล่อน” (Kunimitsu no mutsuri)

แต่เรื่องนี้ก็เป็นข้อเสียเหมือนกัน เพราะผมสามารถวูบไหวเพราะตัวอักษรได้มาก หลายครั้งผมก้าวร้าวเกินกว่าความเป็นจริงของตัวเอง เพราะดันไปรับเอา “อารมณ์” ตกค้างของผู้เขียนหนังสือ หรือกระทั่งบล็อกบางบล๊อก ถ้าคนเขียนก่อนหน้าผมกวนตีน ผมก็จะกวนตีน(มาก) ถ้าคนเขียนก่อนหน้าผมก้าวร้าว ผมก็จะก้าวร้าว(มาก) เหมือนกัน ถ้าเปรียบอักษรว่าย้อมใจได้เช่นสุรา กรณีนี้อาจเรียกได้ว่า เมาอักษราอาละวาด นี่เป็นนิสัยร้ายอันหนึ่งที่ต้องเร่งปรับเปลี่ยน

๓. หลายคนที่ติดตามเทคนิคการทำอาหารในเวบผม ผมมีเรื่องสารภาพไว้ ณ ที่นี้ว่า ภาพถ่ายทั้งหลายนั้น บางครั้งไม่ได้เกิดขึ้นในการทำอาหารครั้งเดียว คือพูดง่ายๆ ว่าบางอันจัดฉากถ่ายรูป รูปถ่ายไม่ได้เกิดขึ้นขณะที่ทำอาหารจานที่นำมาโชว์ หรือบางขั้นตอนนั้นไม่ได้ทำสำหรับอาหารนั้น แต่นำมาใช้ประกอบได้แบบเนียนๆ (เช่นภาพซอยหอมในการทำซุป มาจากการซอยหอมใส่อาหารอื่นๆ หรือรูปแครอทในเรื่องการทำพาสต้า จริงๆเมื่อใช้งานจริง ใช้หัวเล็กกว่าที่เอามาถ่ายรูป) หรือวัตถุดิบจริงไม่ได้ใช้ของที่แสดงในรูป แต่ถูกจัดฉากให้ดูสวยขึ้น

และอาหารจานที่โชว์ หลายจานไม่อร่อย ต้องโยนทิ้งไปก็มี แต่มันถ่ายรูปได้สวยกว่าจานที่ทำออกมาอร่อยอ้ะ

หลายท่านบ่นว่า สูตรอาหารอะไรไม่บอกปริมาตร หรือสัดส่วนของส่วนผสม จะสารภาพกันตรงๆ คือผมก็จำไม่ได้ ใส่อะไรเท่าไร มาจากการกะเอาตามสัญชาติญาณเท่านั้น ถ้ากะเป๊ะๆ คงจะไม่อร่อย

๔. เรื่องสั้นเรื่องแรกของผม ชื่อเรื่อง “เลือดกระเป๋า ขสมก.” (สามารถหาอ่านได้ หากพิมพ์ชื่อนามสกุลจริงของผมลงในกูเกิ้ล) เป็นงานเขียนชิ้นเดียวที่เขียนด้วยปากกา เมื่อราวๆ ม.๑ เพราะหลังจากนั้น ผมใช้พิมพ์ดีดตั้งแต่ ม.๓ และได้รับคอมพิวเตอร์ตกรุ่นจากพ่อ เมื่อ ม.๕ งานเขียนหลังจากช่วง ม.๓ มาทั้งหมด (มีอีกเรื่องชื่อ “แล้ง” ตีพิมพ์ในมติชนรายสัปดาห์ด้วย) พิมพ์ด้วยพิมพ์ดีดและคอมพิวเตอร์ทั้งหมด

ผมเขียนหนังสือ ผมจะพิมพ์ในคอมพิวเตอร์ไว้เลย พิมพ์ๆแก้ๆ จนสมบูรณ์ ไม่มีการร่างในกระดาษ รวมทั้งการทำงานทุกอย่างด้วย ดังนั้นผมจึงไม่เคยใช้บริการของหน่วยบันทึกข้อมูล หรือร้านรับจ้างพิมพ์ที่ไหนเลย เมื่อไรที่เขียนงาน หรือเขียนวิจัยเสร็จ นั่นคือเสร็จ พร้อมส่งในอีกไม่นาน ขอเพียงตรวจบรู๊ฟ หรือใครสักคนตรวจงานให้เท่านั้นเอง

มีงานเดียวเท่านั้นที่ถ้าไม่เขียนในกระดาษแล้วไม่มีวันเขียนออกมาได้ คือกลอน และงานร้อยกรองทั้งหลายทั้งแหล่ ผมไม่สามารถใช้วิธี แต่งๆ พิมพ์ๆ แก้ๆ ได้ ต้องเขียนในกระดาษก่อนแล้วแก้จนเสร็จ ถึงจะพิมพ์ลงคอมพิวเตอร์ได้ ก็แปลกดีเหมือนกัน

๕. ในบรรดางานเขียนทั้งหลาย ผมเคยเขียนนิยายนักสืบเรื่องหนึ่ง พระเอกชื่อ เมษา ปวโรจน์ ซึ่งเจตนาล้อเลียนการ์ตูนชุด คินดะอิจิ ฮาจิเมะ เพราะเมษา ปวโรจน์ จริงๆนามสกุล Poirot (ปัวโรต์) เป็นหลานของ แอร์คูร์ ปัวโรต์ นักสืบนามอุโฆษ ผลงานของอกธา คริสตี้ ราชินีนิยายสืบสวนฆาตกรรม เมษา ปวโรจน์ ของผมมีคดีทั้งหมดสามคดี คดีแรกของเมษา ปวโรจน์ ชื่อ “คดีผู้กลับมา” เรื่องของการฆาตกรรมในค่ายเผยแพร่กฎหมายเพื่อประชาชน เมื่อนิสิตผู้ไม่รุ้อิโหน่อิเหน่ถูกฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหด โดยฆาตกรที่แฝงตัวมาโดยไม่มีใครรู้ คดีที่สอง คือ “พยานสุนัข” การฆาตกรรมในบ้านของนักค้าของเก่า ที่มีเพียงสุนัขดัลเมเชียนตัวหนึ่งเท่านั้นที่เป็นพยานในคดีนี้ และคดีสุดท้ายคือ “พยานในสายน้ำ” การฆาตกรรมที่พัวพันกับปลาตะพัดราคานับแสน เรื่องสุดท้ายนี้ ลงพิมพ์ในนิตยสาร Mars เล่มสุดท้ายก่อนบุญชิตฯ จะลาศึกษาต่อ

คดีแรกของเมษา เขียนเป็นของขวัญวันเกิดให้เพื่อนรักคนนึง แต่น่าเสียดาย ที่เธอเอาไปทำหายซะงั้น ไฟล์ก็หายไปด้วย เรื่องที่สองส่งไปให้นิตยสารหลายฉบับพิจารณา แต่ตอนนี้คงถูกเอาไปรีไซเคิลเป็นทิชชูที่ไหนแล้วก็ไม่ทราบ ดังนั้นนอกจากสายตาของเพื่อน และบรรณาธิการผู้โชคร้ายแล้ว สาธารณชนอาจจะเคยได้อ่านเรื่องของ เมษา ปวโรจน์ เพียงตอนเดียวเท่านั้น และคงงงๆ ว่าไอ้นักสืบนี่เป็นใคร ทำไมตำรวจถึงไว้ใจให้มาสืบคดีได้ และทำไมนายตำรวจในคดีนั้นถึงเอ่ยถึงเมษา ว่าเคยคลี่คลายคดียากๆ ให้กรมตำรวจมาแล้ว ฯลฯ

ความจริงที่เชื่อมโยง มันอยู่ในตะกร้าครับ

เป็นอันว่า จบแทกของบุญชิตฯ คนที่ผมอยากจะแทกไปทั้งห้านั้น คนหนึ่งเขาถูกแทก และเขียนไปแล้ว คือ คุณปราบดา หยุ่น อีกคนถึงเขาจะมีเวบ แต่เขาไม่ได้เขียนบล๊อก และไม่คิดว่าเขาจะเล่นแทกด้วย คือ คุณวินทร์ เลียววาริณ อีกคน พ้นวิสัยที่ท่านจะเขียนให้ คือ คุณ ป. อินทรปาลิต คนที่สี่คือ อาจารย์ ดนู ฮันตระกูล แต่ผมเกรงใจเกินกว่าจะเชิญท่านเล่นด้วย ส่วนคนสุดท้าย เธอไม่มาเขียนด้วยแน่ๆ (เอาแค่เขียนอะไรเกินประโยคในเวบโชว์รูปของเธอได้ก็บุญแล้ว) คือ Zwingzet




 

Create Date : 21 มกราคม 2550   
Last Update : 21 มกราคม 2550 4:32:44 น.   
Counter : 805 Pageviews.  

เลือกแบบไหน

วีรบุรุษ หรือคนฉลาด คุณจะเลือกแบบไหน ?

ราวสองอาทิตย์ที่แล้วมีข่าวเล็กๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์ แต่เป็นข่าวใหญ่ในแวดวงเวบบอร์ดข่าวหนึ่ง คือ มีนักเล่นเวบที่ผันตัวมาเป็นนักเขียน ออกหนังสือมาเล่มหนึ่ง เกี่ยวกับการจับผิดกลโกงในแวดวงโทรศัพท์มือถือ และมีข่าวเปิดตัวใหญ่โต แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก เขาก็ถูกรุมทำร้ายร่างกายหรือภาษาบ้านๆว่าโดนกระทืบ จากผู้ค้าโทรศัพท์มือถือในมาบุญครอง เนื่องจากมีคนจำหน้าเขาได้จากงานแถลงข่าวเปิดตัวหนังสือที่ว่านั้น

ทำให้ผมคิดถึงเพลงในชุดแรกของ “พรู” ซึ่งเป็นเพลงที่ผมฟังทุกครั้ง คิดตามทุกครั้ง เรียกว่าอินก็ว่าได้ คือเพลง “เลือกแบบไหน” เนื้อหาของเพลงนี้พูดถึงเจ้าของเรื่อง (หมายถึงคนที่เพลงกล่าวถึงแทนตัวว่า “ผม”) ไปพบเหตุการณ์ที่ผู้ชายคนหนึ่งทำร้ายร่างกายผู้หญิงที่อ้างว่าเป็นคนรัก เหตุการณ์แบบนี้ วิถีประชาแบบไทยๆ บอกว่าไม่ควรไปยุ่ง เพราะ “มันเป็นเรื่องผัวเมีย” ทีนี้ความขัดแย้งก็บังเกิดขึ้นแก่เจ้าของเรื่อง ว่า เขาจะไปช่วยเธอดี หรือจะทำเนียนเดินหนีไป ถ้าไปช่วยแล้ว จะเดือดร้อนตามมาไหม ? อยากจะเป็นวีรบุรุษ หรือเป็นคนฉลาด เลือกเดินทางไหนดี

เพลงดังกล่าวอยู่ท้ายข้อความนี้แล้ว เลื่อนลงไปกดฟังได้ประกอบการอ่าน

สองเรื่องนี้มันเป็นเรื่องเดียวกันนั่นแหละ และมันเป็นความรู้สึกก้ำกึ่งขัดแย้งเสมอ ในการที่ใครสักคนจะลุกขึ้นมาต่อสู้กับความชั่วร้ายไม่ยุติธรรมอะไรสักอย่างให้คนอื่น แต่อันตรายของการทำตัวเป็น “วีรบุรุษ” ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเสี่ยง หรือน่าแลกสักเท่าไร หากสังคมไม่มีระบบปกป้องวีรบุรุษที่ดีพอ การลุกขึ้นต่อสู้กับอะไรบางอย่าง จึงต้องเป็นการชั่งใจกับการรับเคราะห์ภัยแบบธุระไม่ใช่ เป็นเรื่องน่าลังเลต่อการทำความดีอย่างหนึ่ง

เข้าใจว่าเจตนาดั้งเดิมของนักเล่นเวบผู้เขียนหนังสือคนนั้น ก็คือต้องการป้องกันไม่ให้คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไปเจอกลโกงอันโสมมในการขายโทรศัพท์มือถือในมาบุญครองหรือตามตู้ ที่เรียกว่าเครื่องนอก ซึ่งเดี๋ยวนี้เริ่มจะเป็นเหมือนการซื้อของผิดกฎหมายสักอย่างไปแล้ว คือมีการหลอกต้มกันเป็นว่าเล่นน่าปวดหัว

ครั้งหนึ่งผมเองก็เคยทำอะไรคล้ายๆแบบนี้อยู่เหมือนกัน คือเขียนบทความลงในสื่อฉบับหนึ่ง เกี่ยวกับการเลือกซื้อเครื่อง Playstation 2 อย่างปลอดภัยจากการถูกประกอบอาหารกลางสะพานเหล็ก ซึ่งเป็นแหล่งซื้อเครื่องเกมส์และอุปกรณ์ ที่ราคาถูก หลากหลาย แต่ ร้านกว่า 60 % ของสะพานเหล็กนั้นไม่ได้ขายของแบบตรงไปตรงมาเท่าใดนัก

เรื่องที่เป็นเหตุจูงใจของงานชิ้นดังกล่าวคือ ผมไปเดินสะพานเหล็กในวันหนึ่งแล้วเจอคุณแม่พาลูกมาซื้อเครื่องเกมส์ คุณแม่ท่าทางไม่ได้มีสตางค์มากมาย แต่ก็อยากซื้อของเล่นให้ลูก ลูกก็อยากได้จนตัวสั่น พอๆกับคนขายที่อยากขายของในราคาที่แพงลิ่ว ด้วยการโอ้อวดสรรพคุณที่เกินจริง

ในตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนในเพลงนั้นน่ะแหละ คืออยากเดินไปบอกเขาว่า อย่าซื้อเลย แม่งหลอก เดินไปหน้าๆ มีร้านขายราคายุติธรรมและของสภาพดีกว่านี้ แต่นั่นและ วีรบุรุษ หรือคนฉลาด เลือกเดินทางไหนดี บอกที ... วันนั้นผมเลือกเป็นคนฉลาดไป

แต่เมื่อกลับบ้าน ผมเริ่มขึ้นหน้ากระดาษ เขียนบทความกลโกงสะพานเหล็กแบบหมดเปลือกเท่าที่รู้ และส่งไปให้สื่อที่รู้จักกันช่วยเผยแพร่ กะว่าถ้ามีคุณแม่ หรือคุณลูกที่ไหนหลงเข้ามาอ่าน อย่างน้อยก็พอจะหลบเลี่ยงกลวิธีการขายแบบอุบาทว์ๆ ไปได้พอสมควร

มันก็มีหลายวิธีอยู่ ที่จะสามารถช่วยเหลือสังคมได้ โดยปกป้องตัวเอง เพราะเราต้องยอมรับว่าบางครั้งเล่นเป็นพระเอก ถ้าไม่ได้กล้ามใหญ่ เหมือนว่าที่ สว. สมบัติ เมทะนี ก็เป็นเรื่องอันตรายอยู่

บางครั้งการชนกับเรื่องห่วยๆในโลก ถ้าไม่แน่จริงก็ไม่ควรที่จะ “เปิด” ตัวเองหมดหน้าตักแบบออกหน้าออกตา ถ้าไม่แน่ใจในความสามารถในการปกป้องตัวเอง อย่าไปคิดว่า เป็นพระเอกแล้วทุกคนต้องมาเป็นพวก เรื่องจริงมันไม่เหมือนดรากอนเควสต์ ขนาดนั้น

เรื่องของผู้เขียนหนังสือคนนั้น จะว่าไปจากที่ติดตามจากหลายๆความเห็น ผมก็รู้สึกว่าเขาเป็นวีรบุรุษที่เปิดช่องว่างมากไปหน่อย คือหละหลวมต่อการป้องกันตัว เช่น เขียนเชิงท้าทายประมาณว่าเอาหนังสือเล่มไปไปซื้อมือถือ รับรองผู้ขายไม่กล้าโกง หรือการเปิดตัวหนังสือ แถลงข่าวซึ่งเป็นที่มาของการรุมทำร้ายเพราะจำหน้าได้

หลายคนอ่านถึงย่อหน้าที่แล้ว อาจจะร้องว่า อ้าว ทำไมต้องทำตัวขี้ขลาด หลบๆซ่อนๆ ในเมื่อเราทำดี รักษาความถูกต้อง แต่ไม่รู้สินะ สำหรับผม การรักษาความถูกต้อง แต่ถ้าส่งผลให้ต้องเสียชีวิต หรืออวัยวะ ทรัพย์สิน สุขภาพ ฯลฯ ไปแบบไม่ถูกต้องแล้ว ผมว่าไม่ใช่ทางที่ฉลาดสักเท่าไร

อย่างน้อยผมก็อยากเป็นทั้งวีรบุรุษ และคนฉลาด แบบประนีประนอมกันไป



เลือกแบบไหน

(C) 2002 Bakery Music




 

Create Date : 26 กันยายน 2549   
Last Update : 26 กันยายน 2549 5:13:02 น.   
Counter : 782 Pageviews.  

มา “ดำไฮโซ” กันมั้ยจ๊ะ ?

ใครรู้บ้างว่าในรูปนี้คือร้านอะไร ?



เอาล่ะ ใบ้ให้หน่อยด้วยป้ายที่กระจกร้าน สำหรับคนที่รู้ภาษาฝรั่งเศส



...
...
...

นี่คือ “ร้านรับทำผิวดำ” ครับ !

ป้ายที่หน้าร้านเขียนว่า “ยิ้มเร้ว ! คุณดำแล้ว !”

คำว่า Bronze ในภาษาฝรั่งเศส นอกจากแปลว่าสัมฤทธิ หรือทองแดงแล้ว ยังหมายถึง “ผิวสีคล้ำ” ที่มีความหมายในเชิงบวกด้วย ต่างจากคำว่า Noir ที่มีหมายออกไปทางลบหน่อย คำว่า Bronze นี้ถ้าเป็นกริยา ก็ใช้ Bronzer (ในป้ายเป็น Passive คือคุณถูกทำให้ดำ – Vous être bronzés) ส่วนบริการทำตัวดำอย่างว่านี่ ก็เรียกว่าบริการ Bronzage

ทำไมต้องทำตัวดำน่ะเหรอ เพราะคนฝรั่งเศสถือว่า ฤดูนี้ต้อง “ดำ” ถึงจะไฮโซ

ไม่มีหรอกนะ ผิวขาวเหมือนคนปารีส หรือผิวขาวไฮโซ ขาวสุขภาพดี แบบโฆษณาบ้านเรา

ค่านิยมเรื่อง “ดำไฮโซ” นี่มาจากไหน นั่นก็เพราะว่าในฤดูร้อน ที่เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึง สิงหาคม ชาวฝรั่งเศสที่พอมีสตางค์ จะต้องไปพักผ่อนตากอากาศชายทะเล ส่วนจะไปตากอากาศที่ไหนนั้น ก็ขึ้นกับฐานะและความสามารถ อย่างเบาะๆ ก็ไปพักผ่อนที่ทะเลทางใต้ ได้แก่แถว โปรวองก์ และโก๊ต ดาซูร์ (Provence-Alpes-Côte d’azur) เช่นแถวๆ นีซ (Nice) หรือไม่ก็ไปเที่ยวต่างประเทศ หรือดินแดนทะเลใต้ เช่น ตาฮิติ โบรา โบรา (ที่ทาทาอยากไป) หรือภูเก็ต กระบี่ บาหลี บรูไน ฯลฯ

ส่วนคนที่เบี้ยน้อยหอยน้อยหน่อย ก็จะเที่ยวแถวทะเลเหนือ คือแถบมหาสมุทรแอตแลนติก ที่ทะเลไม่สวยนัก แต่ก็ยังดีละยังเป็นทะเล ส่วนไปไหนไม่ได้จริงๆ ทางเทศบาลแต่ละเมืองก็จะขุดสระน้ำ หรือทำลานทราย เป็นทะเลปลอมๆ ให้เล่นไปแก้เขิน

คนที่ไปทะเลมาในหน้าร้อน ก็จะกลับมาด้วยผิวกายที่ดำคล้ำ เหมือนเป็นสัญลักษณ์เล็กๆว่า – อ่ะฮ้า ชั้นไปวากองซ์ (Vacances) มาจ๊ะ ซึ่งนอกจากถือว่าใช้ชีวิตแบบอินเทรนแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่ามีฐานะดีพอที่จะได้ไปเที่ยวตากอากาศ และตากแดดมาจนตัวดำ

นี่เองเลยถือว่า “ดำไฮโซ” คือถ้าโลโซ ก็จะมีงานมีการ หรือไม่ก็ไม่มีเงิน มีภาระ และข้อจำกัดประดามี ทำให้ไปไหนไม่ได้ ต้องติดแหงกอยู่ในเมือง ไม่ได้ไปตากแดด นั่งตัวขาวเป็นจิ้งจกอาบนีออนอยู่ในที่ทำงาน – ไม่อินเทรน และไม่ไฮโซ

จะเรียกว่าขาวสุขภาพดี ขาวอมชมพู นี้ก็คงไม่ได้ เพราะเขาเชื่อว่า คนจะสุขภาพดีได้ต้องโดนแดดโดนลม ไปท่องเที่ยวตากอากาศ ให้ตัวดำๆ คล้ำลงเสียบ้าง

คนขาวที่เมืองนี้แต่อยากอินเทรนหน้าร้อนกะเขา ก็เลยต้องพึ่งบริการร้านทำตัวดำหรือบรองซาจด้วยประการนี้

เมืองนี้เลยไม่มีไวท์เทนนิ่ง, มีแต่บรองซาจ หรือจะเรียกว่า - แบลกเกนเนอร์ ก็คงได้

ที่เอาเรื่องนี้มาเล่า เพราะอยากจะบอกว่า อันโลกเรานี้มันก็มีเรื่องผิดที่ผิดทางกันเสมอ

คนฝั่งหนึ่งของโลก อยากตัวดำ จนต้องไปเข้าร้านตัวดำ พอกครีม ฉายรังสี เพราะอยากเข้าเทรนหน้าร้อน อยากได้ชื่อว่าไฮโซ

แต่คนอีกฝั่งหนึ่งของโลก หาครีมหน้าขาวมาทากันตามแต่โฆษณาในทีวีเขาจะปลุก จะปั่น

เพื่ออยากได้ชื่อว่า “ขาวไฮโซ” “ขาวเหมือนคนกรุงเทพฯ” หรือ “ขาวสุขภาพดี”




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2549   
Last Update : 28 สิงหาคม 2549 2:36:02 น.   
Counter : 760 Pageviews.  

1  2  3  4  

Players
Location :
Aix-en-Provence France

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Players's blog to your web]